Tontong – SEO Master บริษัทรับทำ SEO รับดูแลเว็บไซต์ ราคาถูก ครบวงจร https://seomasterth.com SEO MASTER Mon, 19 Feb 2024 15:15:21 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.3.5 https://seomasterth.com/wp-content/uploads/2023/11/cropped-seomaster-icon-32x32.jpg Tontong – SEO Master บริษัทรับทำ SEO รับดูแลเว็บไซต์ ราคาถูก ครบวงจร https://seomasterth.com 32 32 Mail Server คืออะไร รูปแบบกลไกในการทำงานเป็นอย่างไรบ้าง https://seomasterth.com/mail-server-%e0%b8%84%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b0%e0%b9%84%e0%b8%a3/ Mon, 19 Feb 2024 15:05:46 +0000 https://seomasterth.com/?p=28364 การติดต่อสื่อสารในยุคปัจจุบันต้องยอมรับว่าอินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทและเกี่ยวข้องแทบทุกเรื่อง เหตุเพราะผู้ใช้งานได้รับทั้งความสะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องเสียเงินแพง ๆ เหมือนยุคก่อน โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจจำนวนมากที่มักให้ความสำคัญไม่แพ้กับด้านอื่น “Mail Server” จึงกลายเป็นอีกทางเลือกชั้นยอดขององค์กรและผู้ใช้งานด้านการรับ-ส่งข้อความผ่านระบบออนไลน์จำนวนมาก ใครที่สงสัยว่า Mail Server คืออะไร มีกลไกการทำงานแบบไหนบ้าง ตามมาค้นหาข้อมูลทั้งหมดกันเลย!

Mail Server คืออะไร

Mail Server คือ อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ ใช้ในการส่ง Email แลกเปลี่ยน Email รับ Email ในกรณีที่เรามีอีเมลที่เป็นโดเมนของตัวเอง เช่น support@seomasterth.com เมลเซิฟเวอร์จะเป็นตัวกลางการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งสองเครื่องที่อยู่ห่างไกล Protocol ที่ใช้ในการคุยติดต่อสื่อสารหากันคือ IMAP, POP3, SMTP.

กลไกการทำงานของ Mail Server

ตามหลักกลไกการทำงานของ Mail Server จะแบ่งออกเป็น 3 องค์ประกอบสำคัญเพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้

1. การส่ง Email

โปรแกรม Postfix จะอยู่ในกลไกของการส่งอีเมล หลักการคือเมื่อผู้ใช้งานทำการสร้างอีเมลที่ตนเองต้องการเรียบร้อย จากนั้นจึงกดส่งผ่านระบบที่ใช้ เช่น Microsoft Outlook หรือเว็บเมลอื่น ๆ หลังทำการกดส่งเสร็จสิ้น Client จะมีการเชื่อมต่อกับตัวเครื่องเซิร์ฟเวอร์ผ่านการใช้งาน Protocol SMTP อีเมลดังกล่าวจึงถูกส่งมาเก็บไว้ที่ Mail Server เพื่อจัดลำดับในการส่งต่อไปสู่ปลายทาง (เป็นขั้นตอนของการ Relay Mail)

2. การแลกเปลี่ยน Email

เมื่อผู้ใช้งานทำการส่งอีเมลโดยมีจุดประสงค์ไปถึงผู้รับปลายทาง หลังเซิร์ฟเวอร์ได้รับอีเมลดังกล่าวจะมีการใช้โปรแกรม MTA หรือ Mail Transport Agent เข้ามาอ่านข้อมูล Address ผู้รับปลายทาง จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนการตรวจสอบว่า Mail Server เจ้าไหนคือผู้ให้บริการของผู้รับ เสร็จแล้วก็ติดต่อไปยังผู้ให้บริการดังกล่าวผ่าน SMTP เพื่อให้ปลายทางรับเอาอีเมลฉบับดังกล่าวไป

3. การรับ Email

กลไกสุดท้ายจะอยู่ในหมวดโปรแกรม Dovecot โดยผู้รับปลายทางสามารถรับอีเมลจากผู้ส่งได้ด้วยโปรแกรมรับส่งอีเมล หรือโปรแกรมเว็บเมล รูปแบบการทำงานคือ โปรแกรมดังกล่าวจะติดต่อไปยัง Mail Server จากนั้นจึงส่งชื่อ Username และ Password ไปให้ เมื่อเซิร์ฟเวอร์ตรวจสอบรายละเอียดเรียบร้อยพบว่าข้อมูลนั้นถูกต้องก็จะอนุญาตให้ผู้รับปลายทางสามารถรับอีเมลฉบับดังกล่าวได้ผ่าน Protocol POP3 หรือ IMAP4

หน้าที่เพิ่มเติมของ Mail Server

นอกจากการรับ – ส่งอีเมลเป็นหลักแล้ว Mail Server ยังมีหน้าที่อื่น ๆ เพิ่มเติมเสมือนเป็นการสร้างศักยภาพให้ตอบโจทย์ต่อผู้ใช้งานจำนวนมาก สามารถแบ่งเป็น 2 เรื่องได้ ดังนี้

1. การเก็บทุกข้อมูลจากอีเมล

ไม่ว่าข้อมูลใด ๆ ก็ตามที่อยู่บนระบบอีเมล ตัวเซิร์ฟเวอร์จะทำการเก็บรายละเอียดทั้งหมด เช่น อีเมลที่อยู่ใน Inbox, Outbox, Junk Mail และอื่น ๆ ไล่เรียงกันไปตั้งแต่ข้อความธรรมดามีแต่ตัวหนังสือ ไปจนถึงไฟล์ภาพ ไฟล์วิดีโอ ไฟล์แนบทุกประเภท ซึ่งพื้นที่การจัดเก็บอยู่ในฮาร์ดดิสก์ของ Mail Server

2. การกรองอีเมลสแปม / โฆษณา

เป็นเรื่องปกติเมื่อคุณใช้งานอีเมลแล้วมักพบว่าบ่อยครั้งก็ชอบมีอีเมลกลุ่มโฆษณาก่อกวน อีเมลสแปมส่งเข้ามาอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเคยสังเกตหรือไม่บางอีเมลก็ถูกกำจัดให้ไปอยู่ใน Junk Mail ทันที นั่นเพราะ Mail Server ได้ทำการกลั่นกรองข้อมูลอีเมลขาเข้าทั้งหมดว่าถูกจัดอยู่ในกลุ่มไหน และควรนำไปไว้โฟลเดอร์ใด หากอีเมล์ที่ส่งมาถูกประเมินแล้วว่านี่คือชื่ออีเมลที่น่าสงสัย หรือพบเจอการสแปมบ่อย ตัวอีเมลดังกล่าวก็จะถูกจัดการให้ไปอยู่ใน Junk Mail ซึ่งผู้รับก็ยังคงเปิดดูได้ตามปกติแต่จะมีระยะเวลาในการเก็บข้อมูล หากเกินจากที่กำหนดอีเมลดังกล่าวก็ถูกลบแบบอัตโนมัติทันที นี่เป็นอีกความสำคัญของการมี Mail Server ที่ดี เพราะถ้าไม่สามารถกรองอีเมลโฆษณา สแปมได้ แต่ละวันหน้ากล่องขาเข้าของคุณมักเต็มไปด้วยอีเมลขยะ ไร้สาระ

ความสำคัญของ Mail Server ต่อธุรกิจ

ตามที่อธิบายเอาไว้ตั้งแต่ต้นว่าปัจจุบันการรับ – ส่งอีเมลเป็นวิธียอดนิยมสำหรับคนทั่วโลกและทุกธุรกิจ ไม่จำเป็นต้องเสียเงินในการส่งจดหมายหรือแฟกซ์ แบบสมัยก่อน ดำเนินการได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว ตอบโจทย์กับการทำธุรกิจยุคใหม่เป็นอย่างยิ่ง บ่งบอกถึงภาพลักษณ์ ความทันสมัย และยังช่วยให้งานต่าง ๆ ดำเนินการภายในเวลาจำกัดได้ดีเยี่ยม สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลเชิงบวกต่อธุรกิจชัดเจน

ข้อควรระวังในการใช้งาน Mail Server

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องระวังเอาไว้อย่างหนึ่งเกี่ยวกับการใช้ Mail Server นั่นคือเรื่องของการถูกแฮ็ก (Hack) ข้อมูล หรือการโจรกรรมข้อมูลผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันเหล่าบรรดามิจฉาชีพเองก็พยายามทุกรูปแบบที่จะนำเอาข้อมูลลับขององค์กรนั้น ๆ มาหาผลประโยชน์ ด้วยเหตุนี้ผู้ดูแลระบบ หรือฝ่ายไอทีก็ต้องมีทักษะ ทำงานอย่างรัดกุม และสิ่งสำคัญต้องซื่อสัตย์ ไม่ขายข้อมูลขององค์กรเพื่อให้ตนเองได้รับประโยชน์แต่อีกหลายฝ่ายเดือดร้อน

Google Workspace หรือ G Suite

ปัจจุบันมีบริการจากกูเกิลให้เราสามารถใช้อีเมลที่มีโดเมนเว็บเรา แต่ใช้งานต่างๆผ่าน gmail และใช้ Mail Server ของ Google อีกด้วย ศึกษาเพิ่มเติมจากบทความนี้กันว่า G Suite คืออะไร

สรุป

การใช้งาน Mail Server กลายเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นกับองค์กรจำนวนมากภายใต้หลักทำงานอันแสนเข้าใจง่ายนั่นคือรับ – ส่งอีเมล และยังมีระบบเพิ่มเติมเพื่อช่วยสร้างความสะดวก รวดเร็ว ประหยัดต้นทุน แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็ต้องคอยระวังเรื่องการถูกโจรกรรมข้อมูล ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้เสมอหากไม่ตรวจสอบ อัปเดตความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ

]]>
VPS Hosting กับ Shared Hosting แตกต่างกันอย่างไร https://seomasterth.com/vps-hosting-vs-shared-hosting/ Mon, 19 Feb 2024 14:59:35 +0000 https://seomasterth.com/?p=28370 ในการทำเว็บไซต์ขึ้นมาสักหนึ่งเว็บ นอกจากเรื่องของการดีไซน์ ออกแบบ การเลือกข้อมูลทั้งเนื้อหา รูปภาพ คลิปวิดีโอให้น่าสนใจแล้ว อีกสิ่งที่ต้องทำความรู้จักนั่นคือ Hosting เพราะเปรียบเสมือนพื้นที่ให้คนนำเว็บไซต์ของตนเองเข้าไปอัปโหลดและสามารถเผยแพร่เนื้อหาทั้งหมดไปสู่สายตาคนทั่วไป ซึ่งประเภทของ Hosting ก็มีด้วยกันหลายรูปแบบ แต่ที่ได้รับความนิยมมากสุดต้องยกให้ VPS Hosting กับ Shared Hosting แล้วเคยสงสัยหรือไม่ว่า Hosting ทั้ง 2 ประเภทนี้แตกต่างกันอย่างไร?

ความหมายของ VPS Hosting กับ Shared Hosting

VPS Hosting หรือ Virtual Private Server คือ รูปแบบบริการของเซิร์ฟเวอร์ที่มีความเป็นส่วนตัวคล้ายกับการมีเซิร์ฟเวอร์เป็นของตนเอง ผู้ใช้บริการมีสิทธิ์บริหารจัดการซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ได้ตามความต้องการผ่านระบบ Remote Desktop Connection ทั้งนี้ตัว Virtual Private Server จะแบ่งทรัพยากรจากเซิร์ฟเวอร์เครื่องหลัก เช่น Ram, Harddisk, CPU ออกมาเป็นเครื่องย่อยส่วนหนึ่ง

หากอธิบายให้เห็นภาพมากขึ้น VPS Hosting จะคล้ายกับผู้ให้เช่ามีพื้นที่ว่างให้ผู้เช่าสามารถนำไปใช้งานได้ตามใจชอบ อยากใส่ข้อมูล เพิ่มเนื้อหา หรือแบ่งให้คนอื่นเช่าต่อก็ตามสะดวก ปัจจัยสำคัญคือผู้เช่ารายแรกที่เลือกเช่ากับ Hosting ต้องจ่ายค่าบริการและดำเนินการดูแลทุกอย่างด้วยตนเอง ด้วยเหตุนี้ระบบ Hosting นี้จึงต้องจ่ายระบบ Control Panel เพื่อให้การใช้งานง่ายดายมากขึ้น

ขณะที่ Shared Hosting คือ ลักษณะของการแบ่งพื้นที่ Hardware Network แล้วใช้งานร่วมกับผู้อื่นในเซิร์ฟเวอร์เดียวกัน ปัจจัยสำคัญคือผู้เช่าต้องมีการใช้งานโปรแกรมเดียวกัน หากเทียบให้เห็นภาพง่ายขึ้นคล้ายกับคุณและคนอื่น ๆ ตัดสินใจเช่าพื้นที่แห่งหนึ่งโดยต่างคนก็ได้พื้นที่ตามสัดส่วนของตนเอง แต่ไม่ใช่เจ้าของพื้นที่รวมทั้งหมด ส่งผลให้บางกรณีระหว่างใช้งานแล้วเกิดปัญหาจะไม่สามารถดำเนินการทั้งหมดได้ ต้องอาศัยเจ้าหน้าที่จากฝั่งของผู้ให้เช่า Hosting เข้ามาช่วยดูแล รวมถึงผู้ให้บริการยังมักติดตั้งระบบ Control Panel ไว้ให้เสร็จสรรพแบบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มด้วย

ขอบคุณรูปภาพจาก elricktechnology.com

ความแตกต่างระหว่าง VPS Hosting กับ Shared Hosting

หลังจากอธิบายกันไประดับหนึ่งแล้วคงทำให้หลายคนเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่าง VPS Hosting กับ Shared Hosting กันพอสมควร แต่เพื่อการตัดสินใจที่ง่ายขึ้น พร้อมเลือกประเภท Hosting ให้สอดคล้องต่อจุดประสงค์การทำเว็บไซต์ลองมาดูกันว่าทั้ง 2 แบบมีจุดไหนที่แตกต่างกันบ้าง

1. ความเหมาะสมในการใช้งาน

  • VPS Hosting เหมาะกับธุรกิจ หรือองค์กรที่มีขนาดใหญ่ ต้องการนำข้อมูลต่าง ๆ ใส่เข้าไปในเว็บไซต์เยอะมาก หรือมีจุดประสงค์เพื่อนำพื้นที่ไปใช้ทำอย่างอื่นเพิ่มเติม (องค์กรขนาดกลางก็ใช้งานได้หากมีข้อมูลเยอะ)
  • Shared Hosting เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก – ขนาดกลาง หรือบุคคลทั่วไปที่ต้องการสร้างเว็บไซต์ให้ดูน่าเชื่อถือ ข้อมูลไม่ได้เยอะมาก

2. ค่าใช้จ่าย

  • VPS Hosting ด้วยขนาดพื้นที่การใช้งานเยอะจึงมีค่าใช้จ่ายสูงมาก แนะนำสำหรับธุรกิจที่มีงบฝั่งออนไลน์สูง หรือต้องการก้าวเข้าสู่โลกออนไลน์แบบเต็มตัว
  • Shared Hosting มีราคาถูกกว่าเพราะเป็นแค่การแบ่งพื้นที่ใช้งานร่วมกันของผู้เช่า แม้ไม่ได้มีงบเยอะมากนักแต่อยากก้าวเข้าสู่โลกออนไลน์ก็สามารถใช้งานได้

3. รูปแบบการใช้งาน

  • VPS Hosting จะเป็นการใช้งานของผู้เช่าเพียงรายเดียว โดยผู้เช่าสามารถใช้พื้นที่ต่าง ๆ ของ Hosting ได้แบบเต็มพิกัด หรืออยากแบ่งพื้นที่ให้คนอื่นเช่าต่อด้วยก็ไม่มีปัญหา
  • Shared Hosting ผู้ใช้งานต้องแชร์พื้นที่ Hosting ร่วมกับผู้เช่ารายอื่น คล้ายกับการมีพื้นที่ตลาดนัด 1 แห่ง แล้วแต่ละคนจับจองล็อกเป็นของตนเอง

4. การควบคุมการทำงาน

  • VPS Hosting ผู้เช่าสามารถใช้ระบบ Remote Desktop Connection เพื่อควบคุมการทำงานทั้งหมด พร้อมติดตั้ง OS ได้ตามความต้องการของตนเอง
  • Shared Hosting ไม่สามารถใช้งานระบบควบคุมผ่าน Remote ได้ รวมถึงการติดตั้ง OS อื่นก็ทำไม่ได้เช่นกัน บางกรณีจึงจำเป็นต้องให้ผู้ดูแลหรือผู้ให้เช่าจัดการ

5. การรองรับจำนวนผู้ใช้งาน

  • VPS Hosting สามารถรองรับปริมาณผู้ใช้งานได้จำนวนมากแม้เข้ามาในช่วงเวลาพร้อมกันก็ไม่ต้องกังวลเรื่องของการดาวน์โหลดช้า เว็บค้าง เว็บล่มใด ๆ ทั้งสิ้น
  • Shared Hosting รองรับจำนวนผู้ใช้งานได้ในระดับหนึ่ง หากคนใช้บริการพร้อมกันเยอะก็เสี่ยงต่อการเกิดปัญหาเว็บล่มง่ายกว่า

6. การแต่งเซิร์ฟเวอร์

  • VPS Hosting ผู้เช่าสามารถแต่งเซิร์ฟเวอร์ได้ตามความต้องการของตนเอง อยากได้แบบไหน วางข้อมูลยังไงเลือกกันตามสะดวกเลย
  • Shared Hosting ด้วยการเช่าร่วมกับผู้อื่นทำให้ผู้เช่าไม่สามารถแต่งเซิร์ฟเวอร์ใด ๆ ได้เลย ยกเว้นผู้ให้เช่าจะทำการปรับระบบของตนเอง

เลือกใช้งานแบบไหนขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของผู้เช่า

จริง ๆ แล้วการใช้งาน Hosting ทั้ง VPS Hosting กับ Shared Hosting ต่างก็มีจุดเด่นและจุดด้อยคนละแบบ จึงขึ้นอยู่กับจุดประสงค์เจ้าของเว็บไซต์เป็นหลักอยากสร้างเว็บตนเองให้ออกมาแบบไหน หากคุณเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ มีสินค้าเยอะ อยากปรับมาขายผ่านออนไลน์เต็มตัว แนะนำให้เลือกใช้แบบ VPS Hosting แต่อีกมุมหนึ่งธุรกิจขนาดกลางหรือขนาดเล็ก หากมีงบมากพอ มีสินค้าเยอะ อยากสู้กับคู่แข่งจะเลือก VPS Hosting เหมือนธุรกิจใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องผิด

สรุป

VPS Hosting กับ Shared Hosting ล้วนก็เป็นรูปแบบของ Hosting ที่ได้รับความนิยมทั้งสิ้น แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อม จุดประสงค์ของการเช่าเพื่อใช้งาน งบประมาณ ฯลฯ ต้องลองศึกษาให้ชัดเจนว่าธุรกิจของคุณเหมาะกับการสร้างเว็บไซต์แบบไหน เพื่อจะได้ทำการเช่า Host อย่างเหมาะสม คุ้มค่า ไม่เสียเงินแพง ๆ โดยใช่เหตุ

]]>
Hosting คืออะไร หากอยากมีเว็บไซต์ของตนเองต้องทำความรู้จัก https://seomasterth.com/hosting-%e0%b8%84%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b0%e0%b9%84%e0%b8%a3/ Mon, 19 Feb 2024 14:04:54 +0000 https://seomasterth.com/?p=28367 การก้าวเข้าสู่ยุคออนไลน์แบบเต็มตัวทำให้เว็บไซต์กลายเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกธุรกิจจำเป็นต้องมี หากเปรียบแบบเข้าใจง่ายก็ไม่ต่างจากหน้าร้านออนไลน์ และยังมีข้อดีในหลายด้านทั้งเรื่องการเปิดขายได้ตลอด 24 ชั่วโมง ประหยัดต้นทุนมากกว่า สร้างความน่าเชื่อถือได้ ฯลฯ อย่างไรก็ตามไม่ว่าคุณจะเป็นองค์กร หน่วยงาน หรือบุคคลทั่วไปที่อยากมีเว็บไซต์เป็นของตนเอง หนึ่งในสิ่งที่ต้องทำความรู้จักนั่นคือ “Hosting” ซึ่งใครกำลังสงสัยว่า Hosting คืออะไร สำคัญมากแค่ไหน มาหาคำตอบกันได้เลย!

Hosting คืออะไร

Hosting (โฮสติ้ง) คือ บริการเครื่องเซิฟเวอร์บนโลกออนไลน์เพื่อเป็นพื้นที่ให้กับผู้ที่ต้องการนำเสนอสินค้า / บริการ หรือข้อมูลต่าง ๆ สามารถเผยแพร่ไปสู่บุคคลอื่นได้บนอินเทอร์เน็ตผ่านหน้าเว็บไซต์ของตนเอง หลักการคือเมื่อคุณมีชื่อโดเมน (Domain Name) ตั้งค่า DNS Server ผูกไว้กับผู้ให้บริการเซิฟเวอร์ (HSP: Hosting Service Provider) เพียงเท่านี้ทุกข้อมูลบนหน้าเว็บไซต์ทั้ง Homepage, Landing Page, Sale Page, Blog ฯลฯ ก็สามารถปรากฏสู่สายตาของทุกคนที่พิมพ์ชื่อโดเมนหรือกดค้นหาแล้วเจอเว็บไซต์ของคุณ

ด้วยเหตุนี้ปัจจัยสำคัญลำดับแรกจำเป็นต้องสร้างเว็บไซต์ของตนเองขึ้นมา จากนั้นจึงนำไปจดทะเบียนโดเมนเพื่อไม่ให้คนอื่นสามารถใช้ชื่อซ้ำได้ เมื่อดำเนินการเรียบร้อยก็นำเว็บไซต์ของตนเองไปอัปโหลดเข้าสู่ระบบ Hosting หรือระบบการฝากพื้นที่ออนไลน์นั่นเอง

ทางด้านของ Hosting จะเข้าสู่กระบวนการติดตั้งซอฟต์แวร์ โปรแกรมต่าง ๆ ที่สามารถจัดการเว็บไซต์ของคุณให้สามารถดำเนินการได้อย่างสมบูรณ์แบบ เช่น Web Server, FTP, Database, DNS, E-mail, Subdomain ฯลฯ เท่านี้หน้าเว็บไซต์ก็พร้อมออกสู่สายตาทุกคู่แล้ว ทั้งนี้ค่าบริการโฮสติ้งส่วนใหญ่จะจ่ายเป็นรายปี

เลือกบริการ Hosting ต้องพิจารณาเรื่องใดบ้าง

1. ระบบเซิร์ฟเวอร์

นี่คือหัวใจสำคัญมากของบริการ Hosting เลยก็ว่าได้ หากระบบเซิร์ฟเวอร์ไม่ดีนั่นหมายถึงเว็บของคุณก็อาจเกิดปัญหาต่าง ๆ ง่ายมาก เช่น เว็บล่มบ่อย ไม่ลื่นไหล เว็บค้าง ไม่เสถียร ดาวน์โหลดนาน และอีกมากมาย ท้ายที่สุดเมื่อมีคนกดคลิกเข้าไปย่อมได้รับประสบการณ์เชิงลบและไม่อยากเข้ามาดูอีก หลักเบื้องต้นของเซิร์ฟเวอร์ที่ดีจึงต้องลื่นไหล ไม่มีสะดุด Uptime มากกว่า 99% หรือถ้าแตะระดับ 99.5% จะยิ่งดีมาก ไม่ใช่การนำ PC มาหลอกลวง หน่วยประมวลผลรวดเร็ว เป็นต้น

2. บริการที่ยอดเยี่ยมทุกช่วงเวลา

การพัฒนาเซิร์ฟเวอร์ให้มีประสิทธิภาพหลายเจ้าผู้ให้บริการเองต่างพยายามหนัก ในฐานะของลูกค้าลำดับต่อไปจึงควรประเมินไปที่บริการและประสบการณ์ที่คุณได้รับ เบื้องต้นเลยต้องมีความเชี่ยวชาญ ชำนาญบริการแบบเฉพาะทาง อธิบายสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างละเอียด มีทีมงานคอยดูแล ปรับปรุง อัปเดต หรือแก้ไขข้อผิดพลาดอยู่ตลอด สิ่งสำคัญต้องดำเนินการด้วยความรวดเร็ว ฉับไว เพราะโลกออนไลน์ยุคนี้ใครช้าก็เท่ากับเสียโอกาส ยิ่งถ้าเป็นธุรกิจด้วยแล้วอาจมีมูลค่ามากกว่าที่คิดไว้หลายเท่า

3. ตำแหน่งของเซิร์ฟเวอร์

ตำแหน่งหรือ Location ของเซิร์ฟเวอร์ควรอยู่บริเวณ Data Center สามารถเชื่อมต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทั่วโลกได้แบบ 24 ชั่วโมง ภายใต้ระดับความเร็วสูงสุด และทีมงานมืออาชีพต้องคอยควบคุมดูแลเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดด้านความปลอดภัยเป็นอันขาด

4. ความปลอดภัยสูงสุด

ข้อนี้คืออีกเรื่องสำคัญที่มองข้ามไม่ได้หากจะเลือกใช้บริการ Hosting ที่ใดก็ตาม เพราะข้อมูลต่าง ๆ ของธุรกิจควรต้องได้รับการปกป้อง ระวังภัย รักษาความปลอดภัยได้ดีแบบ 100% ป้องกันความเสี่ยงและอันตรายจากปัจจัยแวดล้อมภายนอกที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น Spyware, Spam, Viruses, DDoS Attacks หรือ Phishers เป็นต้น จะช่วยให้เกิดความสบายใจ เช่น การตั้งค่ารหัสผ่านทุกอย่างแบบรัดกุม

รูปแบบบริการของ Hosting

1. Shared Hosting

เป็นบริการที่จะแบ่งพื้นที่ Hardware Network หรือแบ่งพื้นที่ในการเช่าบนเซิร์ฟเวอร์เพื่อให้ผู้เช่าทุกคนใช้งานร่วมกัน โปรแกรมแบบเดียวกันทั้งหมด บริการนี้จะเหมาะสำหรับคนทำเว็บทั่วไป ไม่ได้มีข้อมูลใด ๆ เยอะมากนัก สามารถ SSH หรือ FTP ดูไฟล์เฉพาะของเว็บตัวเองเท่านั้น ข้อเสียทางเทคนิคคือ หากโดนโจมตี โดนยิง โดนไวรัส หรือถูกแบน IP จาก Google ทุกเว็บจะโดนพร้อมกันหมด ราคาถูก ปีละ 500-1,000 บาท

2. VPS Hosting

บริการนี้จะคล้ายกับผู้เช่ามีเซิร์ฟเวอร์เป็นของตนเอง ผู้ดูแลสามารถบริหารจัดการซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ได้ตามชอบผ่านระบบ Remote Desktop Connection ซึ่งจะมีโปรแกรมเฉพาะเอาไว้ให้ (CPanel) เป็นประเภทโฮสติ้งที่ได้รับความนิยมอย่างมาก อยู่ราวๆปีละ 1,000-1,500 บาท

3. Dedicated Server

เซิร์ฟเวอร์ประเภทนี้จะเป็นของผู้เช่า หรือผู้ใช้บริการแค่เพียงเจ้าเดียว สามารถใช้งานทรัพยากรต่าง ๆ ได้แบบเต็มพิกัด มีระบบบริหารจัดการโดยตรงหรือฝ่ายที่ดูแลในองค์กรของตนเอง มีระดับความปลอดภัยสูงมาก มักนิยมใช้กับเว็บที่มีข้อมูลเยอะ หรือกลุ่มเว็บแนวอี-คอมเมิร์ซ ข้อเสียคือค่าใช้จ่ายสูง ราคาเริ่มต้นเฉลี่ย 20,000/ปี

4. Cloud Hosting

บริการนี้จะคล้ายกับ VPS แต่มีความต่างเรื่อง Infastructure การเพิ่มลดสเป็คของเครื่อง เช่น CPU,RAM,Disk สามารถทำได้เพียงกดคลิกบนหน้าเว็บไซต์ อาจจะมีช่วงเวลา Downtime เล็กน้อย แถมปัจจุบันปี 2024 ราคาถูก และเป็นเทคโนโลยีที่จะนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยการเช่าเซิฟเวอร์แบบเก่าก็จะเริ่มน้อยลง ยังมีผู้ให้บริการเช่าเซิฟเวอร์ประเภทย่อยเรื่องเพิกเฉยต่อลิขสิทธิ์ เช่น DMCA Ignored Hosting ราคาขึ้นกับสเป็คที่เลือก ประมาณ 3,000-10,000 บาทต่อปี

5. Reseller Hosting

จะเป็นลักษณะของผู้ให้บริการเช่าโฮสติ้ง ที่เลิกใช้งานไปแล้ว เครื่องว่างแต่ไม่ใช่เครื่องใหม่ ในกรณีที่ธุรกิจมีหลายเว็บไซต์ต้องดูแลก็จะเลือกรูปแบบนี้ไปใช้งานได้เช่นกัน เหมือนซื้อเซิฟเวอร์มือสอง ราคาจะถูกลง

Web Hosting ประกอบด้วยอะไรบ้าง

ในเครื่องโฮสติ้ง หรือเครื่องเซิฟเวอร์ จะประกอบด้วย ซอฟต์แวร์ (Software) ของระบบเช่น ระบบปฏิบัติการลินุกซ์ (Linux Operating System) ไฟล์โค้ดของเว็บแอปพลิเคชัน ฐานข้อมูล (Database) อีเมลเซิฟเวอร์ ระบบการกู้คืนสำรองข้อมูล (Backup) และอื่นๆ

Cloud Hosting vs. VPS Hosting: Trends

เรามาดูแนวโน้มความสนใจการค้นหาบนกูเกิลที่ Google Trend รายงานเปรียบเทียบกัน ยุคต่อไปจะเป็น Cloud Hosting นิยมกว่าอย่างแน่นอนครับ

ใครอยากทำเว็บไซต์ต้องให้ความสำคัญกับ Hosting

ยืนยันอีกครั้งว่าหากคุณวางแผนอยากทำเว็บไซต์เป็นของตนเองทั้งรูปแบบบริษัท หน่วยงาน องค์กร หรือแม้แต่บุคคลทั่วไปที่อยากนำเสนอข้อมูลตามความชอบเพื่อเผยแพร่ให้กับผู้อื่นได้รับรู้ สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญนอกจากการออกแบบดีไซน์เว็บ การค้นหาข้อมูลต่าง ๆ แล้วนั่นคือเรื่องของ Hosting เพราะถ้าคุณเจอบริการที่ดี มีประสิทธิภาพเว็บก็มีสิทธิ์เติบโตตามแผนที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ ตรงข้ามต่อให้เนื้อหาดี ภาพสวย วิดีโอน่าสนใจ แต่ถ้าระบบเว็บไม่ได้มาตรฐาน ทุกอย่างก็มีสิทธิ์ไม่ได้ตามที่คาดหวังเช่นกัน

สรุป

Hosting เป็นอีกสิ่งสำคัญของการทำเว็บไซต์ที่ทุกคนจำเป็นต้องศึกษาเอาไว้ แม้ไม่ได้ถึงขนาดต้องลงลึกเพื่อดำเนินการด้วยตนเอง แต่ถ้าคุณเลือกรูปแบบบริการได้อย่างถูกต้อง เลือกผู้ให้บริการที่ดี มีมาตรฐาน ระบบลื่นไหล ไม่มีสะดุด ค้าง มาพร้อมความเสถียรก็ย่อมเสริมภาพลักษณ์และต่อยอดธุรกิจได้ต่อเนื่องแน่นอน

]]>
Vlog คืออะไร ใครอยากเป็นสายคอนเทนต์ต้องทำความรู้จักไว้เลย https://seomasterth.com/vlog-%e0%b8%84%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b0%e0%b9%84%e0%b8%a3/ Wed, 14 Feb 2024 18:13:34 +0000 https://seomasterth.com/?p=28342 ในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา เมื่ออินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทกับชีวิตของแต่ละคนดูเหมือนโลกจะพัฒนาแบบก้าวกระโดดชนิดท่คนยุคเก่าตามแทบไม่ทันเลยทีเดียว ซึ่งหนึ่งในสิ่งที่บอกถึงการเข้ามาของความรวดเร็วได้ชัดเจนมากต้องยกให้กับคลิปวิดีโอที่ถูกเผยแพร่บนโลกออนไลน์จำนวนมาก ปัจจุบันถูกเรียกว่า “คอนเทนต์” (Content) ไม่ใช่แค่ทำสนุก ๆ แต่ยังสร้างรายได้มหาศาล และคำว่า Vlog ก็ได้เกิดขึ้นคู่กันด้วย ใครที่เป็นสายคอนเทนต์อยากรู้ว่า Vlog คืออะไร ตามมาทางนี้เลย

Vlog คืออะไร

Vlog คือ รูปแบบของการทำเรื่องราว เนื้อหาในลักษณะของคลิปวิดีโอ ส่วนใหญ่จะมีจุดประสงค์เพื่อบันทึกสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของผู้ถ่ายจากนั้นก็โพสต์ลงช่องทาง Social Media เช่น Facebook, YouTube, TikTok หรือช่องทางอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจ เนื้อหาที่ลงจะไม่มีกรอบกำหนดอะไรทั้งสิ้น หากผู้ถ่ายมีความสนใจเรื่องใด หรืออยากนำเสนอไลฟ์สไตล์แบบไหนก็สามารถทำตามใจชอบเลย (แต่ควรเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามกฎหมาย และไม่ผิดศีลธรรม) หากมีคนสนใจเกิดการติดตาม กดไลค์ กดแชร์ อาจมีสิทธิ์สร้างชื่อเสียงให้กับตนเองได้เช่นกัน ทั้งนี้คำว่า Vlog (อ่านว่า วล็อก) เป็นการนำเอาคำว่า Video กับ Blog มารวมกัน

อุปกรณ์เบื้องต้นสำหรับการถ่ายทำ Vlog

อย่างที่อธิบายไปว่าการทำ Vlog เป็นลักษณะของภาพเคลื่อนไหวซึ่งต้องอาศัยอุปกรณ์เบื้องต้นเพื่อให้ผลงานออกมาดูดี น่าประทับใจ เก็บบันทึกไว้เป็นความทรงจำ และยังสามารถแชร์เนื้อหาดังกล่าวกับคนอื่นได้ด้วย ซึ่งอุปกรณ์ที่ขอแนะนำ มีดังนี้

1. มือถือ / กล้องวิดีโอ

อุปกรณ์ชิ้นแรกที่จะขาดไม่ดเด็ดขาดเมื่อทำ Vlog นั่นคือ อุปกรณ์บันทึกภาพ ซึ่งปัจจุบันไม่จำเป็นต้องแบกกล้องตัวใหญ่เหมือนช่างกล้องสมัยก่อน แค่มีมือถือเครื่องเดียวก็สามารถถ่ายภาพ ถ่ายคลิปวิดีโอได้ตามต้องการ หรือใครจะเลือกเป็นกล้องวิดีโอ กล้องโกโปรที่สามารถลงน้ำได้ก็ไม่ว่ากัน ขอแค่ให้ภาพออกมาคมชัด บันทึกเสียงชัดเจน

2. ไมโครโฟน

แม้การถ่ายกับกล้องได้ยินเสียงชัดเจนระดับหนึ่งอยู่แล้ว แต่จะดีกว่าหรือไม่หากเสียงพูดและเสียงทุกอย่างใน Vlog ของคุณเสียงดังฟังชัด ดูเป็นมืออาชีพ และไม่ทำให้ผู้รับชมรู้สึกเบื่อ ดังนั้นการมีไมโครโฟนจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้แบบครบถ้วน ไม่ว่าไมโครโฟนแบบตั้งโต๊ะ ติดกับเสื้อ ก็ตามสะดวก

3. ขาตั้งกล้อง / ขาตั้งมือถือ

กรณีที่คุณทำการถ่าย Vlog โดยไม่ได้มีการเคลื่อนย้ายตัวเองไปไหน อาจเป็นการนั่งพูดคุย สัมภาษณ์ เพื่อเพิ่มความนิ่งของภาพที่ถูกบันทึกแนะนำให้เลือกซื้ออุปกรณ์อย่างขาตั้งกล้อง หรือขาตั้งมือถือ ซึ่งไม่ใช่แค่การถ่ายวิดีโอปกติเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้กับงานได้หลากหลาย เช่น ตั้งกล้องให้นิ่งแล้วถ่ายทำคลิปวิดีโอสั้นแบบเทคเดียว หรือการถ่ายปกติแต่ตั้งขากล้องเพื่อให้ภาพนิ่ง สวย คมชัด ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน

4. ไฟ LED

อุปกรณ์เสริมเพิ่มเติมสำหรับคนที่อยากจัดไฟให้ดูสว่าง เพื่อสร้างความหล่อ เท่ สวย ในสไตล์ที่เป็นตัวเอง หรือบางคนเป็นการนำเสนอสินค้าการมีไฟ LED ก็ช่วยสาดส่องให้ผู้รับชมสามารถมองเห็นผลิตภัณฑ์ชัดเจนขึ้น เพิ่มโอกาสในการขายมากกว่าเดิม

ตัวอย่างคอนเทนต์ทำ Vlog ยอดนิยม

ปัจจุบันการถ่าย Vlog มีรูปแบบที่หลากหลายขึ้นอยู่กับไอเดียและความ Create ของผู้สร้างคอนเทนต์แต่ละราย จึงเป็นข้อดีของผู้รับชมที่มีโอกาสเสพเนื้อหาน่าสนใจจำนวนมาก ซึ่งใครอยากเริ่มต้นสู่เส้นทางนี้ลองสำรวจตัวเองว่าถนัดทำเนื้อหาแนวใดมากที่สุด ซึ่งตัวอย่างคอนเทนต์ในการทำ Vlog ที่ได้รับความนิยมสูง แบ่งออกดังนี้

1. Vlog สายอาหาร

ไม่ว่าจะเป็นแนวการกินจุ การพาไปเยี่ยมชมร้านต่าง ๆ ร้านลับ หรือแนววิจารณ์อาหาร ก็ตอบโจทย์ทั้งสิ้น เหตุเพราะทุกคนต้องทานอาหาร และอาหารยังมักสร้างความสุขได้เสมอ ทุกครั้งเมื่อเห็นคนทานอาหารจึงมักดึงดูดให้ผู้อื่นอยากเข้ามารับชม

2. Vlog สายท่องเที่ยว

นอกจากอาหารอีกสิ่งที่จำนวนมากชื่นชอบนั่นคือการพาไปท่องเที่ยว ออกเดินทางยังสถานที่ต่าง ๆ ที่ตนเองยังไม่เคยไป หรือคาดว่าน่าจะไม่มีโอกาสได้สัมผัสด้วยตนเอง ซึ่งคอนเทนต์แนวนี้มีตั้งแต่การเที่ยวทั่วไปในเมืองไทย ต่างประเทศ ไปจนถึงสายลุยเที่ยวแบบแอดเวนเจอร์ เที่ยวป่า หรือเปิดโลกใบใหม่ที่คนอื่นไม่เคยรู้จัก

3. Vlog สายสุขภาพ

ยุคที่คนให้ความสำคัญกับสุขภาพ การสร้างคอนเทนต์ หรือทำ Vlog สายสุขภาพจึงดูเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจมาก แต่คอนเทนต์ Vlog สายนี้ต้องเน้นเรื่องความน่าเชื่อถือ ส่วนใหญ่จึงต้องเป็นคนที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงสุขภาพ เช่น แพทย์ พยาบาล นักโภชนาการ เทรนเนอร์ นักกีฬา เป็นต้น

4. Vlog สายเกม

ถ้าเป็นยุคใหม่ก็อาจเรียกสตีมเมอร์ คือกลุ่มคนที่จะเน้นเล่นเกมเป็นหลัก โดยเฉพาะเกมออนไลน์เพื่อให้คนที่ชื่นชอบแนวนี้ได้รับชม เพิ่มเติมความสนุก ตื่นเต้น และความแปลกใหม่ รวมถึงเทคนิคการเล่นต่าง ๆ เอาไว้เพียบ

5. Vlog สายบิวตี้

อยากขายสวยก็ต้องเลือก Vlog แนวบิวตี้กันได้เลย ไม่ว่าจะเป็นการสอนแต่งหน้า ปรับบุคลิกภาพ การทำศัลยกรรม และอื่น ๆ ตามความถนัดของตนเอง

สรุป

การทำ Vlog เป็นอีกแนวทางที่สามารถบ่งบอกตัวตนของผู้สร้างคอนเทนต์ได้อย่างดี ยิ่งถ้าผู้สร้างสรรค์มีไอเดียแปลกใหม่มากเท่าไหร่โอกาสมีชื่อเสียงก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ทั้งนี้ทุกการถ่ายทำต้องอยู่บนกรอบของจริยธรรม และไม่ผิดหลักกฎหมาย เพื่อความสบายใจ ไม่มีคดีใด ๆ ตามมาภายหลัง

 

]]>
ERP คืออะไร ระบบที่ทำให้การบริหารจัดการองค์กรง่ายกว่าเดิม https://seomasterth.com/erp-%e0%b8%84%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b0%e0%b9%84%e0%b8%a3/ Wed, 14 Feb 2024 18:13:05 +0000 https://seomasterth.com/?p=28339 เมื่อองค์กรมีขนาดใหญ่ขึ้นการบริหารจัดการต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องของบุคลากรย่อมเป็นเรื่องยากตามมาเสมอ ด้วยเหตุนี้ธุรกิจจำนวนมากจึงพยายามมองหาตัวช่วยที่จะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น สามารถเดินหน้าและเติบโตตามแผนที่คาดหวังเอาไว้ ระบบ ERP จึงเข้ามามีบทบาทในเรื่องนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่ง ERP คืออะไร สำคัญต่อองค์กรมากขนาดไหน ขอพาทุกคนมาทำความรู้จักกันเลย

ERP คืออะไร

Enterprise Resource Planning หรือ ERP คือ ซอฟต์แวร์บริการประเภทหนึ่งที่ถูกนำมาใช้บริหารทรัพยากรต่าง ๆ ภายในองค์กรให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย จัดการทุกอย่างได้ทั่วถึง สามารถรวมข้อมูลทุกอย่างเก็บเอาไว้ในฐานข้อมูลหลัก ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นส่วนบริหาร ทรัพยากรบุคคล การตลาด บัญชี คลังสินค้า และอื่น ๆ สามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้งานได้ตามระบบที่กำหนดผู้ใช้เอาไว้ ซึ่งข้อมูลที่อยู่ภายในก็มีตั้งแต่ตัวเลขทางบัญชี การเงิน ยอดขาย ยอดการสั่งซื้อวัตถุดิบ รายละเอียดการประชุม ฯลฯ

ปัจจุบัน ERP พัฒนาแบบก้าวกระโดดจนกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า ERP Software ลักษณะของโปรแกรมสำเร็จรูป ไม่จำเป็นต้องจ้างโปรแกรมเมอร์ค่าตัวแพงมาดำเนินการให้ สามารถจัดการข้อมูลต่าง ๆ ภายในองค์กรได้แบบครบถ้วน เชื่อมโยงทุก Module เข้าด้วยกัน สามารถอัปเดตได้แบบเรียลไทม์ เพื่อให้ทุกคนได้ใช้ข้อมูลชุดเดียวกันทั้งหมด สร้างผลดีต่อองค์กร

ระบบ ERP เบื้องต้นที่องค์กรควรมีไว้ใช้งาน

1. ระบบทรัพยากรบุคคล

อย่างที่เกริ่นเอาไว้ว่าเมื่อขนาดองค์กรใหญ่ขึ้น การบริหารบุคคลให้พึงพอใจมากที่สุดเป็นเรื่องสำคัญ ไม่เช่นนั้นหากควบคุมไม่อยู่ธุรกิจย่อมมีโอกาสเกิดความเสีหายได้ ระบบ ERP จึงเข้ามาช่วยทั้งเรื่องของการคัดสรรพนักงาน รายงานการเข้า-ออกงาน ประเมินผลงาน การกำหนดแผนงานของแต่ละฝ่าย วางแผนอบรม การขาด-ลางาน การเบิกเงินของพนักงาน ฯลฯ

2. ระบบจัดการด้านการเงิน

เป็นสิ่งที่ระบบ ERP ต้องเข้ามาเพิ่มความสะดวก รวดเร็ว ถูกต้อง และสามารถตรวจสอบได้จากหลายฝ่าย ป้องกันความเสี่ยงเรื่องการถูกยักยอก อีกทั้งยังรู้ว่าตอนนี้สถานะทางการเงินที่แท้จริงขององค์กรเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งระบบจัดการด้านการเงินก็มีตั้งแต่เรื่องของบัญชี ฝ่ายจัดซื้อ ฝ่ายขาย เป็นต้น

3. ระบบการจัดการข้อมูล

ระบบนี้จะช่วยให้การทำงานของพนักงานและผู้บริหารง่ายขึ้นกว่าเดิม เพราะสามารถจัดเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งหมดของธุรกิจเอาไว้อย่างครบถ้วนเพื่อให้สามารถจัดการอย่างมีแนวทางถูกต้อง ชัดเจน ทุกฝ่าย ทุกแผนกสามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้เพื่อวางแผนการทำงานของตนเองอย่างมีศักยภาพ เช่น ข้อมูลการนำเข้าวัตถุดิบ ยอดขายที่เกิดขึ้นจริง ค่าเสื่อมสภาพเครื่องจักร ฯลฯ ระบบ ERP จะนำเสนอรายงานผลลัพธ์มาให้เห็นง่ายขึ้นผ่านรูปแบบกราฟ

4. ระบบการขายและการจัดซื้อจัดจ้าง

กรณีที่สินค้าคุณมีหลายประเภทจนไม่สามารถบริหารด้วยระบบทั่วไปได้ การนำ ERP มาใช้ก็ถือเป็นอีกทางเลือกอันน่าสนใจมาก ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าทุกชิ้นมีจำนวนชัดเจน ขายได้เท่าไหร่ เหลือกี่ชิ้น เป็นเงินกี่บาท สถิติการขายที่เกิดขึ้น การจัดซื้อจัดจ้างกับองค์กรภาครัฐ การทำเอกสารประมูล ฯลฯ ทุกเรื่องสามารถรับรู้และบริหารได้อย่างดี

5. ระบบของผู้บริหาร

นอกจากฝ่ายต่าง ๆ ที่ควรมีระบบ ERP แล้ว ผู้บริหารเองก็ควรมีการแยกระบบเฉพาะเอาไว้เพื่อ่ให้ทุกอย่างจัดการง่ายขึ้นกว่าเดิม ดึงข้อมูลจากทุกระบบเข้ามาเพื่อศึกษา ค้นหาข้อมูล วิเคราะห์ กำหนดกลยุทธ์ วางแผน และสั่งการให้ตรงกับเป้าหมายหรือสิ่งที่องค์กรตั้งจุดประสงค์เอาไว้

อย่างไรก็ตามนอกจากทั้ง 5 ระบบ ERP ที่ระบุเอาไว้แล้วระบบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องก็ยังสามารถนำมาใช้งานได้แบบเต็มประสิทธิภาพเช่นกัน เช่น ระบบบริหารคลังสินค้า ระบบขนส่งสินค้า ระบบจัดการฝ่ายการตลาดออนไลน์ ฯลฯ

ประเภทของระบบ ERP ที่ใช้งานในปัจจุบัน

 1. ระบบ Cloud

เป็นระบบที่มีการติดตั้งไว้บนคลาวด์เซิร์ฟเวอร์ (Cloud Server) เพื่อให้การเข้าใช้งานของบุคลากรฝ่ายที่เกี่ยวข้องเป็นเรื่องง่ายมากขึ้น เหมาะกับการทำงานคนละสถานที่ เช่น ทำงานต่างสาขา ต่างโรงงาน หรือทำงานแบบ Work From Home เพียงแค่มีอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตก็เรียบร้อย ตอบโจทย์การทำงานยุคใหม่เป็นอย่างยิ่ง

2. ระบบ On – Premise

ระบบนี้จะทำการติดตั้งซอฟต์แวร์ ERP เอาไว้บน Hardware หรืออุปกรณ์หลักซึ่งองค์กรมีการใช้งานอยู่แล้ว จุดเด่นสำคัญต้องยกให้กับด้านความปลอดภัยสูงมาก ลดโอกาสเสี่ยงการถูกแฮ็กข้อมูลจากเหล่าสแกมเมอร์ แต่ทั้งนี้การทำงานต้องอยู่ในพื้นที่ที่สามารถเชื่อมต่อกับระบบได้เท่านั้น จึงเหมาะกับองค์กรที่มีข้อมูลส่วนบุคคลลูกค้าหรือข้อมูลที่สุ่มเสี่ยงอันตรายหากตกไปอยู่ในมือของมิจฉาชีพ

ระบบ ERP สำคัญต่อองค์กรอย่างไรบ้าง

  • ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพบริหารจัดการในด้านต่าง ๆ ขององค์กรได้อย่างดีเยี่ยม ช่วยให้ทุกคนสามารถพาองค์กรก้าวไปสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้ภายในเวลาอันรวดเร็ว
  • สามารถจัดการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ทันท่วงทีหากมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น ไม่ต้องรอสะสมเอาไว้จนเกินเยียวยา
  • มีความปลอดภัยสูงมาก สามารถรักษาข้อมูลต่าง ๆ ที่มีความสำคัญไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของมิจฉาชีพ
  • ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าใจระบบการทำงานได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว แม้เป็นคนใหม่ก็ไม่ต้องวุ่นวายกับการสอนเรื่องระบบต่าง ๆ
  • นำข้อมูลที่ได้ไปใช้วางแผนธุรกิจ วางแผนการตลาด และอื่น ๆ ในอนาคต

สรุป

ระบบ ERP เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะช่วยทำให้องค์กรประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายที่คาดหวังเอาไว้ สามารถเชื่อมต่อทุกข้อมูลเพื่อบริหารจัดการได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม ยิ่งเป็นองค์กรขนาดใหญ่ด้วยแล้วลำพังแค่ผู้บริหารหรือหัวหน้าแผนก หัวหน้าฝ่าย อาจไม่ได้รับข้อมูลทุกด้านตรงกัน หรือครบถ้วน แต่เมื่อมีระบบนี้เข้ามาไม่ว่าใครก็เช็กรายละเอียดเหล่านั้นและทำตามแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

]]>
CRM คืออะไร ซอฟต์แวร์การบริหารความสัมพันธ์ของธุรกิจกับลูกค้า https://seomasterth.com/crm-%e0%b8%84%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b0%e0%b9%84%e0%b8%a3/ Wed, 14 Feb 2024 18:08:21 +0000 https://seomasterth.com/?p=28336 หนึ่งในสิ่งสำคัญที่ทุกธุรกิจจำเป็นต้องทำให้ดีมากที่สุดคือ การบริหารความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจกับลูกค้า เพื่อสร้างความประทับใจ ความจริงใจ และส่งผลโดยตรงต่อเรื่องของยอดขาย ผลกำไร ภาพลักษณ์ของแบรนด์ ดังนั้นการทำความรู้จักกับ CRM อย่างละเอียดย่อมช่วยให้เกิดสิ่งที่คาดหวังไม่ยาก แล้ว CRM คืออะไร สำคัญกับการทำธุรกิจมากน้อยแค่ไหน จะขอพาทุกคนมาศึกษาพร้อมปรับใช้งานกันได้เลย!

CRM คืออะไร

หากอธิบายตามหลักการตลาดทั่วไป Customer Relationship Management หรือ CRM คือ แนวทางบริหารจัดการความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจกับลูกค้าไม่ว่าจะเป็นลูกค้าใหม่ที่พึ่งเข้ามา หรือลูกค้าเก่าที่อยู่ด้วยกันมานานให้อยู่ในเชิงบวก จุดประสงค์สำคัญเพื่อเปลี่ยนจากลูกค้าปกติสู่ Brand Loyalty ที่พวกเขาพร้อมแนะนำ สนับสนุน และเชียร์แบรนด์ของคุณให้กับคนอื่น ๆ และยังไงก็จะต้องใช้สินค้า / บริการแบรนด์นี้เท่านั้น ไม่มีทางนอกใจ เปลี่ยนใจเป็นอันขาด

อย่างไรก็ตามในอีกมุมหนึ่ง CRM ยังให้ความหมายถึงการเป็นระบบจัดการลูกค้าสัมพันธ์ได้ด้วยเช่นกัน ซอฟต์แวร์ที่พร้อมช่วยให้ธุรกิจสามารถรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ และยังสามารถรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ทั้งด้านการขาย การตลาด และการซัพพอร์ตลูกค้า เพื่อพัฒนาให้เกิดแนวทาง นโยบายที่ทุกคนในองค์กรสามารถปฏิบัติได้

ระบบ CRM มีความสำคัญกับธุรกิจอย่างไรบ้าง

การทำ CRM หรือการเลือกใช้ระบบ CRM ไม่ใช่แค่บันทึกข้อมูลลง Excel Sheet เพื่อจดบันทึกสถิติ ข้อมูลต่าง ๆ เท่านั้น แต่โปรแกรมหรือซอฟต์แวร์จำเป็นอย่างยิ่งในการเข้ามาสร้างบทบาทเพื่อให้ธุรกิจใกล้ชิดกับลูกค้า จนลูกค้ารู้สึกสนิทใจมากขึ้น เกิดการคล้อยตาม ศรัทธา เชื่อถือ มองเป็นภาพลักษณ์เชิงบวก ยินดีให้คำแนะนำกับคนอื่นหรือสนับสนุนทุกช่วงเวลา ยอดขาย ผลกำไรก็ดีขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน

ซึ่งระบบ CRM ในปัจจุบันของบ้านเรายังมักถูกสร้างเป็นซอร์สโค้ด (Source Code) แบบสาธารณะ จากนั้นองค์กรไหนก็ตามเมื่อเลือกใช้งานก็สามารถปรับแต่งแนวทางได้ตามความเหมาะสมและสอดคล้องกับลักษณะ หรือวัฒนธรรมองค์กร

ระบบ CRM ที่ดีต้องมีอะไรบ้าง

1. วิสัยทัศน์ (Vision)

คำว่าวิสัยทัศน์ไม่ได้หมายถึงตัวซอฟต์แวร์ แต่เป็นผู้ใช้งานที่ต้องพยายามสร้าง Vision ให้ชัดเจนว่า เป้าหมายในการสร้างความสัมพันธ์และรักษาความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้าคืออะไร ต้องทำแบบไหน ให้การวางระบบเป็นเรื่องง่ายขึ้นกว่าเดิม

2. กลยุทธ์ (Strategy)

เมื่อทุกคนเข้าใจวิสัยทัศน์ หรือเป้าหมายแล้วก็เริ่มต้นสร้างกลยุทธ์ต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่เยอะมากให้ลูกค้ารู้สึกถึงความประทับใจและชื่นชอบ กลายเป็น Brand Loyalty แบบเต็มตัว จะช่วยให้การทำธุรกิจเป็นเรื่องง่ายขึ้นกว่าเดิม

3. เมตริกซ์ (Metrics)

การตรวจสอบ วัดผลงาน วัดประสิทธิภาพเพื่อประเมินกลยุทธ์ที่ได้ทำไว้ว่าผลตอบรับเป็นทิศทางไหน ผลลัพธ์ตรงกับสิ่งที่คาดหวังมากน้อยเพียงใด หากยังไม่ใช่ก็จะได้หาวิธีปรับปรุง แก้ไขให้ดีขึ้นกว่าเดิม

4. ความร่วมมือ (Collaboration)

การเดินหน้าขององค์กรไม่ว่าจะมีแคมเปญ นโยบาย หรือเป้าหมายใด ๆ ก็ตามต้องเกิดจากความร่วมมือของทุกฝ่าย ไม่ใช่แค่คนใดคนหนึ่ง และยังรวมถึงความร่วมมือระหว่างองค์กร ระหว่างแผนก เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกดีมากที่สุด

5. เทคโนโลยี (Technology)

ระบบ CRM ถือเป็นเทคโนโลยีประเภทหนึ่งที่ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้เทคโนโลยีอันแสนทันสมัย สามารถนำไปใช้งานได้จริง มากไปกว่านั้นยังสามารถนำเทคโนโลยีอื่น ๆ เข้ามามีส่วนร่วมด้วยก็ไม่ว่ากัน ยิ่งโลกยุคใหม่ยังไงก็หลีกเลี่ยงสิ่งนี้ไม่ได้

6. ข้อมูล (Information)

การมีข้อมูลเยอะมากเท่าไหร่ย่อมช่วยให้องค์กรสามารถเก็บรายละเอียดเพื่อทำ CRM ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้ดีเยี่ยม แต่ทั้งนี้ข้อมูลดังกล่าวต้องน่าเชื่อถือ มีความชัดเจน และไม่สร้างผลเสียเมื่อปฏิบัติตาม

7. กระบวนการ (Process)

ทุกอย่างที่ทำล้วนต้องมีกระบวนการชัดเจนเพื่อการเติบโตอย่างมีศักยภาพ ลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดได้ทุกเวลา ทำตามลำดับขั้นตอนอย่างมีระเบียบ และยังสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้แบบทันท่วงที ไม่ต้องเสียเวลารื้อใหม่ทั้งหมด

8. ประสบการณ์จากลูกค้า (Customer Experience)

ท้ายที่สุดทุกระบบ ทุกกระบวนการของการทำ CRM ลูกค้าต้องได้รับประสบการณ์ที่ดีกลับไป เพื่อการเดินสู่เป้าหมายที่ใหญ่กว่าขององค์กรอย่างการสร้าง Brand Loyalty ยิ่งทำแบบนี้ได้เยอะโอกาสเติบโตก็มีสูงมากทีเดียว

เลือกระบบ CRM ยังไงให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

1. ประเมินจากขนาดธุรกิจ

การมีระบบ CRM ที่ใหญ่เกินไปอาจไม่ใช่คำตอบทั้งหมด เพราะมันทำให้คุณไม่สิ้นเปลืองงบมากเกินไป บริหารจัดการง่ายขึ้น ตรวจสอบแก้ไขได้อย่างทันท่วงที

2. ประเภทของการทำธุรกิจ

ต้องเข้าใจว่าระบบนี้มีตัวเลือกอยู่ในระดับหนึ่ง หากคุณยังไม่แน่ใจว่าธุรกิจของตนเองถูกจัดอยู่ในหมวดไหน ประเภทใดก็ การเลือก CRM ก็ทำได้ยาก เพราะมันอาจทับซ้อนและไม่ตรงกับวัตถุประสงค์

3. คุณสมบัติที่คาดว่าจะได้รับ

ไม่มีใครรู้ว่าหลังจากดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ แล้วผลลัพธ์จะเป็นแบบไหน แต่อย่างน้อยคุณสมบัติเบื้องต้นที่เกิดขึ้นก็ควรเป็นแนวทางให้ธุรกิจสามารถต่อยอดของตนเองได้

4. ราคาของระบบ

ท้ายที่สุดอย่าลืมประเมินเรื่องราคาด้วย เพื่อสร้างความคุ้มค่า ลดต้นทุนของธุรกิจ และยังช่วยสร้างผลกำไรในระยะยาวได้เป็นอย่างดี

สรุป

CRM เป็นรูปแบบของการสร้างความสัมพันธ์ของธุรกิจกับลูกค้า ซึ่งจะมีระบบ CRM เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย วัตถุประสงค์หลักเพื่อบริหารจัดการให้เกิด Brand Loyalty มากที่สุด จึงไม่ใช่แค่ทำยังไงให้ผลลัพธ์เป็นตามที่คาดหวัง แต่ต้องรู้ว่าควรทำแบบไหน มีการเตรียมพร้อมและวางกระบวนการเอาให้ถูกหลัก โอกาสการก้าวเข้าไปอยู่ในหัวใจลูกค้าจะไม่ใช่เรื่องยาก

]]>
Payment Gateway คืออะไร สิ่งที่คนทำธุรกิจออนไลน์ต้องใส่ใจ https://seomasterth.com/payment-gateway-%e0%b8%84%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b0%e0%b9%84%e0%b8%a3/ Tue, 13 Feb 2024 15:39:20 +0000 https://seomasterth.com/?p=28318 การทำธุรกิจออนไลน์นอกจากวางระบบเกี่ยวกับเว็บไซต์ ช่องทางการซื้อ-ขาย ช่องทางการติดต่อ พยายามทำ SEO และกลยุทธ์การตลาดออนไลน์รูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้ลูกค้ารู้จัก สนใจ และตัดสินใจซื้อมากที่สุด อีกเรื่องที่มองข้ามไม่ได้เด็ดขาดนั่นคือระบบรับชำระเงิน หากระบบดี ชำระง่าย มีความชัดเจน ลูกค้าย่อมเกิดความพึงพอใจและมีสิทธิ์กลับมาซื้อใหม่ได้ตลอด สิ่งที่เรียกว่า “Payment Gateway” จึงเกิดขึ้น ซึ่งใครที่ยังสงสัยว่า Payment Gateway คืออะไร ลองมาศึกษาข้อมูลกันอย่างละเอียดได้เลย และขอย้ำว่านี่คือสิ่งที่คนทำธุรกิจออนไลน์ต้องให้ความใส่ใจ

Payment Gateway คืออะไร

Payment Gateway คือ ระบบการชำระเงินผ่านออนไลน์โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วมในด้านการรวบรวมและถ่ายโอนข้อมูลระหว่างลูกค้ากับผู้ขาย หากอธิบายแบบเข้าใจง่ายมากขึ้นนี่เป็นการชำระเงินผ่านระบบออนไลน์โดยจะมีผู้ให้บริการ (ธนาคารหรือสถาบันการเงิน) เป็นคนกลางทำหน้าที่โอนเงินจากผู้จ่ายเงินไปยังผู้รับเงิน ทั้งการชำระด้วยวิธีโอนเงิน บัตรเครดิต บัตรเดบิต พร้อมเพย์ E-Wallet เคาน์เตอร์เซอร์วิสต่าง ๆ ฯลฯ ซึ่งในบ้านเราปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้

1. Payment Gateway แบบเชื่อมต่อธนาคารโดยตรง

เป็นระบบที่ทางธนาคารหรือสถาบันการเงินพัฒนามาเพื่อให้ลูกค้าเกิดความสะดวกมากขึ้น เช่น ธนาคารกรุงเทพใช้ Bualuang Merchant iPay ธนาคารกสิกรไทยใช้ K-Payment Gateway ธนาคารกรุงศรีอยุธยาใช้ Krungsri Biz Payment Gateway ธนาคารไทยพาณิชย์ใช้ SCB Payment Gateway เป็นต้น จุดเด่นสำคัญของ Payment Gateway รูปแบบนี้คือ ปลอดภัย น่าเชื่อถือมาก แต่เรื่องข้อด้อยก็ย่อมมีทั้งเงื่อนไขใช้บริการจุกจิกเยอะ บางธนาคารต้องมีเงินค้ำประกันขั้นต่ำ 1 แสนบาท มีค่าธรรมเนียมต่อการทำรายการ จึงเหมาะกับคนทำธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคลท้งห้างหุ้นส่วนและบริษัท

2. 3rd Party Payment Gateway

คนกลางจากภาคเอกชนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถาบันการเงินมาทำหน้าที่เป็นคนกลางสำหรับโอนเงินออนไลน์ระหว่างผู้ขายกับผู้ซื้อ เช่น GB Prime Pay (โกลบอล ไพรม์), Money Space (มันนี่ สเปซ), 2C2P, PayPal, Omise (โอมิเซะ)} ChillPay (ชิวเพย์) และ DigiO (ดิจิโอ) หรือ DigiPay เป็นต้น ข้อดีมากคือไม่ต้องมีเงินค้ำประกัน หลายเจ้าฟรีค่าธรรมเนียมรายปี มีบริการคอยให้ความช่วยเหลือตลอด 24 ชม. แต่ค่าธรรมเนียมต่อการโอน 1 ครั้งอาจสูงกว่าเล็กน้อย เหมาะกับธุรกิจทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก กาง ใหญ่ ก็สามารถเลือกใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อดีของการที่ธุรกิจเลือกใช้งานระบบ Payment Gateway

เมื่อรู้จักกับระบบการโอนชำระเงินผ่านออนไลน์กันไปแล้ว นี่คือเหตุผลที่สรุปมาให้แบบครบถ้วนว่าทำไมร้านค้าเล็ก ๆ ร้านค้าออนไลน์ ธุรกิจ SME ธุรกิจขนาดกลาง และธุรกิจขนาดใหญ่ ก็สามารถใช้งานระบบ Payment Gateway ได้อย่างสบายใจ

1. ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่คุณพัฒนาระบบต่าง ๆ ของธุรกิจให้ดีขึ้นย่อมส่งผลโดยตรงต่อตัวลูกค้า พวกเขาจะรู้สึกพึงพอใจ ชำระเงินง่าย สะดวก รวดเร็ว อยากกลับมาซื้อซำในครั้งถัดไป รวมถึงยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อตัวแบรนด์อีกด้วย

2. มีความปลอดภัยสูงมาก

เรื่องเงินเรื่องทองเป็นสิ่งที่ต้องระวังโดยเฉพาะการทำธุรกรรมบนโลกออนไลน์ ซึ่งระบบ Payment Gateway เองก็มีระบบดูแลความปลอดภัยที่เป็นไปตามหลักมาตรฐานของสากล เช่น SSL (Secure Sockets Layer), MasterCard SecureCode, Verified by VISA, PCI DSS เป็นต้น ซึ่งปกติแล้วจะมีทีมงานมากประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญสูงคอยสอดส่องดูแลตลอด 4 ชม.

3. ติดตั้งง่าย ระบบไม่ซับซ้อนใด ๆ

บ่อยครั้งพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ หรือธุรกิจขนาดเล็กไม่ได้มีคนช่วยมากนัก เจ้าของต้องจัดการเองหมด การปรับระบบต่าง ๆ ถือเป็นเรื่องวุ่นวายมาก แต่การเปลี่ยนมาใช้งาน Payment Gateway ไม่ใช่แบบนั้นเลย ไม่ต้องจ้างโปรแกรมเมอร์หรือใช้เงินทุนแพง ๆ แค่ทำการติดต่อกับผู้ให้บริการที่ธุรกิจไว้วางใจก็สามารถดำเนินการได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว

4. ฟีเจอร์การใช้งานหลากหลาย ครบถ้วน

ฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่ใช้งานได้มักขึ้นอยู่กับผู้พัฒนาที่เลือกใช้บริการ แต่ส่วนใหญ่ก็แทบไม่แตกต่างกันมากนัก มีทั้งการใช้ผ่านเว็บไซต์และ Social Media ระบบการรายงานเมื่อเงินเข้าบัญชี ระบบยืนยันการชำระเงินไปยังลูกค้า ฯลฯ เรียกว่ามีความครบถ้วน และเสริมความเป็นมืออาชีพด้านบริหารจัดการอย่างดีเยี่ยม

เลือกผู้ให้บริการ Payment Gateway อย่างไรให้ตอบโจทย์มากที่สุด

  • ผู้ให้บริการต้องมีความน่าเชื่อถือ มีประสบการณ์ การดูแลระบบถูกต้องเหมาะสมตามหลักมาตรฐาน
  • รองรับการชำระเงินออนไลน์ผ่านช่องทางที่หลากหลาย ครบครันทุกแพลตฟอร์ม
  • ระบบใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน แต่ต้องมีความปลอดภัย มีระบบการป้องกันต่าง ๆ อย่างสมบูรณ์แบบ
  • ผู้ให้บริการอัปเดตระบบซอฟต์แวร์ให้อยู่ตลอดเพื่อการพัฒนาต่อเนื่องและทันสมัย
  • ค่าบริการไม่แพงจนเกินไป มีการคิดค่าธรรมเนียมตามความเหมาะสม เพื่อให้ลูกค้าได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
  • มีทีมงานคอยซัพพอร์ตให้การดูแลตลอด 24 ชม. จะยิ่งเป็นเรื่องที่ดีมาก

Payment Gateway ในไทย (Non-bank) ยกตัวอย่าง มีเจ้าไหนบ้าง 2024

  • GB Prime Pay (โกลบอล ไพรม์)
    ให้บริการระบบรับชำระเงินออนไลน์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการรับชำระเงินด้วย Credit Card, QR Code Bill Payment, Mobile Banking, WeChatPay, Alipay หรือ E-wallet ต่างๆ
  • Omise
    คือ Payment Gateway เบื้องหลังความสะดวกสบายในการชำระเงินของธุรกิจชื่อดังหลายธุรกิจที่หลายคนอาจกำลังใช้งานอยู่โดยไม่รู้ตัว
  • 2C2P
    คือระบบการชำระเงินออนไลน์ที่ผู้ใช้งานสามารถชำระได้หลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นการตัดผ่านบัตรเครดิตหรือเดบิต ชำระเงินผ่านธนาคารแบบออนไลน์ ผ่านหน้าเคาน์เตอร์ธนาคาร ผ่านตู้ ATM หรือจ่ายผ่านหน้าเคาน์เตอร์เซอร์วิสที่ร่วมรายการ
  • DigiO (ดิจิโอ) หรือ DigiPay
    ดิจิโอสตาร์ทอัพผู้นำด้านการพัฒนาและให้บริการระบบชำระเงินในประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นในปี 2555 ให้บริการด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์สำหรับโซลูชั่นการชำระเงิน เช่น EDC, mPOS, การพิสูจน์และยืนยันตัวตนบุคคลแบบดิจิทัล
  • PayPal
    ถือเป็นผู้ให้บริการชำระเงินที่คู่ไทยมายาวนาน ตอนนี้ผู้ที่จะใช้งานต้องจดทะเบียนบริษัทเท่านั้นถึงจะใช้บริการรับการชำระเงินได้จากต่างประเทศ โดยการใช้งานจะมีส่วนให้เทส Sandbox และใช้งานจริงกำหนด Callback api เมื่อการชำระเสร็จเรียบร้อยได้
  • (ChillPay) ชิวเพย์
    สามารถเชื่อมต่อกับระบบต่างๆ ได้ง่าย เพราะมี Open API ที่เป็นมิตรกับทุกโซลูชั่น รวมถึง ChillPay ยังมี Sandbox ซึ่งเป็นระบบทดสอบการใช้งาน, การชำระเงิน ให้ร้านค้าต่างๆ เข้ามาทดลองก่อนเปิดใช้งานจริงได้ด้วย
  • Money Space (มันนี่ สเปซ)
    ผู้ให้บริการรับชำระเงินออนไลน์ด้วยบัตรเครดิต รุกธุรกิจ E-Commerce เตรียมเป็นผู้ให้บริการระดับชั้นนำ ผ่านช่องทางการรับชำระเงินบนโลกอินเตอร์เน็ตที่หลากหลาย ในอัตราค่าธรรมเนียมแสนถูก เจาะกลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ที่ต้องการเทคโนโลยีรองรับการชำระเงินออนไลน์ สะดวก ทันสมัย และลดขั้นตอนในการดำเนินงาน
  • stripe.com (สตริป)
    Stripe คือผู้นำให้บริการ Payment Gateway หรือระบบชำระเงินออนไลน์ ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มธุรกิจสตาร์ทอัพ จนถึงแบรนด์ดังอย่าง Amazon, Ford, Shopify ได้เปิดให้บริการมาแล้วกว่า 50 ประเทศทั่วโลก
  • SiamPay (สยามเพย์)
  • Paysbuy (เพย์สบาย)
  • Rabbit LINE Pay (แรบบิท-ไลน์ เพย์)
  • N26 (เอ็น 26)
    N26 หรือชื่อเดิม Number 26 เป็นสตาร์ตอัพจากเยอรมนีที่ก่อตั้งในปี 2013 บริษัทตั้งเป้าเป็น “ธนาคารผ่านแอพมือถือ” ที่ลูกค้าไม่จำเป็นต้องไปที่สาขาเลย ปัจจุบันมีลูกค้ามากถึง 200,000 รายทั่วยุโรปแล้ว
  • Pay Solutions
    ผู้ให้บริการรายแรกของไทยที่เปิด Crypto Payment บริการรับชำระเงินคริปโต เคอเรนซี่ บล็อคเชน โดยความร่วมมือกับพันธมิตรผู้ให้บริการแพลตฟอร์มในการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล รองรับการชำระได้มากกว่า 350 สกุลเงิน ไม่ว่าจะเป็นเหรียญ Bitcoin, Ethereum, XRP หรือสกุล Coin อื่นๆ โดยผู้จ่ายสามารถจ่ายผ่านระบบกระเป๋าคริปโท Metamask ผ่านระบบเครือข่าย Blockchain ของ Binance Smart Chain (BSC) ที่เป็นที่นิยมกันทั่วโลก

สรุป

Payment Gateway เป็นระบบการชำระเงินผ่านช่องทางออนไลน์ด้วยแพลตฟอร์มต่าง ๆ โดยเฉพาะการใช้ Mobile Banking บัตรเครดิต บัตรเดบิต สร้างความสะดวก รวดเร็ว และง่ายดายต่อลูกค้า อย่างไรก็ตามธุรกิจเองก็ต้องคอยระวังด้านความปลอดภัย หมั่นตรวจสอบข้อมูล ความผิดปกติอย่างสม่ำเสมอ เลือกใช้งานกับผู้ให้บริการที่มีชื่อเสียง มีคุณภาพ ตรงตามมาตรฐานระดับสากล สิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างความพึงพอใจ เสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ดียิ่งขึ้น โอกาสกลับมาซื้อซ้ำหรือบอกต่อคนอื่น ๆ ก็มีสูงมากตามไปด้วย

]]>
QR Code คืออะไร มิติใหม่ของการถูกใช้งานในสังคมยุคปัจจุบัน https://seomasterth.com/qr-code-%e0%b8%84%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b0%e0%b9%84%e0%b8%a3/ Mon, 12 Feb 2024 19:41:54 +0000 https://seomasterth.com/?p=28321 ทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นไปไหน รวมถึงการท่องโลกออนไลน์ก็ตาม สิ่งที่เรียกว่า “QR Code” มักถูกพบเห็นจนเป็นเรื่องปกติ ซึ่งหลายคนคงเกิดข้อสงสัยตามมาเกี่ยวกับกรอบสี่เหลี่ยมที่มีรอยแถบดำ ๆ ลวดลายประหลาดว่า QR Code คืออะไร ทำไมการใช้ชีวิตยุคใหม่สัญลักษณ์ดังกล่าวกลายเป็นสิ่งสำคัญที่คนทำธุรกิจ หรือแม้แต่การดำเนินชีวิตทั่วไปก็ต้องใช้งาน มาศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดพร้อมกันได้เลย

QR Code คืออะไร

Quick Response หรือ QR Code คือ สัญลักษณ์ที่มีลักษณะเป็นกรอบสี่เหลี่ยมแล้วภายในจะมีแถบสีทึบรูปแบบไม่ตายตัวกระจายกันอยู่ซึ่งแถบดังกล่าวมีการบันทึกข้อมูล รายละเอียด และสามารถตอบสนองได้ภายในเวลาอันรวดเร็วเพียงแค่ใช้มือถือสแกน ซึ่งปัจจุบันรูปแบบการพัฒนาเพื่อใช้งานจะแบ่งออกเป็น 2 แบบใหญ่ ได้แก่

  • QR Code ที่ถูกสร้างขึ้นมาผ่านเว็บไซต์ที่เปิดให้บริการผ่านระบบออนไลน์
  • การติดตั้งโปรแกรม QR Code เอาไว้บนอุปกรณ์หรือแพลตฟอร์มต่าง ๆ

สำหรับจุดเริ่มต้นของการกำเนิด QR Code ต้องย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ. 1994 บริษัทสัญชาติญี่ปุ่นอย่าง Denso-Wave ได้เป็นผู้คิดค้นขึ้น กระทั่งได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในวงกว้างเมื่ออินเทอร์เน็ตเฟื่องฟูแบบขี้สุดเหมือนที่พบเห็นในปัจจุบันนั่นเอง

ประเภทของ QR Code ที่นิยมใช้งาน

1. QR Code Model 1 และ Model 2

ถือเป็นคิวอาร์โค้ดรูปแบบดั้งเดิม มีขนาดใหญ่สุดหากเทียบกับประเภทอื่น ขนาด 73 x 73 Module ใส่ข้อมูลได้รวม 1,167 ตัว ขณะที่ Model 2 เป็นรุ่นพัฒนาซึ่งบรรจุข้อมูลรวมถึง 7,089 และปัจจุบันยังคงได้รับความนิยมมาก

2. Micro QR Code

มีขนาดเล็กมากเพียง 17 x 17 Module บรรจุตัวอักษรได้ 35 ตัว ถือว่าขนาดเล็กกว่าแบบแรกพอควร นิยมใช้สำหรับการให้ข้อมูลเพียงเล็กน้อยหรือกำหนดข้อมูลแค่เรื่องเดียวเท่านั้น

3. IQR Code

นอกจากมีขนาดเล็กแล้วยังถูกพิมพ์ตามแนวนอนเพื่อให้เก็บข้อมูลได้เยอะถึง 80% หรือถ้าเก็บข้อมูลปริมาณเท่ากันยังประหยัดพื้นที่แสดงผลอีกราว 30% บรรจุข้อมูลสูงสุด 40,000 ตัว

4. SQRC

จะคล้ายกับตัว QR Code Model 1 และ Model 2 มาก แต่จุดเด่นที่ทำให้น่าสนใจขึ้นนั่นคือ สามารถเก็บข้อมูลที่เป็นความลับได้

5. Frame QR

เป็นอีกแบบที่พบเห็นได้บ่อย ลักษณะคือสามารถใช้ภาพกราฟิก โลโก้ รูปภาพ สัญลักษณ์ต่าง ๆ เข้ามาใส่ภายใน QR Code ได้ จึงมักพบบ่อยเมื่อต้องทำกิจกรรมทางการตลาด หรือทำการตลาดออนไลน์เพื่อให้ลูกค้าเข้ามาเจอกันง่ายขึ้น

แนวทางในการนำ QR Code ไปใช้งาน

อย่างที่ทุกคนเห็นว่าปัจจุบันคิวอาร์โค้ดกลายเป็นอีกทางเลือกของธุรกิจและคนทั่วไปเมื่อต้องการส่งข้อมูล หรือรับข้อมูลใด ๆ ก็ตาม ประหยัดเวลา สะดวก รวดเร็ว ได้รายละเอียดครบถ้วน ซึ่งแนวทางที่มักนำ QR Code ไปใช้งานก็มีอยู่พอสมควร ประกอบไปด้วย

1. รับชำระเงิน

นี่คือรูปแบบที่ทุกคนพบเห็นได้บ่อยสุดในยุคปัจจุบันเลยก็ว่าได้ เมื่อการชำระเงินค่าสินค้า / บริการต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องจ่ายแค่เงินสดหรือบัตรเครดิตอีกต่อไป เพราะระบบ Mobile Banking ก็สร้างความสะดวก ง่ายดาย และปลอดภัยกว่า ไม่ต้องกลัวเงินหาย พกพามือถือเครื่องเดียวก็จ่ายได้ทุกสิ่ง แต่ลำพังจะให้พิมพ์ตัวเลขบัญชีธนาคารแต่ละครั้งคงเป็นเรื่องยุ่งยากมาก การมี QR Code รับชำระเงินจึงสะดวกต่อลูกค้า แค่สแกนมือถือก็เข้าสู่ระบบธนาคารแล้วกดจ่ายเงินได้ทันที

2. เพิ่มช่องทางการติดต่อเพื่อทำการตลาดออนไลน์

ลำดับต่อมาถูกใช้งานเพื่อสร้างช่องทางติดต่อระหว่าง 2 ฝ่าย เช่น ร้านค้าสร้างคิวอาร์โค้ดเพื่อให้ลูกค้าเพิ่มเพื่อนสำหรับอัปเดตข่าวสาร ติดตามข้อมูลต่าง ๆ หรือสอบถามรายละเอียดอื่นเพิ่มเติม ซึ่งจุดนี้เองยังถือเป็นช่องทางการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ รวมถึงโอกาสสร้างยอดขายให้เกิดขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย ยิ่งยุคนี้แนวทางทำการตลาดเปลี่ยนไปเยอะมาก พฤติกรรมคนใช้มือถือกันแทบทั้งวัน ธุรกิจก็สามารถใช้เทคนิคเพิ่มเพื่อนเพื่อกระตุ้นความรู้สึกและการตัดสินใจซื้อได้เช่นกัน

3. ลงทะเบียนข้อมูลต่าง ๆ

อีกแนวทางของการใช้คิวอาร์โค้ดที่พบเห็นบ่อยมากนั่นคือ การลงทะเบียนเพื่อกรอกข้อมูลต่าง ๆ เช่น การสมัครสมาชิก การสมัครเป็นตัวแทน การลงทะเบียนเข้าร่วมงาน ลงทะเบียนเข้า-ออกสถานที่ บอกลาปัญหาความสับสน แถมยังสะดวก รวดเร็ว ง่ายดาย มีรายละเอียดและข้อมูลทุกอย่างชัดเจน ครบถ้วน นำไปใช้ประโยชน์ตามความต้องการ

QR Code จำเป็นต่อการทำธุรกิจมากขนาดไหน

จากข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้ระบุไปต้องยอมรับว่าทุกวันนี้ธุรกิจจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับ QR Code เป็นอย่างมาก เพราะสามารถนำเสนอทุกสิ่งที่ต้องการสื่อสารออกไปได้อย่างครบถ้วน โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนแพง ๆ แต่เข้าถึงแบบส่วนตัวยิ่งกว่า ไม่ว่าลูกค้าจะอยู่ที่ไหนก็พบเห็นการสื่อสารต่าง ๆ ของทางธุรกิจได้ครบถ้วน หรือแม้แต่ธุรกิจหน้าร้านทั้งออนไลน์และออฟไลน์ที่ต้องมีการรับชำระเงิน คิวอาร์โค้ดย่อมช่วยลดภาระการจัดการงานได้หลายรูปแบบ เช่น คนไม่ต้องต่อคิวเพื่อรอเงินทอน ตรวจสอบเงินเข้า-ออกได้ครบถ้วน และยังเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กรในเรื่องความทันสมัย และมีส่วนลดการใช้วัสดุต่าง ๆ ไม่สร้างมลพิษทางสิ่งแวดล้อมด้วย

Static qr code vs Dynamic qr code

Static qr code เป็นคิวอาร์โค้ดที่ไม่สามารถแก้ไขข้อมูลได้ เหมาะสำหรับใช้ทำ Marketing Campaigns หรือ PR Event ใช้ซ้ำได้สแกนกี่ครั้งก็ได้ ส่วน Dynamic QR Code สามารถแก้ไขข้อมูลได้หลังบ้าน เพื่อกรณีปริ๊นไปใช้งานแล้ว แต่ต้องการแก้ไขปลายทาง ก็สามารถทำได้ และบางกรณียังใช้เก็บ Expire Date วันหมดอายุของ QR Code ยกตัวอย่าง QR Payment หรือใช้ในกรณี QR Login หรือจะกำหนดลิมิตการใข้งานเช่น QR Code ที่ใช้สแกนแจกรางวัลในงานอีเว้นท์ เป็นต้น

สรุป

QR Code กับการใช้งานในยุคปัจจุบันต้องบอกว่ามีความสำคัญต่อธุรกิจเป็นอย่างมาก ทั้งเรื่องการชำระเงิน การติดต่อเพื่อสื่อสารระหว่างธุรกิจกับลูกค้า ใช้เพื่อโปรโมทกลยุทธ์ทางการตลาดต่าง ๆ เป็นต้น มีหลายรูปแบบให้เลือก เสริมภาพลักษณ์องค์กรให้ดูดีขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นธุรกิจที่ยังลังเลใจอย่าคิดนานเพราะอาจโดนคู่แข่งแซงเอาง่าย ๆ เลยก็ได้

 

]]>
E-Commerce คืออะไร ช่องทางการทำธุรกิจออนไลน์ในยุคปัจจุบัน https://seomasterth.com/what-is-ecommerce/ Sun, 11 Feb 2024 07:29:32 +0000 https://seomasterth.com/?p=28285 การพัฒนาแบบก้าวกระโดดของเทคโนโลยีทำให้อินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทกับชีวิตของทุกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้แต่เรื่องการทำธุรกิจ การซื้อ-ขายสินค้าต่าง ๆ ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ก็เลือกใช้ช่องทางออนไลน์ด้วยกันทั้งสิ้น คำว่า “E-Commerce” จึงเกิดขึ้นพร้อมกับข้อสงสัยของคนอีกจำนวนไม่น้อยว่าสรุปแล้ว E-Commerce คืออะไร มีรูปแบบไหนบ้าง รวมถึงข้อมูลอื่น ๆ ที่น่าสนใจ มาศึกษารายละเอียดทั้งหมดกันได้ตอนนี้เลย

E-Commerce คืออะไร

E-Commerce คือ รูปแบบการทำธุรกิจผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งภาษาไทยสามารถใช้คำว่า พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ต้องอาศัยอินเทอร์เน็ตและช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ เป็นปัจจัยสำคัญเพื่อการซื้อ-ขายสำเร็จผล ผู้ซื้อและผู้ขายมาเจอกันผ่านช่องทางดังกล่าว เกิดกระบวนการซื้อ-ขายตามขั้นตอนปกติ ผ่านระบบตะกร้าสินค้า ด้วยเหตุนี้ผู้ขายในฐานะของคนทำธุรกิจก็จำเป็นต้องมีช่องทางเป็นของตนเองเพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้ามาเลือกซื้อสินค้า / บริการต่าง ๆ ได้ตามต้องการ

ประเภทของธุรกิจ E-Commerce

ในภาพรวมของการซื้อ-ขายออนไลน์ หลายคนอาจเข้าใจว่าเกี่ยวข้องเฉพาะระหว่างธุรกิจกับบุคคล แต่ในความเป็นจริงยังสามารถแบ่งประเภทของธุรกิจ E-Commerce ได้อีกเยอะพอสมควร ซึ่งปัจจุบันจะมีด้วยกัน 8 ประเภท ดังนี้

  • B2C – ธุรกิจขายสินค้า / บริการให้กับลูกค้าบุคคลโดยตรง (ผู้บริโภค) สามารถพบเจอได้ทั่วไป หลายครั้งมักถูกเรียกว่าการขายให้กับผู้บริโภคคนสุดท้าย
  • B2B – ธุรกิจขายสินค้า / บริการให้กับธุรกิจด้วยกัน อาจเป็นในรูปแบบของการค้าส่ง การผลิต การให้บริการ จากนั้นธุรกิจที่ซื้อก็นำเอาสิ่งดังกล่าวไปเข้าสู่ขั้นตอนการผลิตหรือขายยังผู้บริโภคต่อไป
  • C2B – บุคคลขายสินค้า / บริการให้กับธุรกิจ การที่บุคคลทั่วไป ไม่ได้มีการจดทะเบียนนามธุรกิจนำสินค้ามาขายต่อให้กับธุรกิจ เช่น เกษตรกรขายพืชพันธุ์ทางการเกษตรให้ธุรกิจผ่านออนไลน์ การสั่งอาหารจากร้านทั่วไปผ่านออนไลน์เพื่อเลี้ยงพนักงาน เป็นต้น
  • C2C – บุคคลขายสินค้าสินค้า / บริการให้กับบุคคลด้วยกัน มีทั้งรูปแบบการสร้าง Online Marketplace คือ พื้นที่ ๆ ให้ทั้งคนซื้อและคนขายมาเจอกันได้ หรือผู้ขายสร้างเว็บของตนเองแต่ไม่ได้มีการจดทะเบียนในนามบริษัท
  • B2G – ธุรกิจขายสินค้า / บริการให้กับรัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐ เช่น E-Bidding แล้วธุรกิจเป็นผู้ชนะ
  • C2G – บุคคลขายสินค้า / บริการให้กับรัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐ เช่น E-Bidding แล้วบุคคลธรรมดาเป็นผู้ชนะ
  • G2B – รัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐขายสินค้า / บริการให้กับธุรกิจผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น การประกาศประมูลสินค้าออนไลน์
  • G2C – รัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐขายสินค้า / บริการให้กับผู้บริโภคผ่านช่องทางออนไลน์

ข้อดีของการทำธุรกิจแบบ E-Commerce

  • สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ทั่วโลก ไม่ได้จำกัดอยู่แค่คนกลุ่มใด หรือบริเวณใดบริเวณหนึ่งเท่านั้น
  • หน้าร้านออนไลน์สามารถเปิดขายได้ตลอด 24 ชม. ยิ่งถ้าคุณมีการนำระบบตะกร้าสินค้า Shopping Cart และ Payment Gateway เข้ามาใช้งาน เพิ่มโอกาสสร้างรายได้ให้มากขึ้นกว่าเดิม
  • แนวโน้มของธุรกิจ E-Commerce ยังคงเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง ธุรกิจจึงสามารถแตกไลน์สินค้า / บริการของตนเองออกไปได้เรื่อย ๆ
  • ค่าใช้จ่ายและต้นทุนของธุรกิจประหยัดลงเยอะมาก ไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าใช้จ่ายจิปาถะอื่น ๆ
  • สร้างการรับรู้เพื่อขยายแบรนด์ให้เติบโตขึ้นได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว และยังสามารถสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์เพื่อกระตุ้นยอดขายในอนาคตได้
  • สามารถแข่งกับธุรกิจขนาดใหญ่ได้จริง ไม่จำเป็นต้องลงทุนเยอะ แค่เพิ่มไอเดียสร้างสรรค์และใช้กลยุทธ์ด้านการตลาดออนไลน์เข้ามาช่วย
  • นำเอาข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้จากพฤติกรรมผู้บริโภคหรือผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมไปพัฒนา วางแผนทางการตลาดในอนาคต

ข้อควรระวังในการทำธุรกิจแบบ E-Commerce

  • ด้วย E-Commerce เป็นการทำงานผ่านระบบออนไลน์ โอกาสที่จะโดนขโมยข้อมูล หรือแฮกเพื่อเข้ามาสร้างความเสียหายต่อธุรกิจมีสูง เช่น การขโมยข้อมูลส่วนตัวลูกค้า ข้อมูลทางธุรกิจ ฯลฯ ต้องมีการสร้างระบบป้องกันให้แข็งแกร่งและอัปเดตอยู่ตลอด
  • พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ธุรกิจจึงจำเป็นต้องอัปเดตเทรนด์ให้ทันกับสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่อยู่เสมอ
  • ข้อมูลต่าง ๆ ผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์สามารถดัดแปลง แก้ไข หรือปรับเปลี่ยนเพื่อเลียนแบบ ทำซ้ำได้ จึงอาจพบเจอกับข้อผิดพลาด หรือการหลอกลวง
  • ปัญหาด้านเทคนิคเกี่ยวกับระบบที่อาจเกิดข้อผิดพลาดได้ เช่น โดเมนล่ม การเชื่อมต่อของอินเทอร์เน็ตไม่เสถียร เป็นต้น
  • การสื่อสารระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายบางครั้งยังอาจมีข้อจำกัด เช่น ต้องติดต่อผ่านช่องทางอื่น ๆ หรือต้องรอการตอบกลับจากผู้ขายซึ่งเสียเวลา
  • ระบบการขนส่งสินค้าอาจเกิดปัญหาทำให้สินค้าไม่ถึงมือลูกค้าทันตามที่กำหนด และสร้างความเสียหายให้กับผู้รับได้เช่นกัน

ช่องทางยอดนิยมในการทำธุรกิจ E-Commerce

1. เว็บไซต์ส่วนตัว

นี่คือช่องทางที่มีจุดเด่นในหลาย ๆ ด้าน เช่น สามารถเพิ่มสินค้า / บริการทั้งหมดของธุรกิจลงไปได้แบบครบถ้วน มีความน่าเชื่อถือ และยังสามารถนำข้อมูลหลังบ้านต่าง ๆ เช่น จำนวนนาทีที่เข้ามายังหน้าเว็บไซต์ของแต่ละคน สถิติจากการทำ SEO ฯลฯ มาใช้วิเคราะห์เพื่อสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดต่อไป แต่มีค่าใช้จ่ายสูง

2. Social Media

ช่องทาง E-Commerce ที่ได้รับความนิยมมากสุด เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ง่าย มีลูกเล่นสร้างคอนเทนต์เยอะ แต่ยังอาจขาดความน่าเชื่อถืออยู่บ้าง รวมถึงปัจจุบันมีมิจฉาชีพพยายามหลอกลวงผู้บริโภคด้วยช่องทางดังกล่าวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

3. E-Marketplace

หรือเว็บคนกลางที่เปิดให้ผู้ขายนำผลิตภัณฑ์ไปลง จากนั้นจะทำการตลาดเองทั้งหมดเพื่อให้ลูกค้าเข้ามาซื้อสินค้า / บริการ ดังกล่าว สะดวก ไม่ยุ่งยาก แต่ก็แลกมาด้วยคู่แข่งขันที่เยอะมากนั่นเอง

สรุป

E-Commerce เป็นช่องทางการทำธุรกิจยุคใหม่ผ่านโลกออนไลน์ที่มีจุดเด่นด้านความสะดวก เข้าถึงลูกค้าง่าย วิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ได้รวดเร็ว แต่อาจต้องแลกมาด้วยความปลอดภัยซึ่งตรงนี้ธุรกิจจำเป็นต้องศึกษารายละเอียดให้ดี รับรองว่าโอกาสเติบโตไม่ใช่เรื่องเกินจริงอย่างแน่นอน

]]>
Shopping Cart คืออะไร หน้าเว็บของธุรกิจจำเป็นต้องมีหรือไม่ https://seomasterth.com/shopping-cart-%e0%b8%84%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b0%e0%b9%84%e0%b8%a3/ Sun, 11 Feb 2024 07:28:38 +0000 https://seomasterth.com/?p=28282 สังเกตว่าเวลาเข้าไปตามเว็บ E-Commerce ขายของออนไลน์ หรือเว็บไซต์ขายสินค้าแทบทุกประเภทจะมีรูปรถเข็น หรือตะกร้า เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกสรรสิ่งที่ตนเองต้องการ จากนั้นก็กดจองแล้วค่อยซื้อเป็นขั้นตอนสุดท้าย รูปของรถเข็นหรือตะกร้าดังกล่าวมีชื่อว่า “Shopping Cart” อย่างไรก็ตามคนที่พึ่งหันมาทำธุรกิจออนไลน์ หรืออยากเพิ่มช่องทางขายบนหน้าเว็บไซต์ตนเองอาจกำลังสงสัยว่า Shopping Cart คืออะไร แล้วเว็บของตนเองจำเป็นต้องมีหรือไม่ ลองมาศึกษาข้อมูลทั้งหมดกันเลย

Shopping Cart คืออะไร

Shopping Cart คือ ระบบซอฟต์แวร์ประเภทหนึ่งทำหน้าที่เปรียบได้กับรถเข็นหรือตะกร้าสินค้าเพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกช้อปปิ้งสินค้าบนหน้าเว็บไซต์ได้ทั้งหมดตามความต้องการของตนเอง เมื่อกดเข้าไปยังสินค้าตัวไหนแล้วถูกใจก็สามารถคลิกปุ่ม Add to Cart หรือเพิ่มสินค้าในตะกร้าได้ทันที รวมถึงยังสามารถปรับแต่งสินค้าในตะกร้าของตนเองได้ว่าต้องการเพิ่ม-ลดจำนวน หรือลบสินค้าที่ไม่ต้องการแล้วให้ออกไปก่อนเข้าสู่ขั้นตอนการชำระเงิน

ซึ่งระบบดังกล่าวทุกเว็บไซต์สามารถทำขึ้นมาได้เพียงเลือกใช้งานสคริปต์จากบางโปรแกรม เช่น PHP, ASP, CGI ซึ่งเป็นภาษา HTML ผสานกับการทำงานของคุกกี้หากรายการสินค้าบนเว็บของคุณไม่ได้มีตัวเลือกเยอะมากนัก แต่ถ้าเป็นเว็บไซต์ที่มีสินค้ามาก เช่น ร้านค้าปลีก เว็บแบรนด์ ก็มักต้องเสียเงินซื้อซอฟต์แวร์สำเร็จรูปที่สามารถรองรับปริมาณข้อมูล และช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ระบบการทำงานของ Shopping Cart

หากทุกคนเคยใช้งาน website แต่ไม่ได้เจาะลึกรายละเอียดใด ๆ ก็คงประเมินว่านี่เป็นระบบอันแสนสะดวกต่อตัวลูกค้า ไม่จำเป็นต้อสั่งซื้อทีละชิ้นให้วุ่นวาย ชอบชิ้นไหนก็เลือกเอาไว้ในตะกร้าก่อน หากเจอของที่ดีกว่าชิ้นเดิมก็แค่เปลี่ยน หรือลบของเดิมออก ซึ่ง่ความเป็นจริงนั้นระบบของ Shopping Cart มีการทำงานแบบออกเป็น 3 ส่วน ประกอบไปด้วย

1. ระบบสินค้า

ฐานข้อมูลเว็บไซต์จะต้องมีข้อมูลต่าง ๆ ของสินค้าทั้งหมดภายในเว็บที่ถูกจัดเรียงเอาไว้อย่างมีระเบียบ ปกติถ้าตัวเว็บไม่ได้สลับซับซ้อนอะไรมากก็มักสร้างฐานข้อมูลแค่ตารางเดียวเพื่อเก็บข้อมูลต่าง ๆ ของสินค้าทั้งหมด แต่ในกรณีเป็นสินค้ากลุ่มเฉพาะหลังบ้านก็จำเป็นต้องสร้างระบบอื่นขึ้นมาเพิ่มเติม เช่น ตารางสินค้าหลัก ตารางหมวดหมู่สินค้า ตารางภาพสินค้า ตารางโปรโมชั่นสินค้า ตารางราคา ตารางส่วนลด / คูปอง เป็นต้น

2. ระบบลูกค้า

เป็นแนวทางที่จะต้องบริหารจัดการให้คนเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์และเกิด Engagement มากที่สุด ได้รับประสบการณ์ที่ดี โอกาสตัดสินใจซื้อก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริง เช่น การสร้างระบบล็อกอินให้กับลูกค้าเมื่อสมัครแล้วกรอกข้อมูลครั้งเดียว เมื่อจะสั่งสินค้าข้อมูลทั้งหมดก็ปรากฏทันที อาทิ ชื่อ ที่อยู่ ไม่ต้องพิมพ์ใหม่ซ้ำหลายรอบให้ปวดหัว เป็นต้น ซึ่งระบบนี้มีความละเอียดอ่อนต้องอาศัยความชำนาญและพยายามศึกษา Feedback ของลูกค้าอยู่ตลอด

3. ระบบคำสั่งซื้อ

เป็นระบบการแจ้งรายละเอียดและเก็บข้อมูลเมื่อมีลูกค้าเข้ามาสั่งซื้อสินค้าบนหน้าเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งตามหลักเบื้องต้นรูปแบบทำงานก็จะมี 2 ตารางขั้นต่ำที่ทำงานร่วมกัน

4. ระบบการชำระเงิน

เป็นระบบ Payment Method ที่ให้ลูกค้าเลือกวิธีการชำระเงิน เช่น ชำระเงินผ่านธนาคาร (iBanking) สแกนคิวอาร์โค้ด PayPal คริปโต เก็บเงินปลายทาง TrueMoney หรือ บัตรเครดิต เป็นต้น

อย่างไรก็ตามนอกจาก 3 ระบบดังกล่าวแล้ว การใช้งาน Shopping Cart ก็ยังมีระบบอื่น ๆ ตามความเหมาะสมที่เว็บไซต์จะเลือกนำมาใช้งานให้เกิดลูกเล่นและความน่าสนใจ เช่น ระบบรูปภาพสินค้า เพื่อให้ลูกค้าเห็นและตัดสินใจซื้อง่ายขึ้นกว่าเดิม ระบบกราฟรายงาน ใช้เป็นข้อมูลหลังบ้านว่าสถิติการซื้อ-ขายสินค้าประเภทต่าง ๆ เป็นอย่างไรเพื่อวางแผนการขายในอนาคต

รูปแบบของ Shopping Cart ที่ได้รับความนิยม

สำหรับรูปแบบของ Shopping Cart ที่บรรดาเว็บไซต์จำนวนมากมักนิยมให้ลูกค้าได้เลือกใช้งานจะแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ซึ่งมีความใกล้เคียงกันและสามารถระบุได้ว่าสรุปแล้วสินค้าที่สั่งซื้อมีทั้งหมดกี่ชิ้น ดังนี้

1. ระบบเติมตัวเลขสินค้า

สามารถกดจำนวนสินค้าที่ต้องการเป็นตัวเลขระบุลงไปได้ทันทีก่อนกดเพิ่มสินค้าในตะกร้า นิยมใช้กับสินค้าที่ต้องสั่งครั้งละปริมาณมาก ๆ เกินหลัก 10 หรือหลัก 100 ชิ้นขึ้นไป เพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้า ไม่ต้อนั่งกดเพิ่มทีละชิ้นให้ยุ่งยาก

2. ระบบกดเพิ่มจำนวนสินค้า

เป็นระบบที่ทุกคนพบเจอได้บ่อยมากสุด หลักการคือเมื่อคุณต้องการสินค้าชนิดใดก็ตามกดเพื่อเพิ่มจำนวนสินค้าตามต้องการ จากนั้นค่อยสั่งเพิ่มสินค้าในตะกร้า ได้ความสะดวก ไม่ต้องเปลี่ยนแป้นพิมพ์เป็นตัวเลขให้ยุ่งยาก ใช้ได้กับสินค้าทุกประเภท

ทั้งนี้หลักการทำงานหลังบ้านของทั้ง 2 รูปแบบ จะมีลักษณะแบบเดียวกันนั่นคือเมื่อมีคำสั่งเพิ่มสินค้าในตะกร้าระบบจะทำการส่งรหัสสินค้าที่อยู่ในลิสต์บนระบบสินค้าเข้าสู่ตะกร้าสินค้า เพื่อให้รู้ว่าตอนนี้มีสินค้าชนิดใดบ้างที่ถูกสั่งอยู่

หน้าเว็บของธุรกิจจำเป็นต้องมี Shopping Cart หรือไม่?

การมี Shopping Cart อยู่หน้าเว็บเหมาะกับธุรกิจที่มีสินค้า / บริการให้ลูกค้าได้เลือกสรร จากนั้นก็กดเลือกสิ่งที่ตนเองต้องการแล้วเข้าสู่ระบบชำระเงินได้ทันที สะดวก รวดเร็ว ถูกต้อง ดังนั้นหากคุณตั้งใจทำหน้าเว็บเป็นอีกช่องทางการขายก็ควรต้องมีระบบดังกล่าวเอาไว้ ช่วยเพิ่มความทันสมัย สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้องค์กรอีกด้วย แต่สำหรับเว็บทั่วไป ไม่ได้ขายสินค้า หรือเป็นสินค้าที่ต้องขายผ่านคนเท่านั้นก็อาจไม่จำเป็นต้องใช้ระบบดังกล่าวให้สิ้นเปลืองต้นทุนการทำเว็บ

สรุป

Shopping Cart หรือตะกร้าสินค้า / รถเข็นสินค้า เป็นระบบที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ลูกค้าที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บสามารถเลือกซื้อสินค้า / บริการบนเว็บดังกล่าวได้ง่ายขึ้น ไม่จำเป็นต้องสั่งซื้อทีละชิ้น หรือติดต่อผู้ขายใด ๆ ให้ยุ่งยาก มีทั้งแบบเติมตัวเลขและกดเพิ่มจำนวน หากคุณวางแผนอยากให้เว็บตัวเองเป็นกึ่ง E-Commerce การมีระบบดังกล่าวไว้ช่วยได้เยอะมาก

]]>