SEO Optimization – SEO Master บริษัทรับทำ SEO รับดูแลเว็บไซต์ ราคาถูก ครบวงจร https://seomasterth.com SEO MASTER Fri, 15 Mar 2024 17:43:04 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.3.5 https://seomasterth.com/wp-content/uploads/2023/11/cropped-seomaster-icon-32x32.jpg SEO Optimization – SEO Master บริษัทรับทำ SEO รับดูแลเว็บไซต์ ราคาถูก ครบวงจร https://seomasterth.com 32 32 Niche Keyword คืออะไร สำคัญอย่างไรกับการทำ SEO https://seomasterth.com/niche-keyword-%e0%b8%84%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b0%e0%b9%84%e0%b8%a3/ Fri, 15 Mar 2024 17:43:04 +0000 https://seomasterth.com/?p=28454 Niche Keyword คืออะไร สำคัญอย่างไรกับการทำ SEO

 

Niche Keyword คืออะไร อีกหนึ่งเรื่องที่คนทำ SEO ควรจะรู้ความหมายและรู้รายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งนี้ เพื่อนำไปปรับใช้ในเหมาะสม เพราะนอกจาก Keyword จะช่วยให้ค้นหาเนื้อหาของเราเจอแล้ว Niche Keyword ก็มีส่วนที่สำคัญมากที่ช่วยให้หาเนื้อหาของเราเจอเช่นกัน และมีส่วนทำให้เนื้อหาติดอันดับบนเว็บ Search Engine ได้

 

Kerword คืออะไร?

 

ก่อนจะเข้าสู่ความหมายของ Niche Keyword ขออธิบายความหมายของ Keyword ก่อน โดย Keyword คือคำที่ผู้ใช้งานค้นหาบนอินเทอร์เน็ต อาจเป็นคำเดียวหรือเป็นวลีก็ได้ มักจะเป็นคำสั้นๆ เพื่อค้นหาเรื่องที่ต้องการอยากรู้ อย่างเช่นคนที่กำลังค้นหาโทรศัพท์มือถือมือสอง ก็มักจะมีคำค้นยอดนิยมอยู่ ได้แก่ มือถือมือสอง, ขายมือถือ, ขายมือถือ มือสอง เป็นต้น คำเหล่านี้คือ Keyword ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อ ขาย โทรศัพท์มือถือ มือสองนั่นเอง

Niche Keyword คืออะไร?

 

Niche Keyword คือ Keyword ที่มีความเจาะจง จะขยายความ Keyword ทั่วไป ซึ่งในการค้นหา ของผู้ใช้งานส่วนหนึ่งมักจะค้นหาด้วย Niche Keyword ดังนั้นถ้าจะทำให้คนกลุ่มนี้ค้นหาเนื้อหาของเราเจอก็ต้องใช้ Niche Keyword ในการทำ SEO ด้วย

 

โดยทั่วไป Niche Keyword มักเป็นชื่อแบรนด์ หรือถ้าหากไม่ใช่ชื่อแบรนด์ ก็จะเป็นคำที่เจาะจงถึง Keyword หลัก ยกตัวอย่างเช่น Keyword หลักคือ “โทรศัพท์” Niche Keyword ของคำนี้อาจจะเป็น “โทรศัพท์ Samsung” “โทรศัพท์ Oppo” เป็นต้น หรือถ้าหาก Keyword หลักคือคำว่า “ที่พักพัทยา” Niche Keyword ก็อาจจะเป็น “ที่พักพัทยา ติดทะเล” เป็นต้น

 

เนื่องจากผู้ใช้งานที่ค้นหาด้วย Niche Keyword มีความเจาะจงที่จะค้นหาสิ่งหนึ่ง เช่น การค้นหาโทรศัพท์มือถือ ก็เจาะจงว่าจะต้องเป็นแบรนด์นั้นเท่านั้น หรือการค้นหาที่พักพัทยา ก็เจาะจงว่าจะต้องเป็นที่พักพัทยา ติดทะเลเท่านั้น โดย Niche Keyword มักจะมี Search Volume ที่ต่ำลงมาจาก Keyword หลัก แต่ก็ตอบโจทย์การค้นหาที่มีประสิทธิภาพ

ความสำคัญของ Niche Keyword คืออะไร

 

ความสำคัญของ Niche Keyword มีดังนี้

เพิ่มการเข้าถึงเนื้อหาของกลุ่มเป้าหมาย

 

จากที่ได้กล่าวไปในข้างต้นว่า Niche Keyword คือคำค้นหาที่ค่อนข้างเจาะจง ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมการค้นหาที่เจาะจง ดังนั้นความสำคัญของ Niche Keyword คือการเพิ่มการเข้าถึงเนื้อหาของกลุ่มเป้าหมาย กล่าวคือกลุ่มเป้าหมายของเรามีโอกาสที่จะเข้าถึงเนื้อหาของเราได้มากขึ้นนั่นเอง

 

แน่นอนว่าการใช้ Keyword เพื่อดึงคนที่ค้นหาด้วย Keyword และมาเจอเนื้อหาของเราก็จริง แต่นั่นอาจไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของเราก็ได้ แต่ถ้าคนนั้นค้นหาด้วย Niche Keyword ก็มีโอกาสที่จะเป็นกลุ่มเป้าหมายมากกว่า ยกตัวอย่างเช่น การที่คนๆ หนึ่งค้นหาที่พักพัทยา และไปมาเจอที่พักพัทยาของเรา ซึ่งเป็นที่พักพัทยา ติดทะเล แต่เขาคนนั้นอาจไม่ได้ต้องการที่พักติดทะเลก็ได้ เพราะเขาไม่ได้เจาะจง แต่ถ้ามีคนที่ค้นหาด้วยคำว่าที่พักพัทยา ติดทะเล นั่นหมายความว่าคนนี้เจาะจงเลือกที่พักติดทะเล คนนี้เองที่มีโอกาสเป็นกลุ่มเป้าหมายของเรามากกว่า และมีโอกาสสูงกว่าที่จะจองที่พักกับเรา เป็นต้น

 

เพิ่มยอดขายสินค้าหรือบริการ

 

จากที่ได้กล่าวไปในข้างต้นว่าความสำคัญของ Niche Keyword คือช่วยเพิ่มการเข้าถึงเนื้อหาของกลุ่มเป้าหมาย การที่เนื้อหาดึงกลุ่มเป้าหมายให้เข้าถึงได้มากขึ้น ก็มีโอกาสที่จะปิดการขายได้มากขึ้น

 

ยกตัวอย่าง เปรียบเทียบระหว่างเว็บไซต์ A ที่มีคนทั่วไปเข้าถึงมาก แต่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย กับเว็บไซต์ B ที่มีคนเข้าถึงน้อยกว่าแต่เมื่อเปรียบเทียบเฉพาะคนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายแล้ว เว็บไซต์ B กลับมีคนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายเข้าถึงมากกว่า

 

ดังนั้นโอกาสที่เว็บไซต์ B จะปิดการขายได้ก็อาจมีสูงกว่าเว็บไซต์ A เพราะกลุ่มเป้าหมายมีโอกาสที่จะตัดสินใจซื้อมากกว่าคนทั่วไปที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย

 

เพิ่ม Traffic ให้กับหน้าเว็บไซต์ส่งผลดีต่อการจัดอันดับ

 

หลักการทำ SEO อีกหนึ่งเรื่องคือยิ่ง Traffic ดี มีคนเข้าถึงมาก ก็มีโอกาสที่เนื้อหาจะติดอันดับบนเว็บ Search Engine ได้สูงขึ้น และการใช้ Niche Keyword ที่ตอบโจทย์ผู้รับสารได้ดีกว่า Keyword ทั่วไป ก็มีโอกาสที่จะดึงคนให้อยู่ในหน้าเว็บไซต์ได้นานกว่า เช่น ถ้าหากเป็นบทความให้ความรู้ โอกาสที่คนเข้ามาอ่านแล้วอ่านจนจบ ก็จะมีสูงกว่าการเข้ามาด้วย Keyword ทั่วไป การอ่านเนื้อหาจนจบ ก็อยู่หน้าเว็บนานขึ้น มีส่วนช่วยเพิ่ม Traffic ให้หน้าเว็บไซต์ได้ และยิ่ง Traffic มากก็มีผลต่อการจัดอันดับที่สูงขึ้นด้วย

วิธีหา Niche Keyword 

 

1.การใช้ Google 

 

วิธีแรกง่ายมากในการหา Niche Keyword คือการใช้ฟีเจอร์ของ Google โดยเข้าเว็บไซต์ Google.com จากนั้นลองค้นหาด้วย Keyword หลักดูก่อน เช่นลองค้นคำว่า “ที่พักพัทยา” ระบบของ Google ก็จะแสดงคำที่เกี่ยวข้องกับที่พักพัทยาคำอื่นๆ ขึ้นมาอีกหลายคำ คำเหล่านั้นเองที่เป็น Niche Keyword ที่สามารถนำไปใช้งานต่อได้

 

หรืออีกวิธีหนึ่งลองค้นคำว่า “ที่พักพัทยา” แล้วกด Enter จากนั้นเลื่อนลงเรื่อยๆ จะเจอคำที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ตรงนั้นก็เป็น Niche Keyword ที่สามารถนำไปใช้งานต่อได้เช่นกัน

 

2.การใช้ Google Ads 

 

เข้าใช้งาน Google Ads แล้วไปที่ Tools แล้วคลิกที่ Planning จากนั้นเลือก Keyword Planner แล้วเลือก Discover new keywords แล้วค้นหาด้วย Keyword หลักแล้วกด Get result ระบบก็จะแสดงผลการ Search Volume ของคำนั้นขึ้นมา และพร้อมกันนั้นจะแสดง Keyword ideas ขึ้นมาให้ด้วย คำเหล่านั้นก็ถูกใช้เป็น Niche Keyword ได้

 

3.การใช้ Keyword Tool

 

เข้าใช้งาน Keyword Tool ซึ่งทันทีที่เข้าหน้าเว็บไซต์ จะมีช่องให้ค้นหาคำที่ต้องการ จากนั้นให้ค้นหาด้วย Keyword หลักแล้วกดปุ่มแว่นขยาย ระบบก็จะแสดงผลการ Search Volume ของคำนั้นขึ้นมา และพร้อมกันนั้นจะแสดง Keyword ที่เกี่ยวข้องขึ้นมาให้ด้วย คำเหล่านั้นก็ถูกใช้เป็น Niche Keyword ได้

 

ทั้งหมดนี้ก็เป็นข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับ Niche Keyword ในเรื่องของความหมายของ Niche Keyword คืออะไร รวมถึงความสำคัญของ Niche Keyword และวิธีหา Niche Keyword เพื่อการนำมาใช้งานให้เหมาะสม

 

]]>
Tiktok SEO คืออะไร สำคัญอย่างไรกับคนทำธุรกิจ https://seomasterth.com/tiktok-seo-%e0%b8%84%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b0%e0%b9%84%e0%b8%a3/ Fri, 09 Feb 2024 08:50:58 +0000 https://seomasterth.com/?p=28241 Tiktok SEO คืออะไร สำคัญอย่างไรกับคนทำธุรกิจ

 

TikTok SEO คืออะไร อีกหนึ่งคำถามที่น่าสนใจในแวดวงธุรกิจออนไลน์ โดยเฉพาะคนที่ต้องการทำธุรกิจบน TikTok เพราะแพลตฟอร์มนี้กำลังได้รับความสนใจจากผู้ใช้งานหลากหลาย ทั้งผู้ที่ชอบดูคลิปต่างๆ รวมไปถึงผู้ที่ต้องการหาข้อมูลที่อยากรู้ ไปจนถึงการหาซื้อสินค้า เพราะ TikTok มีฟีเจอร์ซื้อขายสินค้าออนไลน์ที่กำลังได้รับความนิยม 

SEO คืออะไร

 

ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหา TikTok SEO คืออะไร มาดูก่อนความหมายคร่าวๆ ของคำว่า SEO ก่อน โดย SEO คือ Search Engine Optimization ซึ่งเกี่ยวกับการค้นหาบนออนไลน์ และการทำ SEO คือการทำเนื้อหาให้คนค้นหา (Search) แล้วเจอกับเนื้อหาที่ทำขึ้น โดยการใช้ Keyword เป็นตัวช่วยสำคัญที่จะทำให้เนื้อหาดังกล่าวถูกค้นพบหรือเจอบนออนไลน์ได้ง่าย หรือที่เรียกว่าติดอันดับบนเว็บ Search Engine นั่นเอง

TikTok SEO คืออะไร 

 

TikTok SEO คือกระบวนการปรับแต่งเนื้อหาบนคลิป TikTok เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ใช้งานมาเจอเนื้อหาหรือมาเจอคลิปของเราให้ได้มากที่สุด จากการค้นหาด้วย Keyword ลองสังเกตบนแอปพลิเคชั่น TikTok เอง ก็จะมีช่องสำหรับค้นหาอยู่ ซึ่งรองรับการค้นหาคลิปที่สนใจได้ เพื่อเพิ่มการมองเห็น เพิ่มยอดวิว สร้างรายได้ที่มากขึ้น โดย TikTok SEO ก็สัมพันธ์กับส่วนนี้นี่เอง ส่วนวิธีการทำ TikTok SEO คืออะไรบ้างนั้น จะอธิบายในหัวข้อถัดไป 

วิธีการทำ TikTok SEO คืออะไรบ้าง

 

มาดูวิธีการทำ TikTok SEO เพื่อให้คลิปถูกค้นเจอ ดังนี้ 

1.ใส่ Keyword ใน Caption

 

วิธีแรกในการทำ TikTok SEO คือ ตรงช่อง Caption หรือ Description ให้เขียนคำอธิบายคลิปที่เกี่ยวข้องกับคลิป และที่ต้องไม่ลืมคือ Keyword หรือคำสำคัญสั้นๆ ที่เกี่ยวข้องกับคลิปมากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากลงคลิปคอนเสิร์ต แน่นอน Keyword ที่ต้องใส่คือคำว่า “คอนเสิร์ต” แต่ทางที่ดีควรใส่ด้วยว่าคอนเสิร์ตนั้น เป็นคอนเสิร์ตอะไร โดยการใส่ชื่องานลงไปด้วย จะทำให้โอกาสถูกค้นเจอได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นหลักการทำ TikTok SEO อันดับแรกๆ 

 

2.ใส่ Keyword ตอนติด #Hashtag

 

เมื่อใส่คำอธิบายเสร็จแล้วในช่อง Caption หรือ Description วิธีการถัดมาสำหรับการทำ TikTok SEO คือการใส่แฮชแทก ซึ่งแฮชแทกควรเป็น Keyword ที่เกี่ยวกับคลิปนั้น สามารถใส่แฮชแทกได้หลายอัน ยิ่งถ้าเป็นแฮชแทกที่กำลังเป็นเทรนด์ยอดนิยมในช่วงเวลานี้ คลิปจะยิ่งถูกดันให้ขึ้นหน้า Feed รวมถึงช่วยเพิ่มโอกาสให้คลิปถูกค้นเจอได้ง่ายขึ้น แต่ควรเป็นแฮชแทกที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในคลิปด้วย 

 

3.เนื้อหาในคลิป

 

เนื้อหาในคลิปก็สำคัญกับการทำ TikTok SEO ที่สำคัญในการทำส่วนนี้คือเนื้อหาในคลิปและคำอธิบายควรเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกัน หรือคำพูดในคลิปที่มีการพูดคำที่เป็น Keyword ซ้ำๆ อาจเพิ่มโอกาสให้ถูกค้นเจอด้วย Keyword คำนั้นได้ง่ายขึ้น 

4.Engagement 

 

คลิปที่มี Engagement มากๆ ก็ช่วยให้การทำ TikTok SEO มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ปริมาณ Engagement ต่อคลิป อาจเป็นเรื่องที่เจ้าของคลิปกำหนดไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำได้คือพยายามนำเสนอเนื้อหาที่มีคุณภาพ โดยปฏิบัติตาม 3 ข้อข้างบนให้ครบถ้วน เพื่อการที่คลิปจะได้ถูกดันขึ้น Feed ของผู้ใช้งาน และมีโอกาสได้ Engagement ที่เพิ่มขึ้น ก็จะทำให้ถูกค้นเจอได้ง่ายขึ้น หรือมีผลต่อการติดอันดับบน TikTok 

เรื่องต้องรู้ของ TikTok SEO คืออะไรบ้าง

1.การหา Keyword เพื่อทำ TikTok SEO

 

การหา Keyword เพื่อมาทำ TikTok SEO สามารถหาได้ง่ายๆ โดยการลองพิมพ์สักคำในช่องค้นหาบนแอปพลิเคชั่น TikTok ก็จะขึ้นคำที่เกี่ยวข้องกับคำนั้นขึ้นมาให้หลายๆ คำ คำพวกนั้นล้วนเป็นคำที่คนนิยมค้นหา ดังนั้นถ้าหากทำคลิปตอบคำถามหรือมีเนื้อหาที่สอดคล้องกับคำพวกนั้นได้ ก็มีโอกาสที่จะถูกค้นเจอได้ง่ายขึ้น เป็นวิธีการหนึ่งในการหา Keyword เพื่อทำ TikTok SEO

2.ผลดีของการทำ TikTok SEO

 

แม้ว่าคนส่วนใหญ่เวลาเข้าใช้งานติ๊กต๊อกจะได้รับชมคลิปที่เกี่ยวข้องกับความสนใจของตัวเองทันทีที่เข้าใช้งาน โดยไม่ต้องค้นหา แต่อีกส่วนหนึ่งซึ่งมีไม่น้อยที่นิยมค้นหาคลิปที่อยากดูในติ๊กต๊อก บางคนถึงกับใช้ติ๊กต๊อกค้นหาสิ่งที่อยากรู้แทน Google เลยก็มี ดังนั้นการทำ TikTok SEO ก็จะตอบโจทย์การใช้งานลักษณะนี้ โดยเฉพาะคนที่กำลังอยากซื้อสินค้า มักทำการค้นหาสิ่งที่ต้องการมากกว่าจะรอให้คลิปเสนอเองอัตโนมัติ ถือเป็นผลดีของการทำ TikTok SEO 

3.ผู้ที่ควรทำ TikTok SEO

 

ผู้ที่ควรทำ TikTok SEO คือทุกคนที่ต้องการให้คลิปมียอดรับชมสูงๆ โดยเฉพาะคนทำคลิปขายสินค้า เพราะโดยธรรมชาติของผู้ใช้งานที่เข้าติ๊กต๊อกเพื่อหาสินค้า จะต้องทำการค้นหาด้วย Keyword ที่ช่องค้นหา ซึ่งการทำ TikTok SEO จะตอบโจทย์เรื่องนี้ได้ ดังนั้นผู้ที่ควรทำ TikTok SEO อย่างยิ่งคือผู้ขายสินค้าบนติ๊กต๊อก 

 

รองลงมาคือคนทำช่องติ๊กต๊อกในเชิงให้ข้อมูลสาธารณะ อย่างพวกที่ทำเนื้อหาให้ความรู้ หรือให้ข้อมูลแนะนำเรื่องราวต่างๆ เช่น แนะนำที่เที่ยว แนะนำร้านอาหาร แนะนำเครื่องสำอาง เป็นต้น เพราะคนที่กำลังหาข้อมูลเหล่านี้ก็มักจะค้นหาด้วย Keyword และการทำ TikTok SEO ก็ตอบโจทย์พฤติกรรมคนกลุ่มนี้ด้วยเช่นกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ว่าใครก็ตามถ้าหากต้องการเพิ่มยอดวิวให้กับคลิปติ๊กต๊อก ก็ควรทำ TikTok SEO ควบคู่ไปด้วยเสมอในทุกๆ คลิป

ข้อห้าม ข้อควรระวัง กฏของ TIKTOK SEO มีอะไรบ้าง

ถ้าไม่อยากโดนปิดกั้นการมองเห็น ไม่ว่าจะเป็นการลงคลิป TikToK Shop หรือ TikTok Live มาศึกษากฏการแบนต่างๆ (TikTok Violations) ของติ๊กต็อกกันครับ ข้อมูลอ้างอิงจาก: https://www.tiktok.com/legal/page/global/bc-policy/th

เนื้อหาเกี่ยวกับการเมือง

ต้องห้ามโพสต์หรือไลฟ์สดเนื้อหาเกี่ยวกับการเมือง ทั้งการอ้างถึง ส่งเสริม หรือคัดค้านผู้สมัครรับเลือกตั้ง ผู้นำทางการเมืองในปัจจุบันหรืออดีต พรรคการเมือง หรือองค์กรทางการเมือง

ความปลอดภัยของผู้เยาว์

TikTok ไม่สนับสนุนเนื้อหาที่ละเมิดความปลอดภัยของผู้เยาว์ รวมถึงการหาประโยชน์จากผู้เยาว์ เช่น การแสวงหาผลประโยชน์ทางเพศ การค้าประเวณี พฤติกรรมโป๊เปลือยของเยาวชนที่มีอายุไม่ถึง 18 ปี หรือการทำให้ผู้เยาว์เป็นวัตถุทางเพศ การทารุณกรรมทางเพศ รวมไปถึงการโพสต์ช่องทางการติดต่อ หรือการแชร์ข้อมูลส่วนตัวของผู้เยาว์

คอนเทนต์สีเทา สีดำต่างๆ

TikTok ห้ามไม่ให้ ห้ามขายอาวุธอันตรายทุกชนิด เช่น ปืน ระเบิด มีด ดาบ และวัตถุอื่น ๆ ที่ออกแบบมาเพื่อก่อให้เกิดอันตรายต่อบุคคล การพนันต่าง ๆ ทั้งพนันออนไลน์ คาสิโน การพนันกีฬา และเนื้อหาที่กล่าวถึงแบรนด์ที่ส่งเสริมกีฬาแฟนตาซี บิงโก ล็อตเตอรี่ หรือเนื้อหาเกี่ยวกับการพนันอื่น ๆ

พฤติกรรมที่เป็นอันตราย

TikTok ไม่สนับสนุนเนื้อหาที่ปรากฏให้เห็น ส่งเสริม เชิดชู หรือทำให้พฤติกรรมอันตรายที่อาจนำไปสู่การบาดเจ็บรุนแรงหรือเสียชีวิตเป็นเหมือนเรื่องปกติ เช่น การมีเครื่องมือ วัตถุอันตราย ปืน มีด อาวุธสงคราม ระเบิด การฆ่าตัวตายอยู่ในเนื้อหา หรือแม้แต่การขับขี่รถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ขณะถ่ายคลิปวิดีโอ ก็เสี่ยงโดนแบนได้เช่นกัน

พฤติกรรมโป๊เปลือยในผู้ใหญ่

นอกจากจะไม่อนุมัติพฤติกรรมโป๊เปลือยในผู้เยาว์แล้ว เนื้อหาที่มีพฤติกรรมส่อไปในเรื่องทางเพศของผู้ใหญ่ก็เป็นเรื่องที่ควรระมัดระวังเช่นเดียวกัน อาทิ ความรุนแรงทางเพศ การร่วมเพศ เนื้อหาที่ปรากฏให้เห็นอวัยวะเพศ บั้นท้าย หรือหน้าอก ตลอดจนการใช้ภาษาที่ส่อทางเพศอย่างโจ่งแจ้ง รวมถึง ภาพยนตร์ รายการทีวี และเกมที่จัดเรทตามอายุ

แอปพลิเคชันหาคู่ บริการหาคู่ และวิดีโอไลฟ์สด

ห้ามทำการโฆษณาแอปพลิเคชันหาคู่ บริการจัดหาคู่ และวิดีโอแบบไลฟ์สด ที่ให้บริการจัดหาคู่ การมีเพศสัมพันธ์ชั่วคราว หาเพื่อนชั่วคราว

คอนเทนต์เกี่ยวกับยา ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับยา

รวมถึงผลิตภัณฑ์และบริการทางเพศ บุหรี่และผลิตภัณฑ์ยาสูบ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และ ผลิตภัณฑ์ทางเภสัชวิทยาใด ๆ ที่อ้างว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพ ยาที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์ ยาที่ต้องสั่งโดยแพทย์ วิตามิน และผง เครื่องดื่ม หรือเยลลี่ กัมมี่ ที่อ้างว่ามีวิตามินหรือประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น ถุงยางอนามัย สารหล่อลื่น เจลหล่อลื่น ยาคุมกำเนิด ไวอากร้า ซิเดรก้า คามากร้า อื่นๆ เป็นต้น

การข่มเหงรังแกและการคุกคาม

เนื้อหาที่มีการดูถูกเหยียดหยามรูปร่างหน้าตา สีผิว เชื้อชาติ สัญชาติ ศาสนา หรือการทำให้รู้สึกอับอาย ถูกข่มเหงรังแกหรือคุกคามทางกายและใจ ดูถูกระดับสติปัญญา รวมถึงการใช้ฟีเจอร์แบบโต้ตอบของ TikTok (Duets) เพื่อทำให้ผู้อื่นเสื่อมเสีย

พฤติกรรมแสดงความเกลียดชัง

เนื้อหาที่เป็นวาทกรรม หรือพฤติกรรมสร้างความเกลียดชัง เช่น เนื้อหาที่โจมตี ข่มขู่ ยั่วยุให้เกิดความรุนแรง หรือลดทอนความเป็นมนุษย์ของบุคคลหรือกลุ่มบุคคล ดังนี้

  • ลักษณะทางเชื้อชาติ
  • ชาติพันธุ์
  • ชาติกำเนิด
  • ศาสนา
  • ชั้นวรรณะ
  • รสนิยมทางเพศ
  • เพศ
  • เพศสภาพ
  • เอกลักษณ์ทางเพศ
  • โรคร้ายแรง
  • ความทุพพลภาพ
  • สถานะการเข้าเมือง

สัตว์

ห้ามทำคอนเทนต์เกี่ยวกับการซื้อหรือขายสัตว์ ปศุสัตว์ ชิ้นส่วน/ผลิตภัณฑ์ของสัตว์ป่า เช่น แรด อุรังอุตัง ช้าง สัตว์ใกล้สูญพันธุ์หรือสัตว์คุ้มครอง ซึ่งรวมถึงอวัยวะ เขา งาช้าง กระดูก หนังสัตว์ ขนสัตว์ ฟัน และผลิตภัณฑ์ทุกชนิดที่ส่งเสริมการทารุณกรรมสัตว์ทุกรูปแบบ ทั้งนี้ยกเว้น

  • ผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์ (ของเล่น เสื้อผ้า ปลอกคอ กรง อาหาร ฯลฯ)
  • บริการสำหรับสัตว์เลี้ยง เช่น พาสุนัขเดินเล่น ดูแลสัตว์เลี้ยง คาเฟ่สัตว์เลี้ยง ตัดแต่งขนสัตว์เลี้ยง ฝึกอบรม ฯลฯ
  • อนุญาตเนื้อหาโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับการรับเลี้ยงสัตว์สำหรับ NGO, NPO และที่พักพิงสำหรับสัตว์จรจัด (ไม่อนุญาตบริการรับเลี้ยงที่ส่งเสริมสัตว์เลี้ยงที่ได้รับการเพาะสายพันธุ์หรือการเชิญให้เข้าร่วมการผสมสายพันธุ์สัตว์เลี้ยง)

พฤติกรรมสแปมการมีส่วนร่วม

  • เนื้อหาที่มีการแชร์คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีเพิ่มยอดเข้าชม ยอดกดไลก์ ผู้ติดตาม ยอดแชร์ หรือความคิดเห็น
  • มีส่วนร่วมในการขายหรือซื้อยอดเข้าชม ยอดกดไลก์ ผู้ติดตาม ยอดแชร์ หรือความคิดเห็น
  • โฆษณาบริการสร้างยอดผู้เข้าชมบน TikTok
  • เปิดใช้งานบัญชี TikTok หลายอันด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์ หรือหลอกลวงเพื่อเผยแพร่สแปมในเชิงพาณิชย์
  • สร้างซอฟต์แวร์ที่เป็นอันตรายหรือดัดแปลงโคดเพื่อเพิ่มยอดเข้าชม ยอดกดไลก์ ผู้ติดตาม ยอดแชร์ หรือความคิดเห็นที่ไม่เป็นจริง

ผลิตภัณฑ์หรือบริการทางการเงิน

ผลิตภัณฑ์หรือบริการทางการเงิน รวมถึงการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ สินเชื่อ บัตรเครดิต บริการซื้อตอนนี้จ่ายทีหลัง บริการรวมหนี้ บริการด้านการลงทุน การให้ยืมและการจัดการสินทรัพย์ด้านการเงิน แพลตฟอร์มการเทรด ธุรกิจพีระมิด ธุรกิจที่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพื่อเป็นสมาชิก การตลาดแบบหลายระดับชั้น หรือธุรกิจ MLM บริการซ่อมแซมเครดิต การประกันภัยอิสรภาพ การประมูลสินค้าออนไลน์ สกุลเงินเสมือนจริง และแผนการเงินรวยแบบรวดเร็ว เป็นต้น

การละเมิดลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้า

ผลิตภัณฑ์ที่อาจละเมิดความเป็นส่วนตัวส่วนของบุคคล ผลิตภัณฑ์ที่อาจขโมยข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่น ผลิตภัณฑ์ที่อาจละเมิดทรัพย์สินของบุคคลที่สาม ผลิตภัณฑ์ที่อาจขโมยทรัพย์สินของผู้อื่น ผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ช่วยให้เกิดการปลอมแปลง เช่น เบอร์โทรศัพท์ อีเมล เลขบัตรประชาชน และหลักฐานสำคัญต่าง ๆ

 

หลังจากที่ทำความเข้าใจกันไปแล้วว่า TikTok SEO คืออะไร ธุรกิจต่างๆ ที่ต้องการใช้แพลตฟอร์ม TikTok ต่อยอดให้ธุรกิจเติบโต ควรนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับธุรกิจของตัวเอง โดยเฉพาะธุรกิจซื้อขายสินค้าบน TikTok ที่อาศัยการค้นหาบน TikTok ของผู้ใช้งานเป็นหลัก จึงจำเป็นต้องทำ TikTok SEO ให้มีประสิทธิภาพ 

]]>
YMYL คืออะไร คนทำ SEO ต้องทำความเข้าใจด่วน https://seomasterth.com/ymyl-%e0%b8%84%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b0%e0%b9%84%e0%b8%a3/ Fri, 09 Feb 2024 08:26:19 +0000 https://seomasterth.com/?p=28230 YMYL คืออะไร คนทำ SEO ต้องทำความเข้าใจด่วน

 

YMYL คืออะไร อีกหนึ่งคำถามของคนทำ SEO เพราะได้ยินว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Google คนทำ SEO จะต้องทำความเข้าใจในเรื่องนี้ให้ดี โดยเฉพาะคนทำ SEO เกี่ยวกับสุขภาพและการลงทุน ซึ่งเกี่ยวกับ YMYL โดยตรง 

YMYL คืออะไร

 

YMYL คือ อัลกอริทึมจาก Google ที่มีไว้เพื่อกรองเนื้อหาด้านสุขภาพ การใช้ชีวิต และการลงทุนโดยเฉพาะ ย่อมาจากคำว่า “Your Money Or Your Life” สาเหตุที่ต้องมีอัลกอริทึมนี้ขึ้นมา ก็เพราะว่าหลายปีที่ผ่านมา Google ได้ทำการสำรวจและพบว่าผู้ใช้งานมีความสนใจเนื้อหาเกี่ยวกับสุขภาพและการลงทุนค่อนข้างมาก จึงต้องมีการคัดกรองเนื้อหากลุ่มนี้โดยเฉพาะ เพื่อแสดงผลลัพธ์ให้ตรงกับผู้ที่สนใจในเรื่องดังกล่าวได้อย่างตรงจุด 

ความสำคัญของ YMYL คืออะไร

 

หลักๆ เลย YMYL มีความสำคัญต่อผู้ใช้งานเป็นหลัก เพราะ Google ต้องการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งาน ให้ผู้ใช้งานที่ได้ทำการค้นหาเนื้อหาที่ต้องการอยากรู้และเจอเนื้อหาที่ตรงกับความต้องการจริงๆ อัลกอริทึมนี้จะช่วยกรองเนื้อหาเกี่ยวกับสุขภาพและการลงทุนออกมา และเพิ่มโอกาสการติดอันดับให้กับบทความเหล่านั้น ทำให้ผู้ใช้งานมีโอกาสพบเจอเนื้อหาเหล่านั้นได้ง่ายขึ้น 

 

โดยท่ามกลางเนื้อหาที่เกี่ยวกับสุขภาพและการลงทุนจำนวนมากบนโลกออนไลน์ YMYL จะทำการกรองเนื้อหาที่ตรงตามเกณฑ์ออกมา ซึ่งเป็นเนื้อหาที่มีคุณภาพ และดันให้ติดอันดับมากกว่าเนื้อหาที่ไม่ตรงตามเกณฑ์ แม้จะเป็นเนื้อหาสุขภาพหรือการลงทุนเหมือนกันก็ตาม ช่วยป้องกันการโน้มน้าวหรือชักจูงผู้ใช้งานแบบผิดๆ จากเนื้อหาคุณภาพต่ำ รวมถึงการสร้างเนื้อหา Fake news 

เกณฑ์ของ YMYL คืออะไร

 

เกณฑ์ของ YMYL จะเกี่ยวข้องกับ E-A-T หรือ E-E-A-T Factor ซึ่งเป็นกฎของ Google ได้แก่ 

 

  1. Expertise (ความเชี่ยวชาญ)
  2. Authoritativeness (ความมีอิทธิพล)
  3. Trustworthiness (ความน่าเชื่อถือ)
  4. Experience (การมีประสบการณ์)

 

โดยในการทำเนื้อหาด้านสุขภาพและการลงทุนเพื่อให้ผ่านเกฑ์ YMYL จะต้องเขียนโดยผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ สามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่าเชื่อถือ ซึ่งการเขียนเนื้อหาเหล่านั้นมักเกิดจากประสบการณ์ของผู้เขียน ไม่ใช่การลอกเนื้อหาจากเว็บไซต์อื่น และไม่ซ้ำกับเนื้อหาของคนอื่น จึงมีอิทธิพลต่อผู้รับสาร และมีโอกาสที่จะผ่านเกณฑ์ YMYL ได้สูงขึ้น เมื่อผ่านเกณฑ์ YMYL ก็จะช่วยให้เนื้อหามีโอกาสติดอันดับที่สูงขึ้น 

หลักการสร้างเนื้อหาให้ผ่านเกณฑ์ YMYL คืออะไร

 

1.สร้างเนื้อหาที่ไม่ซ้ำใคร 

 

หลักการแรกของการทำเนื้อหาให้ผ่านเกณฑ์ YMYL คือการสร้างเนื้อหาที่ไม่ซ้ำใคร ห้ามลอกเนื้อหาจากเว็บไซต์อื่น ควรเขียนขึ้นจากความเข้าใจ แสดงออกถึงความเชี่ยวชาญหรือรู้ลึกรู้จริงในเนื้อหานั้น ทำให้เนื้อหานั้นมีความน่าเชื่อถือสูง แต่ถึงอย่างนั้นแม้จะเป็นเนื้อหาที่ไม่ซ้ำใคร แต่ใจความสำคัญต้องเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่บิดเบือนไปจากความเป็นจริง แม้ว่าจะพยายามสร้างเนื้อหาที่แตกต่าง ก็ยังคงต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่ถูกต้อง 

 

2.อย่าทำโฆษณามากเกินไป 

 

หนึ่งในหลักการสร้างเนื้อหาเพื่อให้ผ่าน YMYL คืออย่าพยายามทำโฆษณาในหน้าเนื้อหานั้นๆ มากเกินไป แม้ว่าจุดประสงค์สำคัญของการทำเว็บไซต์ คือการสร้างรายได้จากโฆษณา แต่ถ้าหากมี Banner โฆษณามากเกินจนรบกวนสายตาผู้อ่านเนื้อหา ก็จะสร้างประสบการณ์ที่ไม่ดีให้กับผู้ใช้งานและส่งผลเสียต่อเว็บไซต์เอง มีโอกาสที่ผู้ใช้งานจะอยู่หน้าเว็บไซต์ได้ไม่นาน และออกจากหน้าเว็บไซต์ภายในเวลาอันรวดเร็ว ส่งผลให้ค่า Bounce rate ของเว็บไซต์สูงขึ้น และยังส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ด้วย ทำให้โอกาสที่จะผ่านเกณฑ์ YMYL นั้นลดน้อยลง

 

3.ปรับแต่งหน้าเว็บไซต์ให้เป็นทางการ

 

หน้าเว็บไซต์ที่เป็นทางการคือหลักการหนึ่งที่ควรทำถ้าหากต้องการให้เว็บผ่านเกณฑ์ YMYL คือควรเป็นเว็บไซต์ที่มีข้อมูลเกี่ยวกับองค์กร หากมีใบรับรองยืนยันสถานะธุรกิจควรใส่ไว้ในเว็บไซต์ด้วย พยายามใส่ข้อมูลติดต่อบริษัทให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ นอกจากนี้ควรทำ On-Page SEO เพื่อให้ Google เข้าใจว่าเว็บไซต์นั้นเกี่ยวกับเรื่องอะไร เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ ที่สำคัญคือโฆษณาที่ไม่ควรมากเกินไปตามแบบฉบับของเว็บไซต์ทางการ 

 

4.สินค้าที่ขายผ่านเว็บไซต์ควรผ่านการรับรองมาตรฐาน

 

สำหรับเว็บไซต์ขายสินค้า สินค้าที่วางจำหน่ายควรจะเป็นสินค้าที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บผ่านเกณฑ์ YMYL มากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าสุขภาพที่ส่งผลต่อชีวิตของผู้บริโภค หากเป็นเว็บไซต์ทางการ (Official) ของสินค้า ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บผ่านเกณฑ์ YMYL สูงขึ้น ส่วนเว็บตัวแทนจำหน่ายก็อาจจะผ่านเกณฑ์ได้ยากกว่า บางครั้ง Google อาจเข้าใจว่าเป็นสินค้าลอกเลียนแบบได้ด้วย อาจจะเป็นอุปสรรคที่สำคัญต่อการทำ SEO ของเว็บตัวแทนจำหน่าย 

 

5.เขียนเนื้อหาให้ตรงกับ Search Intent

 

Search Intent คือจุดประสงค์ในการค้นหาบน Google เช่น Keyword หลักคือ “กรดไหลย้อน” แต่ Keyword นี้จะยังไม่ใช่ Search Intent เพราะยังไม่รู้ว่าคนที่ค้นหาคำนี้มีจุดประสงค์ที่จะอยากรู้อะไรเกี่ยวกับกรดไหลย้อน แต่ถ้าเพิ่มจุดประสงค์ลงไป เช่น “กรดไหลย้อน คือ” นั่นถือเป็น Search Intent ที่สามารถรู้ได้ว่าผู้ค้นหาต้องการรู้ความหมายของกรดไหลย้อน หากค้นหาคำว่า “ยากรดไหลย้อน” ก็ถือเป็น Search Intent เช่นกัน เพราะผู้ค้นหามีจุดประสงค์คือกำลังค้นหายาที่ช่วยรักษากรดไหลย้อน ดังนั้นถ้าหากต้องเขียนเนื้อหา ต้องพยายามใส่ Keyword ที่ตรงกับ Search Intent ด้วย จะได้รู้ว่าเนื้อหานั้นสื่อถึงอะไร และตอบโจทย์จุดประสงค์อะไรได้บ้าง มีส่วนช่วยให้เนื้อหาผ่านเกณฑ์ YMYL ได้สูงขึ้น

 

คาดว่าหลายคนคงจะพอเข้าใจแล้วว่า YMYL คืออะไร แม้ดูเหมือนอัลกอริทึมนี้ จะเป็นอุปสรรคให้กับการทำ SEO แต่ถ้าหากเป็นเนื้อหาที่มีคุณภาพจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าจะได้รับผลกระทบจากอัลกอริทึมดังกล่าว เพราะสุดท้ายแล้ว ถึงแม้จะไม่มีอัลกอริทึมนี้เกิดขึ้น แต่ถ้าหากมีการนำเสนอเนื้อหาคุณภาพต่ำ ต่อให้ผู้ใช้งานเข้ามาอ่านเยอะ จากการทำ SEO ที่เชี่ยวชาญ ก็สามารถออกจากเว็บไปอย่างง่ายดาย ทำให้ค่า Bounce rate ของเว็บสูงขึ้น และทำให้เนื้อหาถูกลดอันดับได้เช่นกัน

]]>
Long Tail Keyword คืออะไร ช่วยทำ SEO ให้ติดอันดับได้จริงหรือ https://seomasterth.com/long-tail-keyword-%e0%b8%84%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b0%e0%b9%84%e0%b8%a3/ Fri, 09 Feb 2024 08:21:22 +0000 https://seomasterth.com/?p=28246 Long Tail Keyword คืออะไร ช่วยทำ SEO ให้ติดอันดับได้จริงหรือ

 

Long Tail Keyword คืออะไร มาทำความเข้าเรื่องนี้ที่คนทำ SEO ควรให้ความสำคัญ ถือเป็นเรื่องพื้นฐานอีกหนึ่งเรื่องที่ควรรู้ เพื่อการทำ SEO ที่มีประสิทธิมากกว่า เพิ่มโอกาสการติดอันดับบน Google นำไปสู่การทำตลาดที่แข็งแกร่งบนออนไลน์ ไปจนถึงการสร้างยอดขายที่มีประสิทธิภาพ 

 

Long Tail Keyword คืออะไร

 

Long Tail Keyword คือ Keyword ชนิดหนึ่ง ที่มีความเจาะจงมากกว่า Keyword ทั่วไป โดย Long Tail Keyword จะมีคู่แข่งน้อยกว่า Keyword จึงง่ายต่อการทำ SEO มากกว่า และยังมีโอกาสเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากกว่าด้วย ยกตัวอย่าง Keyword คำว่า “ที่พัก” Long Tail Keyword ของคำว่า ที่พัก ก็จะมีอยู่หลายคำเช่น ที่พัก พัทยา, ที่พัก เมืองทอง, ที่พัก เชียงใหม่ เป็นต้น 

 

แม้ว่าการทำ SEO ควรเลือกทำจาก Keyword ที่มี Search Volume (ปริมาณการค้นหา) สูงๆ เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงเนื้อหา แต่อุปสรรคของการทำ SEO จาก Keyword ที่มี Search Volume สูงมากๆ คือมีคู่แข่งที่เยอะมาก แม้คำนั้นจะมีการค้นหามากก็จริง แต่ก็มีโอกาสที่เนื้อหาของเราอาจไม่มีคนค้นเจอเลยก็ได้ เพราะคู่แข่งเยอะเกินไป ทำให้เนื้อหาของเราไม่ติดหน้าแรก 

 

ดังนั้นการหันมาทำ SEO จาก Long Tail Keyword อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า โดยเฉพาะบางธุรกิจที่ไม่จำเป็นต้องทำ SEO จาก Keyword เช่น ธุรกิจที่พัก ที่ต่อให้จะทำ SEO จาก Keyword คำว่า ที่พัก ไปก็ไม่มีประโยชน์ แต่ควรทำ SEO จาก Long Tail Keyword โดยการเจาะจงไปเลยจะดีกว่าว่าเป็นที่พักที่ไหน เพราะคนที่ต้องการหาที่พัก มักจะระบุเจาะจงว่าเป็นที่พักที่ไหนเสมอในขณะค้นหาบนเว็บไซต์ ทำให้การทำ SEO เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เจาะจงมากกว่า 

ข้อดีของการทำ SEO จาก Long Tail Keyword คืออะไร

 

มาดูในส่วนของข้อดีในการใช้ Long Tail Keyword เพื่อทำ SEO ดังนี้ 

 

1.คู่แข่งน้อยกว่า 

 

จากที่ได้กล่าวไปในข้างต้นว่า Long Tail Keyword มีคู่แข่งน้อยกว่า Keyword ถือเป็นข้อดีที่สำคัญของการทำ SEO เพราะการทำ SEO จาก Keyword ที่มีคู่แข่งน้อยกว่า จะช่วยเพิ่มโอกาสให้คนค้นเจอเนื้อหาได้มากกว่า ยกตัวอย่างถ้าหากค้นคำว่า “ที่พัก” บน Google ในเวลานี้จะมีผลลัพธ์อยู่ที่ประมาณ 53 ล้านกว่ารายการ 

 

แต่ถ้าหากมีการระบุลงไปว่าที่พักที่ไหน อย่างเช่น “ที่พัก พัทยา” ซึ่งถือเป็น Long Tail Keyword ในเวลานี้จะมีผลลัพธ์อยู่ที่ประมาณ 9 ล้านกว่า หมายความว่าโอกาสที่คนจะเข้าถึงเนื้อหาที่มี Keyword ผลลัพธ์ 9 ล้านกว่า ย่อมมีมากกว่าการเข้าถึงเนื้อหาที่มี Keyword ผลลัพธ์ 53 ล้านกว่าแน่นอน

2.ง่ายต่อการทำ SEO ให้ติดอันดับ

 

เนื่องจากข้อดีของ Long Tail Keyword คือคู่แข่งน้อย จึงง่ายต่อการทำ SEO ให้ติดอันดับ ยกตัวอย่างเดิมคือคำว่า “ที่พัก” ที่มีผลลัพธ์บน Google กว่า 53 ล้านรายการ กับ “ที่พัก พัทยา” ที่มีผลลัพธ์บน Google กว่า 9 ล้าน โอกาสที่เนื้อหาจากการทำ SEO ด้วยคำว่า “ที่พัก พัทยา” จะติดอันดับแรกๆ บน Google ย่อมมีมากกว่าคำว่า “ที่พัก” แน่นอน

 

3.เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เจาะจงมากกว่า 

 

ข้อดีถัดมาของ Long Tail Keyword คือการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เจาะจงมากกว่า อย่างธุรกิจที่พัก ถ้าหากทำ SEO จากคำว่า “ที่พัก” อย่างเดียว คนที่ค้นหาคำว่า “ที่พัก” บน Google แล้วเจอกับเนื้อหาของเรา ก็มีโอกาสที่จะไม่เข้าพักกับเราสูงมาก เพราะผู้ใช้งานไม่ได้ระบุว่าต้องการที่พักที่ไหน เพียงแต่แสดงถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการที่พักเท่านั้น และไม่สามารถทราบได้ว่าจะใช่กลุ่มเป้าหมายของเราหรือไม่

 

แต่ถ้าหากเราเลือกทำ SEO จาก Long Tail Keyword ด้วยคำว่า ที่พักพร้อมระบุแบบเจาะจง เช่น ที่พัก พัทยา โอกาสที่คนมาเจอกับเนื้อหาของเรา มักมาจากการค้นหาคำว่า “ที่พัก พัทยา” หมายความว่าผู้ใช้งานจำนวนนั้นอาจกำลังมองหาที่พัก พัทยา ก็มีโอกาสสูงที่จะเข้าพักในที่พักของเรา เป็นต้น จึงแสดงให้เห็นว่าเนื้อหาของเราเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เจาะจงมากกว่า

 

4.ค่า PPC ในการทำโฆษณาน้อยกว่า

 

ข้อดีถัดมาของ Long Tail Keyword คือ ค่า PPC ในการทำโฆษณาน้อยกว่า เรื่องนี้เกี่ยวกับการใช้เงินซื้อโฆษณาจาก Keyword ซึ่ง PPC ย่อมาจาก Pay per Click คือการ “จ่ายต่อ 1 คลิก” หมายความว่าเมื่อมีคนคลิก 1 ครั้ง เราจะต้องจ่ายเงินเท่ากับจำนวนนั้น ซึ่งถ้าหากเป็น Keyword ที่มีคู่แข่งมากกว่า Long Tail Keyword มักมีค่า PPC แพงกว่า เพราะมีการประมูลที่สูงกว่า และ Long Tail Keyword มักมีค่า PPC ที่ถูกกว่า ทำให้การทำโฆษณาจาก Long Tail Keyword นั้นจ่ายน้อยกว่า แถมยังเจาะจงกลุ่มเป้าหมายได้มากกว่า ทำให้การจ่ายเงินให้กับ Long Tail Keyword นั้นค่อนข้างที่จะคุ้มค่ากว่าหรือเห็นผลลัพธ์ได้มากกว่า

วิธีการหา Long Tail Keyword 

Long Tail Keyword คือ Keyword ชนิดหนึ่งที่มีตัวช่วยในการค้นหาหลายตัว โดยครั้งนี้จะมาพูดถึงตัวช่วยที่ใช้งานง่ายๆ และใช้งานอย่างแพร่หลาย ดังนี้ 

 

1.Google Suggest

 

ง่ายๆ เพียงเข้า Google แล้วพิมพ์ Keyword หลักสักคำลงไปในช่องค้นหา ก็จะมี Long Tail Keyword แนะนำขึ้นมาให้ด้วย นอกจากนี้ยังมีแถบ Related searches หรือการค้นหาเพิ่มเติมแสดงบนหน้าเว็บ Google ด้วย แถบนั้นจะแสดงผลลัพธ์ของ Long Tail Keyword เช่นกัน

 

2.Google Ads 

 

ให้เข้าไปที่ Google Ads แล้วเลือก Tool จากนั้นคลิกที่ Planning และเลือก Keyword Planner จากนั้นไปที่ Discover new keywords แล้วพิมพ์ Keyword หลักลงไปในช่องค้นหาได้เลย แล้วกด Get results ก็จะแสดงผลลัพธ์การค้นหา Keyword หลักขึ้นมา พร้อมกับแนะนำ Keyword ideas มาให้ ส่วนนั้นเองคือ Long Tail Keyword

 

หลังจากที่ได้ทำความเข้าใจกันไปแล้วว่า Long Tail Keyword คืออะไร หลายคนคงจะเห็นแล้วว่า Long Tail Keyword ช่วยทำ SEO ให้ติดอันดับได้จริง แต่ที่สำคัญคือควรเลือก Long Tail Keyword ที่มี Search Volume ไม่ต่ำเกินไป เพราะถ้ามีปริมาณการค้นหาน้อยมากๆ ก็หมายความว่าเรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องที่คนอยากรู้ 

3. เครื่องมือโปรแกรม Keyword Research

ใช้ SEO Tools เป็นตัวช่วยในการหา Long Tail Keyword 

4. Google Related searches

เวลาเราค้นหาในกูเกิล ระบบจะมีการแนะนำคำค้นหาที่เกี่ยวข้องที่ผู้คนชอบค้นหา เราสามารถใช้คำเหล่านี้เป็น Long Tail Keyword ได้

5. Google Search Autocomplete

Google กำหนดการคาดการณ์เหล่านี้ได้อย่างไร? คำตอบคือ Google ดูการค้นหาจริงที่เกิดขึ้นใน Google และแสดงรายการทั่วไป และรายการที่มีแนวโน้มที่เกี่ยวข้องกับตัวอักษรที่ป้อน นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่คุณอยู่ และการค้นหาก่อนหน้า

 

]]>
Push Notification หรือ บริการแจ้งเตือนแบบพุชคืออะไร มีคำตอบ https://seomasterth.com/what-is-push-notification-service/ Mon, 22 Jan 2024 13:09:13 +0000 https://seomasterth.com/?p=28057 ทุกวันนี้การใช้งานอินเทอร์เน็ตสามารถเข้าถึงได้จากหลายอุปกรณ์ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ มือถือ แท็บเล็ต ซึ่งเคยสังเกตหรือไม่ เวลาคุณเปิดเข้าใช้งานแอปหรือเว็บไซต์ต่าง ๆ บ่อยครั้งมักมี Pop-Up โฆษณาเกิดขึ้น นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นอีกกลยุทธ์ทางเทคนิคที่เรียกว่า “Push Notification” หรือการแจ้งเตือนแบบพุช หากใครสงสัยว่า Push Notification คืออะไร มีความสำคัญต่อการทำธุรกิจมากน้อยแค่ไหน มาค้นหาข้อมูลทั้งหมดเพื่อนำไปปรับใช้กับแอปหรือเว็บของตนเองได้เลย

Push Notification คืออะไร

Push Notification คือ บริการแจ้งเตือนแบบพุช ซึ่งเป็นอีกเทคโนโลยีใหม่ในการนำมาใช้งานบนแอปพลิเคชัน เว็บไซต์จำนวนมาก รวมถึงอีเมล SMS (แต่ส่วนใหญ่การแจ้งเตือนลักษณะนี้มักนิยมใช้กับแอป Social Media และ SMS มากที่สุด) หลักการสำคัญเมื่อตั้งค่าดังกล่าวแล้วเวลามีใครเปิดแอปเข้ามาก็จะพบกับ Pop-Up แจ้งเตือนก่อนเข้าสู่หน้าหลักของแอปนั้น ๆ โดยข้อความหรือโฆษณาที่เกิดขึ้นเกิดจากเซิร์ฟเวอร์ส่งสัญญาณสื่อสารไปยังตัวแอป ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานเกิดความสนใจกับสิ่งที่ถูกระบุไว้บน Pop-Up มากขึ้น

ทั้งนี้การแสดงข้อความ Push Notification ผ่านแอปจะขึ้นอยู่กับระบบการทำงานของมือถือบนแอปพลิเคชันที่คุณใช้งาน ซึ่งปัจจุบันที่ได้รับความนิยมคือ iOS และ Android ซึ่งส่วนมากข้อความที่มักถูกใช้กับบริการแจ้งเตือนแบบพุชมักเป็นกลุ่มการนำเสนอโปรโมชั่น ส่วนลด แคมเปญใหม่ล่าสุด หรือข่าวสารสำคัญที่ต้องการส่งต่อให้กับผู้ใช้หรือลูกค้าได้รับรู้

ประโยชน์สำคัญของการใช้งาน Push Notification

อย่างที่เกริ่นเอาไว้ว่าปัจจุบันธุรกิจจำนวนมากที่มีแอปพลิเคชันเป็นของตนเองมักเลือก Push Notification ส่งต่อข้อมูลต่าง ๆ ไปยังผู้ใช้งาน ซึ่งประโยชน์ของบริการแจ้งเตือนแบบพุชนั้นก็มีด้วยกันอยู่หลายข้อทีเดียว ลองมาไล่เรียงกันได้เลย

1. เพิ่มเติมการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งาน

เป็นเรื่องปกติเมื่อมีสิ่งแปลกใหม่เกิดขึ้นบนหน้าจอมือถือเมื่อเปิดแอปใด ๆ ก็ตาม ผู้ใช้งานย่อมเกิดความสนใจและอยากมีส่วนร่วมมากขึ้น อย่างน้อยที่สุดคือการคลิกเข้าไปชมว่ามีข้อเสนอ ส่วนลด โปรโมชั่น หรือข่าวสารข้อมูลสำคัญอะไรแจ้งเตือนบ้างหรือไม่ เพื่อให้ตนเองไม่พลาดรายละเอียดสำคัญ

2. เพิ่มยอดขายในการทำธุรกิจ

ในกรณีที่คุณทำ Push Notification โดยใช้การนำเสนอโปรโมชั่น ส่วนลด หรือแคมเปญพิเศษต่าง ๆ โอกาสในการเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจย่อมมีสูงขึ้นตามไปด้วย เพราะปกติคนที่ดาวน์โหลดแอปมาใช้งานส่วนมากมักเป็นลูกค้าเดิมอยู่แล้ว การกระตุ้นพวกเขาด้วยกลยุทธ์นี้จึงเป็นอีกเทคนิคน่าสนใจ มีการใช้งานกันอยู่บ่อยครั้งในช่วงที่ธุรกิจต้องการเพิ่มยอดขาย หรือในกรณีมีของเหลือสต็อกที่ต้องการขายออกแล้วนำของล็อตใหม่ คอลเล็คชั่นใหม่เข้ามาแทนที่

3. สร้างความประทับใจให้กับผู้ใช้

การที่ผู้ใช้ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารอัปเดตใหม่ล่าสุด หรือการได้ใช้โปรโมชั่น แคมเปญต่าง ๆ ที่ธุรกิจนำเสนอออกไป การแจ้งเตือนความทรงจำ เช่น เช็กอินเที่ยวบิน การเข้าตรวจรักษา ย่อมสร้างความประทับใจให้กับพวกเขาได้มากขึ้นแบบไม่ต้องสงสัย เป็นการเสริมภาพลักษณ์ที่ดี และยังมีโอกาสเกิดการบอกต่อไปยังคนใกล้เคียงให้หันมาใช้งานมากขึ้น สร้างกลยุทธ์ทางการตลาดชั้นยอดที่ไม่ว่าใครก็อยากให้เกิดขึ้นกับธุรกิจของตนเอง

4. รักษาฐานลูกค้าเดิมให้คงอยู่

ตามที่บอกเอาไว้ว่าส่วนมากลูกค้าที่ดาวน์โหลดแอปหรือใช้งานแอปของธุรกิจประจำ นั่นคือกลุ่มลูกค้าชั้นยอดที่ควรเก็บรักษาเอาไว้ การแจ้งเตือน บอกต่อเรื่องต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ มักทำให้พวกเขารู้สึกดี ช่วยรักษาฐานลูกค้าเหล่านี้ให้คงอยู่พร้อมสร้าง Brand Loyalty ในแบบที่หลายคนคาดไม่ถึงจากการเลือกนำเทคนิคเล็ก ๆ เข้ามาเพิ่มความแตกต่างจากคู่แข่ง

5. ส่งผลดีต่อ SEO

แน่นอนว่าจากประโยชน์ของ Web Push Notification ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเรื่อง Progressive Web App ทั้งหมดย่อมส่งผลต่อการทำ SEO อย่างแน่นอน เพราะจะเพิ่ม Organic Traffic และ Return Visitor ได้

ประเภทของการแจ้งเตือนแบบ Push Notification

1. A2P (Application to People)

เป็นรูปแบบของการแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันไปยังบุคคล หรือผู้ใช้แต่ละราย เช่น การแจ้งเตือนข่าวสารข้อมูลทั่วไป การออกแคมเปญทางการตลาด การส่งแจ้งเตือนทำธุรกรรม เป็นต้น

2. P2P (People to People)

เป็นรูปแบบ Push Notification ลักษณะของบุคคลส่งต่อไปยังบุคคล เพื่อให้ผู้รับได้เข้าใจถึงสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ส่วนใหญ่มักเป็นลักษณะของแชทบน Social Media การอัปเดตตำแหน่ง เป็นต้น

ตัวอย่างการแจ้งเตือนแบบ Push Notification ที่ได้รับความนิยม

  • แจ้งเตือนบน Social Media ส่วนใหญ่มักเป็นการแจ้งเตือนเกี่ยวกับกิจกรรมที่เกิดขึ้นบนสังคมออนไลน์ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับเจ้าของบัญชีใช้งาน เช่น แจ้งเตือนการกดไลค์ คอมเมนต์ การแชร์ แจ้งเตือนวันเกิด แจ้งเตือนการถ่ายทอดสด เป็นต้น
  • การสร้างแคมเปญทางการตลาด ไม่ว่าจะเป็นโปรโมชั่น ส่วนลด แจ้งข่าวสารข้อมูล ฯลฯ มีทั้งการแจ้งบนแอป เว็บไซต์ อีเมล รวมถึง SMS ก็ได้เช่นกัน
  • แจ้งเตือนการทำธุรกรรม เป็นการบ่งบอกถึงความปลอดภัยในระหว่างที่มีธุรกรรมทางการเงินของคุณเกิดขึ้น เช่น แจ้งยอดเงินเข้า-ออก แจ้งมีการใช้งานบัตรเครดิต
  • แจ้งรหัสผ่านแบบครั้งเดียว หรือ OTP มีทั้งการแจ้งบนแอป อีเมล แต่ส่วนใหญ่มักนิยมใช้กับการแจ้งเตือนบน SMS
  • แจ้งเตือนเพื่อย้ำเตือนความจำ ป้องกันการลืมของลูกค้า เช่น วันนัดหมายเข้าตรวจรักษา ข้อมูลการจัดส่งสินค้า ข้อมูลการเช็กอินเที่ยวบิน เป็นต้น

สรุป

Push Notification หรือ บริการแจ้งเตือนแบบพุช เป็นอีกกลยุทธ์ที่ธุรกิจจำนวนมากเลือกใช้งานไม่ว่าจะเป็นดำเนินการผ่านแอปพลิเคชัน เว็บไซต์ อีเมล ไปจนถึงการส่ง SMS เพื่อสร้างความน่าประทับใจให้กับลูกค้า สามารถเพิ่มยอดขาย และสร้าง Brand Loyalty ได้เป็นอย่างดี ลองนำไปปรับใช้กับธุรกิจของตนเองกันเลย ผลลัพธ์น่าพึงพอใจแน่นอน

]]>
Responsive Web Design คืออะไร สิ่งที่คนทำเว็บควรให้ความสำคัญ https://seomasterth.com/responsive-web-design-%e0%b8%84%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b0%e0%b9%84%e0%b8%a3/ Sat, 13 Jan 2024 13:16:04 +0000 https://seomasterth.com/?p=27943 โลกออนไลน์ปัจจุบันไม่ได้จำกัดอยู่แค่คอมพิวเตอร์ แต่มีอุปกรณ์อย่างมือถือที่เข้ามามีบทบาทและได้รับความนิยมสูง เรียกว่าแทบทุกคนบนโลกใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือคงไม่ใช่เรื่องผิดนัก นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้คนทำเว็บไซต์จำเป็นต้องพัฒนาเว็บของตนเองให้รองรับกับการใช้งานในหลายรูปแบบ Responsive Web Design จึงเกิดขึ้น คำถามที่น่าสนใจย่อมหนีไม่พ้น Responsive Web Design คืออะไร ทำไมคนทำเว็บหรือธุรกิจที่จะสร้างเว็บไซต์ต้องให้ความสำคัญ มาหาคำตอบกันเลย

Responsive Web Design คืออะไร

Responsive Web Design คือ การสร้างหรือการเขียนเว็บไซต์โดยมีการกำหนด HTML พร้อมกับการใช้ CSS สำหรับควบคุมการแสดงผลผ่านหน้าจอให้ผู้ใช้งานสามารถรับชมเว็บไซต์ของคุณได้ผ่านอุปกรณ์ที่หลากหลาย ทั้งคอมพิวเตอร์ มือถือ แท็บเล็ต แล็บท็อป หรือแม้แต่สมาร์ตทีวี เพิ่มเติมความชัดเจน ดูง่าย รองรับกับทุกพฤติกรรมการใช้งานอุปกรณ์

หากย้อนกลับไปในยุคก่อนสมัยอินเทอร์เน็ตและเว็บไซต์เกิดขึ้นใหม่ ๆ คนที่จะดูเว็บได้ต้องเปิดผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือ Desktop เพียงอย่างเดียว แต่เมื่อโลกพัฒนาขึ้นมีการผลิตอุปกรณ์ที่สามารถท่องอินเทอร์เน็ตได้ การทำเว็บไซต์จึงต้องใช้ฟังก์ชันที่พัฒนาตามด้วยเช่นกัน

หลักการทำงานเบื้องต้นของ Responsive Web Design

การทำงานของ Responsive Web Design จะอาศัยตัวแปรสำคัญ 3 อย่าง ประกอบไปด้วย HTML, CS33 และ JavaScript เพื่อให้ตัวเว็บสามารถปรับขนาดและดีไซน์ของตนเองเข้ากับอุปกรณ์ที่เปิดเข้ามารับชม ซึ่ง URL ที่ใช้ยังคงเป็นตัวเดียวกันทั้งหมด ไม่มีการแยกเวอร์ชันเหมือนอดีต รวมถึงยังมีการเพิ่มเติมฟังก์ชันหลักที่น่าสนใจ 3 ประเภท ดังนี้

1. Fluid Grid

การออกแบบ Grid (องค์ประกอบบนหน้าเว็บไซต์) ให้สัมพันธ์กับทุกอุปกรณ์ ไม่มีการแยกเวอร์ชันให้ยุ่งยาก เช่น การกำหนดขนาดความกว้างของหน้าเว็บด้วยเปอร์เซ็นต์ การใช้ฟอนต์ตัวอักษรด้วยหน่วย em เป็นต้น

2. Flexible Images

การทำ Responsive Images กำหนดขนาดรูปภาพให้สอดคล้องกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เข้ามารับชมเนื้อหาบนเว็บไซต์ เช่น รูปภาพที่ใช้มีขนาดใหญ่มาก แต่เมื่อผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์กดเข้ามาบนหน้าเว็บผ่านมือถือ รูปภาพดังกล่าวก็จะปรับขนาดตัวเองให้เล็กลงเหมาะกับการแสดงภาพด้วยความสวยงาม พูดง่าย ๆ คือ ภาพมีความยืดหยุ่นนั่นเอง

3. CSS3 Media Queries

2024 การทำเว็บไซต์แบบ Responsive Web Design นั้นถือว่าเป็นเรื่องปกติที่ต้องทำ Bootstrap เป็น CSS เฟรมเวิร์คที่ได้รับความยอดนิยมสูงสุดในโลก เป็นการกำหนดรูปแบบของ Style Sheets ให้เหมาะกับอุปกรณ์ทุกประเภท โดยทั่วไปคนทำเว็บจะมีการทำ Style Sheets ไว้เบื้องต้นโดยไม่ได้กำหนดว่าต้องใช้กับอุปกรณ์ประเภทไหน แต่เมื่อใช้ Responsive Web Design ส่งผลให้การระบุ Style Sheets ต้องเขียนเพื่อให้อุปกรณ์ที่มีขนาดเล็กสุดใช้งานได้ จากนั้นจึงค่อยเพิ่มระดับไปจนถึงหน้าจอขนาดใหญ่สุด จุดประสงค์สำคัญเพื่อลดความยุ่งยากในการแก้ไขโค้ดภายหลัง

โดยสรุปแล้วหลักการทำงานของ Responsive Web Design จะใช้รูปแบบทางเทคนิคเพื่อทำให้อุปกรณ์ทุกประเภทสามารถรับชมหน้าเว็บไซต์ได้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องปรับขยายหรือลดเนื้อหาต่าง ๆ ให้ยุ่งยาก สร้างความเป็นมืออาชีพมากขึ้น

ขอบคุณภาพประกอบจาก plerdy.com

ความสำคัญของ Responsive Web Design

1. ลดความยุ่งยากในการทำเว็บ

เมื่อคุณเลือกใช้งาน Responsive Web Design จะช่วยลดความยุ่งยากต่อการทำเว็บในหลาย ๆ เรื่อง โดยเฉพาะไม่จำเป็นต้องเขียน HTML แยกหลายชุด สามารถใช้ URL ตัวเดียวเพื่อแก้ไข ปรับปรุง อัปเดต และพัฒนาเว็บให้ตรงตามคอนเซปต์ที่ต้องการได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว

2. รองรับการใช้งานได้กับทุกอุปกรณ์

หลายปีที่ผ่านมาทุกคนที่ทำการตลาดออนไลน์หรือธุรกิจออนไลน์คงคุ้นเคยกับคำว่า Mobile Friendly หมายถึง การทำเว็บให้ตอบโจทย์กับการใช้งานมือถือ เมื่อนำเอาเทคนิคนี้เข้ามาสร้างเว็บไซต์นั่นเท่ากับไม่ว่าผู้เยี่ยมชมจะใช้อุปกรณ์ประเภทใดก็สามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดาย สะดวก ชัดเจน หรือจะเรียกโดยรวมว่า User Friendly ก็ได้เช่นกัน

3. ตอบโจทย์กับการทำ SEO

กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ของทุกธุรกิจที่อยากให้คนคลิกเข้ามาบนหน้าเว็บไซต์เยอะ ๆ หนีไม่พ้นการทำ SEO ซึ่ง Google จะมีหลักการคิดคะแนนหลากหลาย หนึ่งในนั้นคือ User Friendly รองรับกับทุกอุปกรณ์ คนเข้ามาอยู่บนเว็บนานขึ้น คะแนนก็เพิ่มขึ้น

4. โอกาสเพิ่มยอดขาย

ลูกค้าไม่จำเป็นต้องรอเปิดในคอมพิวเตอร์ หรือดาวน์โหลดแอปพลิเคชันใด ๆ ให้ยุ่งยาก เมื่อคลิกเข้ามาบนหน้าเว็บไซต์ผ่านอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น มือถือ แท็บเล็ต ก็สามารถซื้อสินค้า / บริการของคุณได้ทันที สร้างโอกาสในการเพิ่มยอดขายให้มากขึ้นกว่าเดิม

สิ่งที่ต้องระวังในการทำ Responsive Web Design

แม้ Responsive Web Design จะเป็นสิ่งที่ทุกคนควรทำเพื่อให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพ แต่ก็มีบางเรื่องที่ต้องระวังให้ดี ลดความเสี่ยงต่อข้อผิดพลาด และยังอาจเสียภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้อีกด้วย

  • มีการทดสอบกับทุกทางเข้าอุปกรณ์ทุกครั้งก่อนขึ้นออนไลน์ เพื่อตรวจสอบว่าทุกเนื้อหาสามารถแสดงผลได้อย่างดีเยี่ยม ไม่มีข้อผิดพลาดใด ๆ
  • การจัดเรียงเนื้อหาและข้อมูลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นบทความ รูปภาพ กราฟิก วิดีโอ ต้องกำลังพอดีไม่สั้นหรือยาวมากเกินไป เพราะอย่าลืมว่าเวลาดูในมือถือที่มีขนาดเล็ก หากบทความยาวไม่มีการเว้นวรรคก็มักสร้างความน่าปวดหัวได้เช่นกัน
  • มีการกำหนดส่วนแสดงผลและส่วนที่ซ่อนเอาไว้ให้ชัดเจนในแต่ละแพลตฟอร์ม เพื่อความสะดวกต่อการเข้าชม
  • Hamburgur menu ที่มักชอบมีปัญหากับ iOS เวอร์ชั่นใหม่

สรุป

Responsive Web Design สิ่งที่คนทำเว็บไซต์ต้องให้ความสำคัญอย่างมาก เพราะเป็นปัจจัยสำคัญในการปรับหน้าเว็บให้เหมาะกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ของผู้เยี่ยมชมที่กดเข้ามา หากเว็บคุณดีภาพลักษณ์ย่อมเพิ่มเป็นเชิงบวก และยังสร้างโอกาสชั้นยอดต่อการทำ SEO และยอดขายที่จะเกิดขึ้นอีกด้วย อย่ามองข้ามเรื่องนี้เป็นอันขาด

]]>
Mobile First Index สำคัญอย่างไร สิ่งที่คนทำเว็บไซต์ต้องใส่ใจ https://seomasterth.com/mobile-first-indexing/ Sat, 13 Jan 2024 09:34:52 +0000 https://seomasterth.com/?p=27947 ปฏิเสธไม่ได้ว่า “มือถือ” กลายเป็นปัจจัยที่ 5 ของการดำรงชีวิตสำหรับคนยุคนี้ไปเรียบร้อย เพียงแค่พกเอาไว้เครื่องเดียวก็สามารถทำได้ทุกอย่างที่ต้องการ นั่นจึงเป็นอีกเหตุผลที่ธุรกิจจำนวนมากต้องใส่ใจกับพฤติกรรมชีวิตที่เปลี่ยนไป บวกกับเว็บ Search Engine ของเมืองไทยอย่าง Google ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้จึงเกิดสิ่งที่เรียกว่า Mobile First Index ขึ้น คำถามที่น่าสนใจคือ Mobile First Index ทำไมคนทำเว็บไซต์ต้องรู้ ตามมาทางนี้ได้เลย

Mobile First Index คืออะไร

Mobile First Index คือ ระบบของ Google ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้จัดอันดับการแสดงผลบนหน้า Search Engine ของพวกเขา ด้วยยุคปัจจุบันผู้คนหันมาใช้การค้นหาข้อมูลผ่านมือถือกันมากขึ้น เว็บไซต์จึงจำเป็นต้องตอบสนองความต้องการดังกล่าวให้ได้มากที่สุด ทาง Google จึงมองว่าระบบนี้จะช่วยให้พวกเขาเห็นรายละเอียดของเว็บต่าง ๆ ได้ชัดเจนมากขึ้นว่าเว็บไหนใส่ใจกับเรื่องดังกล่าว คะแนนก็มีสิทธิ์เพิ่มขึ้น โอกาสในการติดอันดับ SEO ก็มากตามไปด้วย

หากอธิบายแบบเข้าใจง่ายคือ ระบบ Mobile First Index นั้น ทาง Google ในฐานะเว็บ Search Engine อันดับ 1 ของเมืองไทย ได้ให้ความสำคัญกับการเข้าถึงเว็บไซต์ของมือถือมากกว่า Desktop ไปเรียบร้อย ภายใต้คอนเซปต์ Mobile Friendly เว็บที่อยากมีอันดับดี ๆ จึงต้องพยายามปรับปรุงระบบเพื่อรองรับกับการเข้าชมเนื้อหาของผู้เยี่ยมชมทุกรูปแบบ ซึ่งหลักที่คนทำเว็บใช้กันคือ Responsive Web Design

ความสำคัญของ Mobile First Index

อย่างที่กล่าวไปว่า Google ให้เล็งเห็นถึงพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้คน มือถือคือสิ่งที่เข้ามีสร้างบทบาทต่อชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นหากพวกเขาไม่มีการสร้างระบบที่ให้เว็บไซต์ต้องปรับรูปแบบตนเองเพื่อรองรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ โอกาสที่ทุกคนจะเปลี่ยนไปใช้ Search Engine ย่อมมีไม่น้อย พวกเขาจึงต้องพยายามแกมบังคับให้ทุกเว็บที่แสดงผลบนหน้า Google ต้องรองรับการเข้าถึงทุกแพลตฟอร์ม ทุกช่องทาง

ดังนั้นคนทำเว็บไซต์เมื่อคุณยังคงใช้ Google เป็นช่องทางหลักเพื่อค้นหาลูกค้าของตนเองก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องปรับตัวตามพฤติกรรมดังกล่าว นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ Mobile First Index เข้ามามีบทบาทต่อเว็บไซต์ทุกประเภท และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำ

ลองนึกภาพตามง่าย ๆ หากคุณเป็นผู้ใช้งานทั่วไปแล้วพยายามค้นหาข้อมูลบางอย่างผ่านมือถือ ปรากฏคลิกเข้าไปเจอเว็บไซต์น่าสนใจแต่ไม่รองรับการเข้าชมผ่านช่องทางนี้ ตัวหนังสือไม่เท่ากัน ภาพใหญ่เกินไป การจัดเรียงข้อมูลไม่รู้เรื่อง ไม่ว่าใครต่างก็อยากออกให้เร็วที่สุด และไม่อยากกลับเข้ามาใช้งานอีก สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อธุรกิจ

ข้อดีของการให้ความสำคัญกับ Mobile First Index

1. โอกาสติดอันดับ Google ในการทำ SEO มีมากขึ้น

อย่างที่บอกไปว่าระบบ Mobile First Index ที่ Google พัฒนาขึ้นไม่ใช่แค่ต้องการให้ทุกเว็บปรับระบบของตนเองเท่านั้น แต่พวกเขายังให้คะแนนการจัดอันดับ SEO เป็นของแลกเปลี่ยนด้วย หากเทียบ 2 เว็บที่หน้าตา ข้อมูลต่าง ๆ เหมือนกันหมด แต่เว็บแรกสามารถเข้าชมผ่านมือถือได้ อีกเว็บเข้าแล้วอ่านไม่รู้เรื่อง โอกาสเว็บที่ 1 จะติดอันดับหน้าแรกก็ไม่ใช่เรื่องยาก ส่วนเว็บ 2 นอกจากไม่ติดอันดับหน้าแรกยังอาจถูกลดหลั่นไปอยู่หน้าไกล ๆ อีกต่างหาก

2. สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับธุรกิจ

จากตัวอย่างที่นำเสนอไปก่อนหน้า หากลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายกดผ่านมือถือเข้ามายังหน้าเว็บของคุณแล้วดูดี อ่านรู้เรื่อง ได้คำตอบ พวกเขาจะมีทัศนคติเชิงบวก และมักเก็บแบรนด์ของคุณไว้เป็นตัวเลือกในใจเวลาจะตัดสินใจซื้อสิ่งใดก็ตาม ในอีกมุมหากเข้ามาแล้วอ่านไม่รู้เรื่อง ภาพดูไม่ได้ นอกจากการกดออกจะไวปานสายฟ้าแลบ ยังเกิดทัศนคติเชิงลบได้อีกด้วย

3. เพิ่มโอกาสในการทำยอดขาย

แนวทางจะใกล้เคียงกับภาพลักษณ์ที่ธุรกิจได้รับหากทำเว็บให้รองรับกับ Mobile First Index เพราะเมื่อลูกค้าคลิกเข้ามาเห็นภาพสวย ข้อมูลชัดเจน รายละเอียดครบถ้วน ปุ่มสั่งสินค้ากดง่าย โอกาสตัดสินใจซื้อย่อมมีมากกว่าเว็บที่ดูไม่รู้เรื่องแน่ ๆ เมื่อยอดขายเพิ่ม กำไรธุรกิจก็เป็นบวกนั่นเอง

Mobile First Index

ปัจจัยหลักในการทำ Mobile First Index

ตัวช่วยหลักที่จะทำให้เว็บไซต์รองรับกับระบบ Mobile First Index ต้องอาศัยสิ่งที่เรียกว่า Responsive Web Design อันถือเป็นหลักการที่คนทำเว็บรุ่นใหม่คุ้นเคยกันดี และคุณลักษณะของเว็บไซต์ที่ตอบโจทย์จะต้องมีรายละเอียดเบื้องต้น ดังนี้

  • URL ที่ใช้และเนื้อหา Content ต้องเหมือนกันทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นการเข้าผ่าน Desktop มือถือ แท็บเล็ต
  • HTML Code ต้องเป็นชุดเดียวกัน ยกเว้นแค่ CSS ที่อาจปรับตามเลย์เอาต์การแสดงผลเพื่อให้เหมาะกับขนาดหน้าจอ (ล่าสุดมี Code AMP หรือ Accelerated Mobile Pages ซึ่งเป็นฟังก์ชันใหม่ล่าสุดของ Google ให้อัปเดตลงไปบนระบบเว็บไซต์ของคุณเพื่อการแสดงผลผ่านมือถือและแท็บเล็ตเร็วขึ้น)
  • Site Structure หรือโครงสร้างของเว็บต้องวางให้เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน กำหนดตำแหน่ง Navigation ให้เหมาะสม
  • อย่าลืมเช็กอัตราการโหลดเข้าหน้าเว็บไซต์ผ่านทุกช่องทางไม่ว่าจะเป็นมือถือ แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีต่อผู้ใช้
  • structured data หรือ Google Rich Snippets ต้องให้ข้อมูลอย่างถูกต้อง
  • ห้ามใช้ Lazy Load ในบริเวณ above the fold ส่วนเนื้อหาหลักบนการแสดงผลมือถือ
  • ตรวจสอบการวาง Ads โฆษณา ตามหลัก Better Ads Standard ซึ่งติดป้ายบนมือถือ
  • ปรับ Techinical SEO ในเรื่อง PageSpeed และ Core Web Vital ให้ถูกหลัก

สรุป

Mobile First Index เป็นอีกระบบที่ Google พัฒนาขึ้นเพื่อทำการจัดอันดับบนหน้าเว็บของตนเอง จึงมีผลต่อการทำ SEO โดยตรง ซึ่งในฐานะของคนทำเว็บก็จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการเข้าถึงผ่านมือถือของผู้เยี่ยมชมมาเป็นอันดับแรกเสมอ เนื่องจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย จึงเป็นเรื่องที่ห้ามมองข้ามโดยเด็ดขาด

]]>
Breadcrumb Navigation คืออะไร อีกหนึ่งตัวช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำ SEO  https://seomasterth.com/breadcrumb-navigation/ Fri, 12 Jan 2024 13:19:51 +0000 https://seomasterth.com/?p=27896 Breadcrumb Navigation คืออะไร อีกหนึ่งตัวช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำ SEO 

 

Breadcrumb Navigation คืออะไร หลายคนยังสงสัยเกี่ยวกับคำศัพท์คำนี้อยู่ เพราะถ้าแปลภาษาอังกฤษคือ เกล็ดขนมปัง โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำ SEO ที่อาจจะผ่านตามาบ้าง แต่ยังไม่รู้ถึงความหมายที่แท้จริง ครั้งนี้ทางบทความก็ได้นำเอาข้อมูลรายละเอียดต่างๆ รวบรวมมาให้แล้ว เพื่อให้ทุกคนได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Breadcrumb Navigation โดยเฉพาะ ดังนี้ 

 

Breadcrumb Navigation คืออะไร

Breadcrumb Navigation คือ เครื่องมือที่ใช้นำทางในเว็บไซต์ ทำให้ผู้ใช้งานรู้ว่าตอนนี้อยู่ส่วนไหนของเว็บไซต์ หรือหน้าเว็บไซต์ที่เปิดอยู่ตอนนี้ อยู่ภายในหมวดหมู่อะไรบ้าง ช่วยให้สามารถคลิกไปยังหน้าเว็บเพจอื่นๆ ได้ง่าย โดยเฉพาะหน้าเว็บที่อยู่ภายในหมวดหมู่เดียวกัน ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งาน ในการค้นหาเนื้อหา เป็นตัวช่วยอีกหนึ่งทางกรณีที่ต้องการค้นหาเนื้อหาอื่นๆ นอกเหนือจากช่อง Search แม้ว่าเว็บไซต์นั้นอาจมีระบบ Search รองรับอยู่แล้วก็ตาม แต่การมีเครื่องมือ Breadcrumb Navigation ก็ช่วยให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นมาก 

 

Breadcrumb Navigation คือเครื่องมือนำทางในเว็บไซต์ ที่ได้รับความนิยมไม่น้อยไปกว่าเครื่องมืออื่นๆ จากพฤติกรรมการค้นหาเนื้อหาที่แตกต่างกันออกไปของผู้ใช้งานแต่ละราย ซึ่งนอกจากจะส่งผลดีต่อผู้ใช้งานแล้ว ยังส่งผลดีต่อเว็บไซต์เองอีกด้วย โดยเฉพาะในแง่ของการทำ SEO 

 

ประโยชน์ในแง่ของการทำ SEO ของ Breadcrumb Navigation คืออะไร

 

ประโยชน์ที่สำคัญอีกหนึ่งประการของ Breadcrumb Navigation คือช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำ SEO ได้ เพราะนอกจากการทำ Breadcrumb Navigation จะช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าใจโครงสร้างของเว็บไซต์แล้ว ยังช่วยให้เว็บ Search Engine (Google, Yahoo, Bing ฯลฯ) เข้าใจโครงสร้างของเว็บไซต์ด้วย และให้คะแนนคุณภาพเว็บไซต์ ทำให้เว็บไซต์ติดอันดับต้นๆ บนเว็บ Search Engine จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในกับการทำ SEO 

 

หลักการทำ SEO คือการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับ เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ใช้งานค้นหาเว็บไซต์เจอ และเปิดการรับรู้เนื้อหาภายในเว็บไซต์ได้สำเร็จ หลักการทำ SEO มีหลายอย่างด้วยกัน เริ่มตั้งแต่การทำเนื้อหาที่มี Keyword ตามความเหมาะสม สอดคล้องกับหลักการ SEO ก็จะช่วยให้หน้าเว็บติดอันดับได้ นอกจากนั้นยังมีเรื่องของการออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ที่ช่วยให้ติดอันดับได้เช่นกัน และการทำ Breadcrumb Navigation ก็สอดคล้องกับเรื่องของโครงสร้างเว็บไซต์ ทั้งยังสอดคล้องกับหลักการของ Keyword จึงควรใส่ Keyword ลงไปในระหว่างการทำ Breadcrumb Navigation ด้วย

ข้อดีของ Breadcrumb Navigation คืออะไร

 

1.ช่วยให้ผู้ใช้งานรู้ว่าอยู่ตรงไหนของเว็บไซต์

 

ข้อดีข้อแรกของ Breadcrumb Navigation คือช่วยให้ผู้ใช้งานรู้ว่าในตอนนั้นอยู่ตรงไหนของเว็บไซต์ อย่างเช่นผู้ใช้งานที่ค้นหาคำว่า “ที่คาดผม” ก่อนจะคลิกเข้าไปเจอกับหน้าสินค้าในเว็บไซต์หนึ่ง สมมติว่าเป็นเว็บ Shopee หากผู้ใช้งานอยู่ในหน้านั้นแล้วสังเกตที่มุมบนซ้ายเล็กๆ จะมีแถบแสดงคำว่า Shopee > เครื่องประดับ > เครื่องประดับผม > ที่คาดผม > (ชื่อสินค้าที่ร้านนั้นๆ ตั้ง) ซึ่งคำเหล่านี้ระหว่างเครื่องหมาย > จะสามารถคลิกได้  ผู้ใช้งานจะรู้ว่าตัวเองตอนนี้อยู่ในหน้าสินค้า แต่ถ้าหากไปคลิกที่คำว่า ที่คาดผม ผู้ใช้งานก็จะอยู่ในหน้าหมวดที่คาดผม หรือ ถ้าหากคลิกที่คำว่า เครื่องประดับผม ผู้ใช้งานก็จะอยู่ในหน้าหมวดเครื่องประดับผมนั่นเอง

 

2.ช่วยให้ผู้ใช้งานคลิกไปหน้าอื่นที่เกี่ยวข้องได้ง่าย

 

การที่เว็บไซต์มีการทำ Breadcrumb Navigation เอาไว้ จะช่วยให้ผู้ใช้งานมีความสะดวกในการคลิกไปหน้าเว็บอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้ง่าย อย่างเช่นตัวอย่างในข้อแรก ผู้ใช้งานอาจกำลังหาซื้อที่คาดผม แต่แล้วเมื่อผู้ใช้งานอาจจะอยากดูสินค้าอื่นๆ ที่อยู่ในหมวด “เครื่องประดับผม” ทั้งหมด ซึ่งอาจจะไม่ใช่ที่คาดผมก็ได้ ผู้ใช้งานก็สามารถคลิกคำว่า เครื่องประดับผม ที่ Breadcrumb Navigation ได้เลย นี่ถือเป็นข้อดี เพราะในตอนแรกผู้ใช้งานอาจไม่ได้ต้องการดูอย่างอื่น แต่เมื่อเห็นลิงค์เครื่องประดับผม ก็อาจจะอยากดูเพิ่มเติมได้ ทำให้เว็บไซต์ขายอย่างอื่นได้เพิ่มเติมมากกว่าที่คาดผม 

 

นอกจากเว็บขายสินค้า การทำ Breadcrumb Navigation ก็ดีต่อเว็บไซต์รูปแบบอื่นด้วย อย่างเช่นเว็บไซต์ให้ความรู้ เดิมทีผู้ใช้งานอาจอยากรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่เมื่อไปเจอกับแถบ Breadcrumb Navigation  อาจได้รู้ว่าความรู้นั้นอยู่ในหมวดอะไรบางอย่าง และสามารถคลิกเข้าไปในหมวดนั้นๆ เพื่อหาความรู้เพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องได้ด้วย การคลิกไปหน้าอื่นๆ ของเว็บไซต์ยังช่วยเพิ่มระยะเวลาในการอยู่ในเว็บไซต์ของผู้ใช้งานให้นานขึ้นด้วย ซึ่งเป็นผลดีต่อเว็บไซต์เอง

3.ช่วยเรื่องการทำ SEO

 

การทำ Breadcrumb Navigation ช่วยให้เว็บ Search Engine เข้าใจโครงสร้างเว็บไซต์มากขึ้น เว็บไซต์จึงมีโอกาสที่จะได้คะแนนคุณภาพเว็บไซต์ และส่งผลต่อการจัดอันดับบนเว็บ Search Engine ซึ่งสอดคล้องกับการทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพ หากเว็บติดอันดับสูงๆ ก็จะนำไปสู่การเข้าถึงจำนวนมาก ช่วยเพิ่มโอกาสในการขายสินค้า ในกรณีที่เป็นเว็บขายสินค้า หรือถ้าหากเป็นเว็บนิตยสารออนไลน์ ก็ช่วยเพิ่ม Traffic ที่นำไปสู่การขายพื้นที่โฆษณาบนเว็บได้อย่างยั่งยืน และยังสามารถคอมโบทำ Google Rich Snippets ในส่วน Breadcrumb ให้แสดงบน SERP ได้อีกด้วย

 

4.ช่วยเพิ่ม Traffic ให้เว็บไซต์

 

ประโยชน์อีกหนึ่งประการของการทำ Breadcrumb Navigation คือช่วยเพิ่ม Traffic ให้กับเว็บไซต์ได้ เพราะการทำ Breadcrumb Navigation ช่วยเรื่อง SEO จึงช่วยเพิ่มโอกาสติดอันดับบนเว็บ Search Engine ทำให้คนค้นหาแล้วเจอกับหน้าเว็บเป็นจำนวนมาก ก็จะเป็นผลให้ช่วยเพิ่ม Traffic ให้เว็บไซต์ได้ด้วย อีกหนึ่งเรื่องก็คือการอยู่บนเว็บไซต์เป็นเวลาที่นานขึ้นของผู้ใช้งาน ก็มีส่วนที่จะช่วยเพิ่ม Traffic ได้เช่นกัน และการทำ Breadcrumb Navigation ก็ช่วยดึงคนให้อยู่บนเว็บไซต์ได้นานขึ้นด้วย

 

ทั้งหมดนี้ก็เป็นข้อมูลที่แสดงถึงความหมาย Breadcrumb Navigation คืออะไร พร้อมด้วยความสำคัญของ Breadcrumb Navigation ที่คนทำ SEO ทั้งหลายควรนำไปปรับใช้ให้เหมาะสม 

]]>
EMAIL MARKETING คืออะไร การตลาดที่ช่วยรักษาฐานลูกค้าได้ https://seomasterth.com/what-is-email-marketing/ Wed, 10 Jan 2024 13:58:54 +0000 https://seomasterth.com/?p=27779 EMAIL MARKETING คืออะไร การตลาดที่ช่วยรักษาฐานลูกค้าได้

 

Email ก็สามารถทำการตลาดได้ เรียกว่า Email Marketing คือช่องทางหนึ่งที่ใช้สำหรับการโปรโมทและส่งเสริมการขาย การสื่อสารผ่านอีเมล์ยังคงเป็นช่องทางที่ได้รับการยอมรับ เพราะบัญชีอีเมล์เป็นสิ่งที่คนใช้งานอินเทอร์เน็ตแทบทุกคนต้องมี ครั้งนี้ทางบทความจะมาอธิบายรายละเอียดที่ว่า Email Marketing คืออะไร 

 

Email Marketing คืออะไร? 

 

Email Marketing คือการทำกิจกรรมทางการตลาดผ่านทางอีเมล์ เน้นการประชาสัมพันธ์เนื้อหาต่างๆ ของแบรนด์ โดยการส่งอีเมล์หากลุ่มเป้าหมาย อาจเป็นโปรโมชั่น การประกาศเปิดตัวสินค้า การชี้แจงกิจกรรมของแบรนด์ และอื่นๆ แม้ว่า Email อาจเป็นสิ่งที่ใครหลายคนมองข้าม แต่พบว่าช่องทางนี้กลับเป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพไม่น้อย

เหตุผลที่ควรทำ Email Marketing คืออะไร? 

 

Email Marketing มีประโยชน์หลายอย่าง ดังนี้

 

1.Email เป็นบัญชีที่คนใช้งานอินเทอร์เน็ตทุกคนมี 

 

ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตเกือบทุกคน ต้องมีบัญชีอีเมล์ไปของตัวเอง ไม่เหมือนกับบัญชี Social Media ที่บางคนอาจจะมีบัญชี A แต่ไม่มีบัญชี B หรือบางคนก็อาจจะไม่มีบัญชี A แต่มีบัญชี B แต่ถ้าเป็นอีเมล์หลายๆ คนที่ใช้งานอินเทอร์เน็ตแทบจะมีทุกราย เพราะอีเมล์ใช้สมัครบัญชีอื่นๆ ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Social Media ต่างๆ สมัครบัญชีเว็บไซต์ Shopping สมัครบัญชีอื่นๆ ล้วนต้องสมัครผ่านอีเมล์ 

 

2.ช่วยรักษาฐานลูกค้าเก่าได้

 

ประโยชน์ที่สำคัญของ Email Marketing คือการรักษาฐานลูกค้าเก่า ช่วยกระตุ้นให้เกิดการซื้อซ้ำได้ โดยแบรนด์มักจะต้องขอรายชื่ออีเมล์ลูกค้าที่มีการซื้อครั้งแรกเอาไว้ด้วยวิธีการต่างๆ จากนั้นเมื่อเก็บอีเมล์ลูกค้าไว้ในรายชื่อแล้ว จะทำการส่งอีเมล์ไปหาลูกค้าตามรายชื่อที่บันทึกไว้ ส่วนมากมักจะส่งเนื้อหาให้เกิดการซื้อซ้ำ เช่น โปรโมชั่นต่างๆ และเพื่อให้ลูกค้าจดจำแบรนด์เอาไว้ 

 

Email Marketing มีประโยชน์ในการทำ CRM หรือ Customer Relationship Management ที่เรียกว่าสานสัมพันธ์กับลูกค้า ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างฐานลูกค้าที่ภักดีกับแบรนด์ ซึ่งการทำ CRM เป็นเรื่องที่หลายๆ แบรรด์ให้ความสำคัญ หากสร้างฐานลูกค้าที่ภักดีกับแบรนด์ได้สำเร็จ จะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ดีต่อแบรนด์ในระยะยาว 

 

3.ค่าใช้จ่ายในการทำการตลาดน้อยกว่าช่องทางอื่น

 

หากเปรียบเทียบงบการตลาดในแต่ละช่องทาง Email Marketing ถือว่าใช้งบประมาณน้อยกว่าช่องทางอื่นๆ คิดรายจ่ายเป็นแพ็คเก็ต โดยในแพ็คเก็ตหนึ่งจะสามารถส่งข้อความได้ในจำนวนหนึ่งตามข้อกำหนดของแพ็คเก็ตนั้นและมีระยะเวลากำหนดเอาไว้ด้วย เช่น แพ็คเก็ต 2,000 บาท สามารถส่งข้อความได้จำนวน 1,001-5,000 E-Mails ภายในระยะเวลา 30 วัน เป็นต้น ทั้งนี้เรื่องของราคาและปริมาณข้อความรวมถึงระเวลาในการส่ง ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการแต่ละราย 

 

4.ส่งข้อความได้หลากหลายรูปแบบ

 

การส่งอีเมล์สามารถส่งข้อความได้หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การส่งข้อความแบบ Text หรือการส่งข้อความรูปภาพ หรือไฟล์เสียง ก็สามารถส่งผ่านอีเมล์ได้ อีกทั้งยังสามารถแนบลิงค์ให้คลิกไปยังช่องทางอื่นๆ ได้มากมาย ผิดกับการโฆษณาบางช่องทางที่มีข้อจำกัด อย่างเช่น การโฆษณา Facebook ก็จำกัดความยาว Caption การโฆษณา TikTok ก็ไม่สามารถแนบลิงค์ภายนอกได้ เป็นต้น

 

5.มีการรายงานผลการส่ง Email 

 

ประโยชน์อีกหนึ่งประการของ Email Marketing ก็คือการรายงานผลการส่ง Email เพราะทุกครั้งที่มีการส่งออกข้อความ จะมีการบันทึกเป็นข้อมูลสถิติเอาไว้ด้วย ทั้งยังรายงานผลด้วยว่ามีผู้รับอีเมล์กี่ฉบับ และเปิดอ่านกี่ฉบับ ข้อมูลเหล่านี้นักการตลาดสามารถนำกลับมาวิเคราะห์ได้ เพื่อวางแผนการทำ Email Marketing ในอนาคต 

6.ส่งผลดีต่อ SEO 

 

การทำ Email Marketing ถือเป็นการทำ SEO Off-Page เป็นการส่ง Organic Traffic ผู้ใช้งานเว็บเข้าสู่หน้าเว็บไซต์ของเรา

 

หลักการทำ Email Marketing คืออะไร? 

 

มาดูหลักการทำ Email Marketing มีดังนี้ 

 

1.ตั้งชื่ออีเมล์ให้น่าสนใจ 

 

หลักการแรกที่ควรทำใน Email Marketing คือการตั้งชื่ออีเมล์ให้น่าสนใจ โดยส่วนนี้สามารถใส่ข้อมูลได้ที่ช่อง Subject ตอนอยู่ในหน้าต่างเขียนอีเมล์ ส่วนนี้คล้ายๆ กับการพาดหัวบทความ พยายามตั้งชื่ออีเมล์ให้น่าสนใจ และกระตุ้นให้ผู้รับทำการเปิดอ่าน โดยชื่ออีเมล์นั้นควรเกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่อยู่ภายในนั้นด้วย หากหัวข้อน่าสนใจ ดึงดูดและทำให้เปิดอ่านได้สำเร็จ แต่เนื้อหาในนั้นกลับไม่เกี่ยวข้องเลย จะส่งผลเสียต่อแบรนด์ เพราะผู้รับที่ตัดสินใจเปิดอ่านจากหัวข้อนั้นจะไม่พอใจได้ 

 

2.มี Call-To-Action ในเนื้อหา

 

หลักการถัดมาในการทำ Email Marketing ควรใส่ Call-To-Action ลงไปในเนื้อหาด้วย เช่น ติดปุ่มให้คลิก ติดลิงค์ให้คลิก เป็นต้น การใส่ Call-To-Action ต้องตั้งวัตถุประสงค์ก่อน แล้วใส่ Call-To-Action ให้ตอบวัตถุประสงค์นั้น เช่น ต้องการให้คนคลิกซื้อ ก็ติดปุ่มตะกร้า เพื่อให้ผู้อ่านคลิกไปหน้าสินค้าและกดซื้อสินค้า หรือต้องการเพิ่ม Traffic ให้เว็บไซต์ ก็แปะลิงค์เว็บไซต์ไว้ เพื่อให้ผู้อ่านคลิกลิงค์เข้าเว็บไซต์ เป็นต้น ทั้งนี้อย่าลืมติด UTM ไว้ที่ลิงค์นั้นๆ ด้วย เพื่อ Tag ว่ามีคนคลิกเข้าเว็บไซต์จากอีเมล์ฉบับนั้นๆ และนำไปวัดผลภายหลังได้ 

 

3.วิเคราะห์ข้อมูลเสมอ 

 

หลักการทำ Email Marketing ที่ดีควรมีการวิเคราะห์ข้อมูลอยู่เสมอ หากมีการรายงานการส่งอีเมล์ต้องหมั่นเก็บข้อมูลและนำมาวิเคราะห์ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดอ่านอีเมล์ การคลิกลิงค์ การคลิกปุ่มต่างๆ บนอีเมล์ และอื่นๆ จากนั้นนำมาวิเคราะห์ว่าดีหรือไม่อย่างไร เพื่อวางแผนทำ Email Marketing ต่อไปในอนาคต

 

4.ปรับปรุงเนื้อหา

 

เมื่อวิเคราะห์ผลแล้ว สิ่งที่ควรทำลำดับถัดมาคือการปรับปรุงเนื้อหาให้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม หากอีเมล์ฉบับไหนมี Feedback ต่ำกว่าอีเมล์ฉบับอื่นๆ ควรสำรวจความบกพร่องในเนื้อหานั้นและนำมาปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น

ข้อจำกัดในการทำ Email Marketing คืออะไร? 

 

ข้อจำกัดหลักๆ ของการทำ Email Marketing คือแบรนด์จะต้องมีรายชื่ออีเมล์ของกลุ่มเป้าหมาย จึงจะทำการส่งอีเมล์ไปหาได้ ไม่เหมือนกับการยิงแอด Facebook Instagram หรือ TikTok ที่สามารถยิงแอดไปหากลุ่มเป้าหมายที่สนใจในเรื่องนั้นๆ ได้ แม้กลุ่มเป้าหมายไม่ได้กดติดตาม 

]]>
Google Rich Snippets คืออะไร? ทำ SEO ให้เว็บไซต์เหนือกว่าคู่แข่งไปอีกขั้น https://seomasterth.com/google-rich-snippets/ Mon, 08 Jan 2024 07:52:18 +0000 https://seomasterth.com/?p=27632 Google Rich snippets คืออะไร?

Google Rich snippets หรือ Rich Results คือ กูเกิล ริชมีเดีย เป็นฟีเจอร์การแสดงผลลัพธ์ของการค้นหาบนเว็บไซต์ซึ่งจะมีข้อมูลในรูปแบบเชิงโครงสร้างที่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลสินค้า รูปภาพ วีดีโอ ซึ่งดึงดูดผู้อ่านได้มากข้อดีจะช่วย SEO เพิ่มค่า CTR ได้นั่นเอง ฟีเจอร์ฟรีไม่เสียเงิน

Google Rich Snippet มีกี่ประเภท พร้อมตัวอย่าง

อัพเดทล่าสุด (2024) Rich Snippet ที่ปรากฏบน Google ตามหลัก Structured Data , schema.org  มีหลายประเภท สามารถดูทั้งหมดได้ที่ https://developers.google.com/search/docs/appearance/structured-data/search-gallery ใน Content นี้ จะยกตัวอย่าง Rich Snippet ที่มักใช้และเจอบ่อย สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ Rich Snippet ดังนี้ครับ

1) Product snippets & Review snippet

ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าและบริการ เช่น ราคา รีวิว สถานะสต็อคสินค้า และการให้เรทติ้งกับสินค้า ให้ดาวผลิตภัณฑ์

2) Featured snippet

Featured snippet หรือที่คนในวงการ SEO มักจะเรียกว่า “Position zero” อันดับ0 เป็นการแสดงชุดคำตอบสั้นๆ ของคำศัพท์ นิยาม หรือประเด็นต่างๆ ของเรื่องนั้น แบบสั้นๆ โดยกูเกิลจะเรียนรู้และจัดทำข้อมูลในส่วนนี้เอง ดังนั้นเราต้องทำคอนเทนต์ให้มีคุณภาพ

3) Local business features

Google Rich Snippet ประเภทนี้จะแสดงเป็นข้อมูลของร้านค้า ธุรกิจ หรือบริษัทต่างๆ โดยปกติแล้วมันจะปรากฏที่ด้านขวาของผลนการค้นหา (SERP) แต่จะแสดงหน้าตาแบบนี้เฉพาะบน Desktop โดยดึงข้อมูลจาก Google My business ของร้านค้านั้นๆ

4) Video Snippet

เสิร์ชเอนจินไม่สามารถดูวีดีโอของเว็บเราได้ ดังนั้น Video Markup จะช่วยให้ search engines เข้าใจคอนเทนต์คลิปวีดีโอของเราและนำมาแสดงผลได้

5) Movie Snippet

6) Sitelink & Search box snippet

Rich Sitelink เราไม่สามารถควบคุมได้ Google Algorithm จะเรียนรู้และเลือก Sitelink มาแสดงใน SERP เอง ส่วน Search box มีวิธีการทำอยู่ในเอกสาร Document ผู้ใช้งานสามารถค้นหาได้จากช่องตรงนี้ได้เลย

7) Breadcrumb Rich Snippet

breadcrumb ใช้บอกลำดับตำแหน่งโครสร้างของหน้าเพจ ช่วยให้ผู้ใช้งานเว็บไซต์เข้าใจเกี่ยวกับเว็บไซต์ง่ายขึ้น สามารถท่องเว็บไซต์ด้วยความเข้าใจในหมวดหมู่ ประเภท แบ่งเป็นสัดเป็นส่วนชัดเจน

สอนวิธีทำ Google Rich Snippet 

ในการทำ Rich Snippet มีขั้นตอนการทำอยู่ 2 วิธีหลักๆ คือ

  • สำหรับเว็บไซต์ที่ใช้ WordPress ติดตั้งเมนู Plugins ที่ชื่อว่า Yoast SEO แล้วไปที่หน้าบทความ แล้วแก้ไขข้อมูลที่ Snippet Editor (https://wordpress.org/plugins/wordpress-seo/) หรือหาปลั๊กอินตัวอื่นมีอีกมากมาย
  • สำหรับเว็บไซต์ทั่วไปต้องพึ่ง Programmer ให้เขียน Code ให้ตรงตามหลัก Scheme.org ทาง Google มี Structured data CodeLab สำหรับฝึกการทำ Google Rich Snippet โดยเฉพาะ

เครื่องมือเช็ค Google Rich Snippet

เราสามารถตรวจสอบ URL ของเราได้ว่า Rich Snippet มันจะแสดงผลลัพธ์ออกมาแบบไหน มีโครงสร้างส่วนไหนไม่ถูกต้องบ้าง เราสามารถใช้เครื่องมือนี้สำหรับการตรวจเช็คได้ครับ Google แนะนำเครื่องมือเทส Rish Result Test เป็น Structured Data Testing tool

 

สรุป

การทำ Rich Snippets เป็นตัวช่วยที่สำคัญที่จะช่วยให้ผลลัพธ์ของการค้นหาของเว็บไซต์ปรากฏบน SERP ได้อย่างโดดเด่นกว่า เพิ่มค่า CTR และส่งผลดีต่อการทำ SEO โดยการใช้ Rich Snippets นั้นมีหลากหลายรูปแบบมาก ดังนั้น ควรเลือกรูปแบบที่เหมาะสมกับเว็บไซต์ของเรา หวังว่าคอนเทนต์นี้จะเพิ่มความรู้ความเข้าใจการเรียนรู้ SEO ไปอีกขั้นให้กับผู้อ่านนะครับ

]]>