Web Development – SEO Master บริษัทรับทำ SEO รับดูแลเว็บไซต์ ราคาถูก ครบวงจร https://seomasterth.com SEO MASTER Tue, 13 Feb 2024 15:43:54 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.3.5 https://seomasterth.com/wp-content/uploads/2023/11/cropped-seomaster-icon-32x32.jpg Web Development – SEO Master บริษัทรับทำ SEO รับดูแลเว็บไซต์ ราคาถูก ครบวงจร https://seomasterth.com 32 32 Payment Gateway คืออะไร สิ่งที่คนทำธุรกิจออนไลน์ต้องใส่ใจ https://seomasterth.com/payment-gateway-%e0%b8%84%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b0%e0%b9%84%e0%b8%a3/ Tue, 13 Feb 2024 15:39:20 +0000 https://seomasterth.com/?p=28318 การทำธุรกิจออนไลน์นอกจากวางระบบเกี่ยวกับเว็บไซต์ ช่องทางการซื้อ-ขาย ช่องทางการติดต่อ พยายามทำ SEO และกลยุทธ์การตลาดออนไลน์รูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้ลูกค้ารู้จัก สนใจ และตัดสินใจซื้อมากที่สุด อีกเรื่องที่มองข้ามไม่ได้เด็ดขาดนั่นคือระบบรับชำระเงิน หากระบบดี ชำระง่าย มีความชัดเจน ลูกค้าย่อมเกิดความพึงพอใจและมีสิทธิ์กลับมาซื้อใหม่ได้ตลอด สิ่งที่เรียกว่า “Payment Gateway” จึงเกิดขึ้น ซึ่งใครที่ยังสงสัยว่า Payment Gateway คืออะไร ลองมาศึกษาข้อมูลกันอย่างละเอียดได้เลย และขอย้ำว่านี่คือสิ่งที่คนทำธุรกิจออนไลน์ต้องให้ความใส่ใจ

Payment Gateway คืออะไร

Payment Gateway คือ ระบบการชำระเงินผ่านออนไลน์โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วมในด้านการรวบรวมและถ่ายโอนข้อมูลระหว่างลูกค้ากับผู้ขาย หากอธิบายแบบเข้าใจง่ายมากขึ้นนี่เป็นการชำระเงินผ่านระบบออนไลน์โดยจะมีผู้ให้บริการ (ธนาคารหรือสถาบันการเงิน) เป็นคนกลางทำหน้าที่โอนเงินจากผู้จ่ายเงินไปยังผู้รับเงิน ทั้งการชำระด้วยวิธีโอนเงิน บัตรเครดิต บัตรเดบิต พร้อมเพย์ E-Wallet เคาน์เตอร์เซอร์วิสต่าง ๆ ฯลฯ ซึ่งในบ้านเราปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้

1. Payment Gateway แบบเชื่อมต่อธนาคารโดยตรง

เป็นระบบที่ทางธนาคารหรือสถาบันการเงินพัฒนามาเพื่อให้ลูกค้าเกิดความสะดวกมากขึ้น เช่น ธนาคารกรุงเทพใช้ Bualuang Merchant iPay ธนาคารกสิกรไทยใช้ K-Payment Gateway ธนาคารกรุงศรีอยุธยาใช้ Krungsri Biz Payment Gateway ธนาคารไทยพาณิชย์ใช้ SCB Payment Gateway เป็นต้น จุดเด่นสำคัญของ Payment Gateway รูปแบบนี้คือ ปลอดภัย น่าเชื่อถือมาก แต่เรื่องข้อด้อยก็ย่อมมีทั้งเงื่อนไขใช้บริการจุกจิกเยอะ บางธนาคารต้องมีเงินค้ำประกันขั้นต่ำ 1 แสนบาท มีค่าธรรมเนียมต่อการทำรายการ จึงเหมาะกับคนทำธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคลท้งห้างหุ้นส่วนและบริษัท

2. 3rd Party Payment Gateway

คนกลางจากภาคเอกชนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถาบันการเงินมาทำหน้าที่เป็นคนกลางสำหรับโอนเงินออนไลน์ระหว่างผู้ขายกับผู้ซื้อ เช่น GB Prime Pay (โกลบอล ไพรม์), Money Space (มันนี่ สเปซ), 2C2P, PayPal, Omise (โอมิเซะ)} ChillPay (ชิวเพย์) และ DigiO (ดิจิโอ) หรือ DigiPay เป็นต้น ข้อดีมากคือไม่ต้องมีเงินค้ำประกัน หลายเจ้าฟรีค่าธรรมเนียมรายปี มีบริการคอยให้ความช่วยเหลือตลอด 24 ชม. แต่ค่าธรรมเนียมต่อการโอน 1 ครั้งอาจสูงกว่าเล็กน้อย เหมาะกับธุรกิจทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก กาง ใหญ่ ก็สามารถเลือกใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อดีของการที่ธุรกิจเลือกใช้งานระบบ Payment Gateway

เมื่อรู้จักกับระบบการโอนชำระเงินผ่านออนไลน์กันไปแล้ว นี่คือเหตุผลที่สรุปมาให้แบบครบถ้วนว่าทำไมร้านค้าเล็ก ๆ ร้านค้าออนไลน์ ธุรกิจ SME ธุรกิจขนาดกลาง และธุรกิจขนาดใหญ่ ก็สามารถใช้งานระบบ Payment Gateway ได้อย่างสบายใจ

1. ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่คุณพัฒนาระบบต่าง ๆ ของธุรกิจให้ดีขึ้นย่อมส่งผลโดยตรงต่อตัวลูกค้า พวกเขาจะรู้สึกพึงพอใจ ชำระเงินง่าย สะดวก รวดเร็ว อยากกลับมาซื้อซำในครั้งถัดไป รวมถึงยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อตัวแบรนด์อีกด้วย

2. มีความปลอดภัยสูงมาก

เรื่องเงินเรื่องทองเป็นสิ่งที่ต้องระวังโดยเฉพาะการทำธุรกรรมบนโลกออนไลน์ ซึ่งระบบ Payment Gateway เองก็มีระบบดูแลความปลอดภัยที่เป็นไปตามหลักมาตรฐานของสากล เช่น SSL (Secure Sockets Layer), MasterCard SecureCode, Verified by VISA, PCI DSS เป็นต้น ซึ่งปกติแล้วจะมีทีมงานมากประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญสูงคอยสอดส่องดูแลตลอด 4 ชม.

3. ติดตั้งง่าย ระบบไม่ซับซ้อนใด ๆ

บ่อยครั้งพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ หรือธุรกิจขนาดเล็กไม่ได้มีคนช่วยมากนัก เจ้าของต้องจัดการเองหมด การปรับระบบต่าง ๆ ถือเป็นเรื่องวุ่นวายมาก แต่การเปลี่ยนมาใช้งาน Payment Gateway ไม่ใช่แบบนั้นเลย ไม่ต้องจ้างโปรแกรมเมอร์หรือใช้เงินทุนแพง ๆ แค่ทำการติดต่อกับผู้ให้บริการที่ธุรกิจไว้วางใจก็สามารถดำเนินการได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว

4. ฟีเจอร์การใช้งานหลากหลาย ครบถ้วน

ฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่ใช้งานได้มักขึ้นอยู่กับผู้พัฒนาที่เลือกใช้บริการ แต่ส่วนใหญ่ก็แทบไม่แตกต่างกันมากนัก มีทั้งการใช้ผ่านเว็บไซต์และ Social Media ระบบการรายงานเมื่อเงินเข้าบัญชี ระบบยืนยันการชำระเงินไปยังลูกค้า ฯลฯ เรียกว่ามีความครบถ้วน และเสริมความเป็นมืออาชีพด้านบริหารจัดการอย่างดีเยี่ยม

เลือกผู้ให้บริการ Payment Gateway อย่างไรให้ตอบโจทย์มากที่สุด

  • ผู้ให้บริการต้องมีความน่าเชื่อถือ มีประสบการณ์ การดูแลระบบถูกต้องเหมาะสมตามหลักมาตรฐาน
  • รองรับการชำระเงินออนไลน์ผ่านช่องทางที่หลากหลาย ครบครันทุกแพลตฟอร์ม
  • ระบบใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน แต่ต้องมีความปลอดภัย มีระบบการป้องกันต่าง ๆ อย่างสมบูรณ์แบบ
  • ผู้ให้บริการอัปเดตระบบซอฟต์แวร์ให้อยู่ตลอดเพื่อการพัฒนาต่อเนื่องและทันสมัย
  • ค่าบริการไม่แพงจนเกินไป มีการคิดค่าธรรมเนียมตามความเหมาะสม เพื่อให้ลูกค้าได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
  • มีทีมงานคอยซัพพอร์ตให้การดูแลตลอด 24 ชม. จะยิ่งเป็นเรื่องที่ดีมาก

Payment Gateway ในไทย (Non-bank) ยกตัวอย่าง มีเจ้าไหนบ้าง 2024

  • GB Prime Pay (โกลบอล ไพรม์)
    ให้บริการระบบรับชำระเงินออนไลน์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการรับชำระเงินด้วย Credit Card, QR Code Bill Payment, Mobile Banking, WeChatPay, Alipay หรือ E-wallet ต่างๆ
  • Omise
    คือ Payment Gateway เบื้องหลังความสะดวกสบายในการชำระเงินของธุรกิจชื่อดังหลายธุรกิจที่หลายคนอาจกำลังใช้งานอยู่โดยไม่รู้ตัว
  • 2C2P
    คือระบบการชำระเงินออนไลน์ที่ผู้ใช้งานสามารถชำระได้หลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นการตัดผ่านบัตรเครดิตหรือเดบิต ชำระเงินผ่านธนาคารแบบออนไลน์ ผ่านหน้าเคาน์เตอร์ธนาคาร ผ่านตู้ ATM หรือจ่ายผ่านหน้าเคาน์เตอร์เซอร์วิสที่ร่วมรายการ
  • DigiO (ดิจิโอ) หรือ DigiPay
    ดิจิโอสตาร์ทอัพผู้นำด้านการพัฒนาและให้บริการระบบชำระเงินในประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นในปี 2555 ให้บริการด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์สำหรับโซลูชั่นการชำระเงิน เช่น EDC, mPOS, การพิสูจน์และยืนยันตัวตนบุคคลแบบดิจิทัล
  • PayPal
    ถือเป็นผู้ให้บริการชำระเงินที่คู่ไทยมายาวนาน ตอนนี้ผู้ที่จะใช้งานต้องจดทะเบียนบริษัทเท่านั้นถึงจะใช้บริการรับการชำระเงินได้จากต่างประเทศ โดยการใช้งานจะมีส่วนให้เทส Sandbox และใช้งานจริงกำหนด Callback api เมื่อการชำระเสร็จเรียบร้อยได้
  • (ChillPay) ชิวเพย์
    สามารถเชื่อมต่อกับระบบต่างๆ ได้ง่าย เพราะมี Open API ที่เป็นมิตรกับทุกโซลูชั่น รวมถึง ChillPay ยังมี Sandbox ซึ่งเป็นระบบทดสอบการใช้งาน, การชำระเงิน ให้ร้านค้าต่างๆ เข้ามาทดลองก่อนเปิดใช้งานจริงได้ด้วย
  • Money Space (มันนี่ สเปซ)
    ผู้ให้บริการรับชำระเงินออนไลน์ด้วยบัตรเครดิต รุกธุรกิจ E-Commerce เตรียมเป็นผู้ให้บริการระดับชั้นนำ ผ่านช่องทางการรับชำระเงินบนโลกอินเตอร์เน็ตที่หลากหลาย ในอัตราค่าธรรมเนียมแสนถูก เจาะกลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ที่ต้องการเทคโนโลยีรองรับการชำระเงินออนไลน์ สะดวก ทันสมัย และลดขั้นตอนในการดำเนินงาน
  • stripe.com (สตริป)
    Stripe คือผู้นำให้บริการ Payment Gateway หรือระบบชำระเงินออนไลน์ ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มธุรกิจสตาร์ทอัพ จนถึงแบรนด์ดังอย่าง Amazon, Ford, Shopify ได้เปิดให้บริการมาแล้วกว่า 50 ประเทศทั่วโลก
  • SiamPay (สยามเพย์)
  • Paysbuy (เพย์สบาย)
  • Rabbit LINE Pay (แรบบิท-ไลน์ เพย์)
  • N26 (เอ็น 26)
    N26 หรือชื่อเดิม Number 26 เป็นสตาร์ตอัพจากเยอรมนีที่ก่อตั้งในปี 2013 บริษัทตั้งเป้าเป็น “ธนาคารผ่านแอพมือถือ” ที่ลูกค้าไม่จำเป็นต้องไปที่สาขาเลย ปัจจุบันมีลูกค้ามากถึง 200,000 รายทั่วยุโรปแล้ว
  • Pay Solutions
    ผู้ให้บริการรายแรกของไทยที่เปิด Crypto Payment บริการรับชำระเงินคริปโต เคอเรนซี่ บล็อคเชน โดยความร่วมมือกับพันธมิตรผู้ให้บริการแพลตฟอร์มในการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล รองรับการชำระได้มากกว่า 350 สกุลเงิน ไม่ว่าจะเป็นเหรียญ Bitcoin, Ethereum, XRP หรือสกุล Coin อื่นๆ โดยผู้จ่ายสามารถจ่ายผ่านระบบกระเป๋าคริปโท Metamask ผ่านระบบเครือข่าย Blockchain ของ Binance Smart Chain (BSC) ที่เป็นที่นิยมกันทั่วโลก

สรุป

Payment Gateway เป็นระบบการชำระเงินผ่านช่องทางออนไลน์ด้วยแพลตฟอร์มต่าง ๆ โดยเฉพาะการใช้ Mobile Banking บัตรเครดิต บัตรเดบิต สร้างความสะดวก รวดเร็ว และง่ายดายต่อลูกค้า อย่างไรก็ตามธุรกิจเองก็ต้องคอยระวังด้านความปลอดภัย หมั่นตรวจสอบข้อมูล ความผิดปกติอย่างสม่ำเสมอ เลือกใช้งานกับผู้ให้บริการที่มีชื่อเสียง มีคุณภาพ ตรงตามมาตรฐานระดับสากล สิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างความพึงพอใจ เสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ดียิ่งขึ้น โอกาสกลับมาซื้อซ้ำหรือบอกต่อคนอื่น ๆ ก็มีสูงมากตามไปด้วย

]]>
QR Code คืออะไร มิติใหม่ของการถูกใช้งานในสังคมยุคปัจจุบัน https://seomasterth.com/qr-code-%e0%b8%84%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b0%e0%b9%84%e0%b8%a3/ Mon, 12 Feb 2024 19:41:54 +0000 https://seomasterth.com/?p=28321 ทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นไปไหน รวมถึงการท่องโลกออนไลน์ก็ตาม สิ่งที่เรียกว่า “QR Code” มักถูกพบเห็นจนเป็นเรื่องปกติ ซึ่งหลายคนคงเกิดข้อสงสัยตามมาเกี่ยวกับกรอบสี่เหลี่ยมที่มีรอยแถบดำ ๆ ลวดลายประหลาดว่า QR Code คืออะไร ทำไมการใช้ชีวิตยุคใหม่สัญลักษณ์ดังกล่าวกลายเป็นสิ่งสำคัญที่คนทำธุรกิจ หรือแม้แต่การดำเนินชีวิตทั่วไปก็ต้องใช้งาน มาศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดพร้อมกันได้เลย

QR Code คืออะไร

Quick Response หรือ QR Code คือ สัญลักษณ์ที่มีลักษณะเป็นกรอบสี่เหลี่ยมแล้วภายในจะมีแถบสีทึบรูปแบบไม่ตายตัวกระจายกันอยู่ซึ่งแถบดังกล่าวมีการบันทึกข้อมูล รายละเอียด และสามารถตอบสนองได้ภายในเวลาอันรวดเร็วเพียงแค่ใช้มือถือสแกน ซึ่งปัจจุบันรูปแบบการพัฒนาเพื่อใช้งานจะแบ่งออกเป็น 2 แบบใหญ่ ได้แก่

  • QR Code ที่ถูกสร้างขึ้นมาผ่านเว็บไซต์ที่เปิดให้บริการผ่านระบบออนไลน์
  • การติดตั้งโปรแกรม QR Code เอาไว้บนอุปกรณ์หรือแพลตฟอร์มต่าง ๆ

สำหรับจุดเริ่มต้นของการกำเนิด QR Code ต้องย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ. 1994 บริษัทสัญชาติญี่ปุ่นอย่าง Denso-Wave ได้เป็นผู้คิดค้นขึ้น กระทั่งได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในวงกว้างเมื่ออินเทอร์เน็ตเฟื่องฟูแบบขี้สุดเหมือนที่พบเห็นในปัจจุบันนั่นเอง

ประเภทของ QR Code ที่นิยมใช้งาน

1. QR Code Model 1 และ Model 2

ถือเป็นคิวอาร์โค้ดรูปแบบดั้งเดิม มีขนาดใหญ่สุดหากเทียบกับประเภทอื่น ขนาด 73 x 73 Module ใส่ข้อมูลได้รวม 1,167 ตัว ขณะที่ Model 2 เป็นรุ่นพัฒนาซึ่งบรรจุข้อมูลรวมถึง 7,089 และปัจจุบันยังคงได้รับความนิยมมาก

2. Micro QR Code

มีขนาดเล็กมากเพียง 17 x 17 Module บรรจุตัวอักษรได้ 35 ตัว ถือว่าขนาดเล็กกว่าแบบแรกพอควร นิยมใช้สำหรับการให้ข้อมูลเพียงเล็กน้อยหรือกำหนดข้อมูลแค่เรื่องเดียวเท่านั้น

3. IQR Code

นอกจากมีขนาดเล็กแล้วยังถูกพิมพ์ตามแนวนอนเพื่อให้เก็บข้อมูลได้เยอะถึง 80% หรือถ้าเก็บข้อมูลปริมาณเท่ากันยังประหยัดพื้นที่แสดงผลอีกราว 30% บรรจุข้อมูลสูงสุด 40,000 ตัว

4. SQRC

จะคล้ายกับตัว QR Code Model 1 และ Model 2 มาก แต่จุดเด่นที่ทำให้น่าสนใจขึ้นนั่นคือ สามารถเก็บข้อมูลที่เป็นความลับได้

5. Frame QR

เป็นอีกแบบที่พบเห็นได้บ่อย ลักษณะคือสามารถใช้ภาพกราฟิก โลโก้ รูปภาพ สัญลักษณ์ต่าง ๆ เข้ามาใส่ภายใน QR Code ได้ จึงมักพบบ่อยเมื่อต้องทำกิจกรรมทางการตลาด หรือทำการตลาดออนไลน์เพื่อให้ลูกค้าเข้ามาเจอกันง่ายขึ้น

แนวทางในการนำ QR Code ไปใช้งาน

อย่างที่ทุกคนเห็นว่าปัจจุบันคิวอาร์โค้ดกลายเป็นอีกทางเลือกของธุรกิจและคนทั่วไปเมื่อต้องการส่งข้อมูล หรือรับข้อมูลใด ๆ ก็ตาม ประหยัดเวลา สะดวก รวดเร็ว ได้รายละเอียดครบถ้วน ซึ่งแนวทางที่มักนำ QR Code ไปใช้งานก็มีอยู่พอสมควร ประกอบไปด้วย

1. รับชำระเงิน

นี่คือรูปแบบที่ทุกคนพบเห็นได้บ่อยสุดในยุคปัจจุบันเลยก็ว่าได้ เมื่อการชำระเงินค่าสินค้า / บริการต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องจ่ายแค่เงินสดหรือบัตรเครดิตอีกต่อไป เพราะระบบ Mobile Banking ก็สร้างความสะดวก ง่ายดาย และปลอดภัยกว่า ไม่ต้องกลัวเงินหาย พกพามือถือเครื่องเดียวก็จ่ายได้ทุกสิ่ง แต่ลำพังจะให้พิมพ์ตัวเลขบัญชีธนาคารแต่ละครั้งคงเป็นเรื่องยุ่งยากมาก การมี QR Code รับชำระเงินจึงสะดวกต่อลูกค้า แค่สแกนมือถือก็เข้าสู่ระบบธนาคารแล้วกดจ่ายเงินได้ทันที

2. เพิ่มช่องทางการติดต่อเพื่อทำการตลาดออนไลน์

ลำดับต่อมาถูกใช้งานเพื่อสร้างช่องทางติดต่อระหว่าง 2 ฝ่าย เช่น ร้านค้าสร้างคิวอาร์โค้ดเพื่อให้ลูกค้าเพิ่มเพื่อนสำหรับอัปเดตข่าวสาร ติดตามข้อมูลต่าง ๆ หรือสอบถามรายละเอียดอื่นเพิ่มเติม ซึ่งจุดนี้เองยังถือเป็นช่องทางการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ รวมถึงโอกาสสร้างยอดขายให้เกิดขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย ยิ่งยุคนี้แนวทางทำการตลาดเปลี่ยนไปเยอะมาก พฤติกรรมคนใช้มือถือกันแทบทั้งวัน ธุรกิจก็สามารถใช้เทคนิคเพิ่มเพื่อนเพื่อกระตุ้นความรู้สึกและการตัดสินใจซื้อได้เช่นกัน

3. ลงทะเบียนข้อมูลต่าง ๆ

อีกแนวทางของการใช้คิวอาร์โค้ดที่พบเห็นบ่อยมากนั่นคือ การลงทะเบียนเพื่อกรอกข้อมูลต่าง ๆ เช่น การสมัครสมาชิก การสมัครเป็นตัวแทน การลงทะเบียนเข้าร่วมงาน ลงทะเบียนเข้า-ออกสถานที่ บอกลาปัญหาความสับสน แถมยังสะดวก รวดเร็ว ง่ายดาย มีรายละเอียดและข้อมูลทุกอย่างชัดเจน ครบถ้วน นำไปใช้ประโยชน์ตามความต้องการ

QR Code จำเป็นต่อการทำธุรกิจมากขนาดไหน

จากข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้ระบุไปต้องยอมรับว่าทุกวันนี้ธุรกิจจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับ QR Code เป็นอย่างมาก เพราะสามารถนำเสนอทุกสิ่งที่ต้องการสื่อสารออกไปได้อย่างครบถ้วน โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนแพง ๆ แต่เข้าถึงแบบส่วนตัวยิ่งกว่า ไม่ว่าลูกค้าจะอยู่ที่ไหนก็พบเห็นการสื่อสารต่าง ๆ ของทางธุรกิจได้ครบถ้วน หรือแม้แต่ธุรกิจหน้าร้านทั้งออนไลน์และออฟไลน์ที่ต้องมีการรับชำระเงิน คิวอาร์โค้ดย่อมช่วยลดภาระการจัดการงานได้หลายรูปแบบ เช่น คนไม่ต้องต่อคิวเพื่อรอเงินทอน ตรวจสอบเงินเข้า-ออกได้ครบถ้วน และยังเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กรในเรื่องความทันสมัย และมีส่วนลดการใช้วัสดุต่าง ๆ ไม่สร้างมลพิษทางสิ่งแวดล้อมด้วย

Static qr code vs Dynamic qr code

Static qr code เป็นคิวอาร์โค้ดที่ไม่สามารถแก้ไขข้อมูลได้ เหมาะสำหรับใช้ทำ Marketing Campaigns หรือ PR Event ใช้ซ้ำได้สแกนกี่ครั้งก็ได้ ส่วน Dynamic QR Code สามารถแก้ไขข้อมูลได้หลังบ้าน เพื่อกรณีปริ๊นไปใช้งานแล้ว แต่ต้องการแก้ไขปลายทาง ก็สามารถทำได้ และบางกรณียังใช้เก็บ Expire Date วันหมดอายุของ QR Code ยกตัวอย่าง QR Payment หรือใช้ในกรณี QR Login หรือจะกำหนดลิมิตการใข้งานเช่น QR Code ที่ใช้สแกนแจกรางวัลในงานอีเว้นท์ เป็นต้น

สรุป

QR Code กับการใช้งานในยุคปัจจุบันต้องบอกว่ามีความสำคัญต่อธุรกิจเป็นอย่างมาก ทั้งเรื่องการชำระเงิน การติดต่อเพื่อสื่อสารระหว่างธุรกิจกับลูกค้า ใช้เพื่อโปรโมทกลยุทธ์ทางการตลาดต่าง ๆ เป็นต้น มีหลายรูปแบบให้เลือก เสริมภาพลักษณ์องค์กรให้ดูดีขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นธุรกิจที่ยังลังเลใจอย่าคิดนานเพราะอาจโดนคู่แข่งแซงเอาง่าย ๆ เลยก็ได้

 

]]>
Content Delivery Network (CDN) คืออะไร ทำความเข้าใจไม่ยากเลย https://seomasterth.com/what-is-cdn/ Tue, 30 Jan 2024 14:00:33 +0000 https://seomasterth.com/?p=28139 ด้วยโลกทุกวันนี้ต้องอาศัยอินเทอร์เน็ตพร้อมการเชื่อมต่ออันแสนรวดเร็วของระบบต่าง ๆ เพื่อให้ทุกอย่างสามารถเดินไปข้างหน้า การทำธุรกิจ การใช้ชีวิตทุกวันจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ได้ ยิ่งถ้าธุรกิจก้าวเข้าสู่โลกออนไลน์แบบเต็มตัวอีกเรื่องที่ควรทำความรู้จักเอาไว้นั่นคือ Content Delivery Network (CDN) ซึ่งใครที่อาจยังมีข้อสงสัยว่า Content Delivery Network (CDN) คืออะไร สำคัญมากขนาดไหน มาทำความเข้าใจและศึกษาข้อมูลพร้อมกันเลย

Content Delivery Network (CDN) คืออะไร

Content Delivery Network หรือ CDN คือ เครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ที่มีการเชื่อมต่อเพื่อให้เกิดการทำงานได้อย่างรวดเร็วโดยเฉพาะการดาวน์โหลดข้อมูลหน้าเว็บ รวมถึงส่งข้อมูลแสดงผลลัพธ์ไปยังหน้าจอของผู้ที่กำลังใช้งานอินเทอร์เน็ต ช่วยให้เกิดประสบการณ์ที่ดีมากขึ้น

หากอธิบายแบบเข้าใจง่ายเมื่อมีใครสักคนคลิกเข้าไปยังหน้าเว็บไซต์หนึ่ง ข้อมูลที่อยู่บนเซิร์ฟเวอร์เว็บดังกล่าวจะเคลื่อนตัวผ่านสัญญาณอินเทอร์เน็ตเพื่อไปให้ถึงหน้าจอคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต มือถือ ของผู้ที่กดเข้ามา หากคนที่ใช้งานอยู่ไกลจากเซิร์ฟเวอร์การประมวลและการแสดงผลก็ย่อมช้าลงเป็นเรื่องปกติเมื่อต้องดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่ เช่น รูปภาพ คลิปวิดีโอ ในอีกมุมหนึ่งหากเจ้าของเว็บมีการเก็บข้อมูลบนเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้กับผู้ใช้งานคนนั้น ๆ (ตามหลักภูมิศาสตร์) ข้อมูลก็มีสิทธิ์ไปถึงปลายทางได้เร็วกว่าเช่นกัน

ภาพจาก meduim

ความสำคัญของ Content Delivery Network (CDN)

อย่างที่เกริ่นเอาไว้ว่าเมื่อโลกของเราขับเคลื่อนด้วยอินเทอร์เน็ต ความเร็วจึงเป็นสิ่งที่ต้องแข่งขันกัน ใครไวกว่าก็มีสิทธิ์เป็นผู้ชนะเหมือนกับวลี “ปลาเร็วกินปลาช้า” ดังนั้นความสำคัญของการมี Content Delivery Network (CDN) ที่ดีจะช่วยลดความล่าช้าหรือลดการใช้เวลาแฝงระหว่างการสื่อสารที่กำลังเกิดขึ้นบนเครือข่ายได้เป็นอย่างดี

ด้วยระบบอินเทอร์เน็ตปัจจุบันครอบคลุมการทำงานได้ทั่วโลกบวกกับมีความซับซ้อนสูงมาก การรับส่งข้อมูลบนหน้าเว็บไซต์แต่ละแห่งระหว่างตัวเว็บไซต์ (เซิร์ฟเวอร์) กับตัวผู้ใช้งานจึงมีระยะทางไกลขึ้น บวกกับนี่คือรูปแบบการสื่อสารแบบ 2 ทาง หมายถึง คำขอการเข้าชมกำลังเดินทางจากผู้ใช้ไปยังเซิร์ฟเวอร์ และเซิร์ฟเวอร์ได้ตอบกลับและกำลังเดินทางกลับมายังผู้ใช้ หากเว็บไหนทำงานได้เร็วกว่าย่อมสร้างความประทับใจ ความพึงพอใจได้นั่นเอง

ประโยชน์สำคัญของการใช้งาน Content Delivery Network (CDN)

1. เพิ่มความเร็วให้กับหน้าเว็บไซต์

หลายคนคงเคยเจอปัญหาเวลาเข้าเว็บไซต์พร้อม ๆ กันแล้วเกิดอาการค้าง ดาวน์โหลดหน้าเว็บไม่ขึ้น และอีกสารพัด การใช้ Content Delivery Network (CDN) จึงช่วยจัดการกับเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างดี การส่งข้อมูลและการตอบกลับยังคงเดินหน้าได้แบบเต็มประสิทธิภาพ ลดอาการ Work Load ของเซิร์ฟเวอร์ หรือในกรณีที่ CDN สักตัวหนึ่งออฟไลน์เซิร์ฟเวอร์อื่นก็ยังทำหน้าที่แทน หมดกังวลหน้าเว็บหยุดการทำงานได้ดี

2. ลดค่าใช้จ่าย Bandwidth

Bandwidth (แบนด์วิดท์) คือ การคำนวณจำนวนในการรับ-ส่งข้อมูลจากจากจุดเริ่มต้นไปยังอีกจุดผ่านการเชื่อมต่อของเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หากเทียบง่าย ๆ ก็ไม่ต่างจากท่อน้ำในการส่งข้อมูล หากเว็บไซต์มีปริมาณข้อมูลเยอะการใช้ Bandwidth ก็สูง ส่งผลเรื่องค่าใช้จ่ายแพงขึ้นเป็นเรื่องปกติ ด้วยเหตุนี้การนำเอา CDN เข้ามาช่วยรับ-ส่งข้อมูลจึงลดต้นทุนในเรื่องนี้ได้เช่นกัน

3. สร้างความปลอดภัยให้กับเว็บไซต์

Distributed Denial-of-Service (DDoS) เป็นการโจมตีออนไลน์ประเภทหนึ่งที่จะพยายามหยุดเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันไม่ให้ทำงานโดยทำการส่งข้อมูลปลอมจำนวนมากเข้ามาแทน ตรงจุดนี้เองที่ Content Delivery Network (CDN) จะทำการกระจาย Work Load เพื่อจัดการกับข้อมูลปริมาณมหาศาลระหว่างตัวกลางเซิร์ฟเวอร์หลายตัว เพื่อเป็นการลดความเสียหายจากเซิร์ฟเวอร์ต้นทาง

4. สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้

เมื่อเว็บของคุณสามารถดาวน์โหลดได้รวดเร็ว คลิกเข้าไปหน้าต่าง ๆ ภายในเวลาไม่กี่วินาที ยอด Bounce Rate น่าประทับใจ จำนวน Traffic ที่เข้ามาก็เพิ่มขึ้น ผู้ใช้งานรู้สึกประทับใจ อยากคลิกเข้ามาอยู่ตลอด ซึ่งตรงจุดนี้นอกจากช่วยให้มี Impression ที่ดีแล้ว ยังส่งผลเชิงบวกต่อการทำ SEO การยิง Google Ads รวมถึงการกระตุ้นยอดขายด้วยวิธีอื่น ๆ อีกด้วย

คำแนะนำในการใช้งาน Content Delivery Network (CDN)

เมื่อใช้งาน Content Delivery Network (CDN) คุณสามารถอัปโหลดเนื้อหาที่มีปริมาณข้อมูลหนัก ๆ ได้ไม่ยาก เช่น รูปภาพ คลิปวิดีโอ และยังสามารถปรับการทำงานของเว็บให้รองรับกับทุกแพลตฟอร์มที่เข้ามาเยี่ยมชมทั้งคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต มือถือ แบบไม่ต้องกังวลใจอะไรทั้งสิ้น ไปจนถึงการเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บด้วยการใส่สินค้า / บริการต่าง ๆ และทำการขายผ่านหน้าเว็บโดยตรง หรือบางธุรกิจจะใช้เป็นช่องทางในการสตรีมมิ่งก็ดำเนินการได้ทันที ไม่ต้องห่วงเรื่องปัญหาติดขัด ดังนั้นจึงอธิบายได้ว่าการใช้ CDN ไม่ว่าในมุมไหนก็ดีต่อเว็บไซต์และธุรกิจอย่างแน่นอน

แนะนำ 10 ผู้ให้บริการ CDN ระดับโลก

  1. Cloudflare CDN
  2. Amazon CloudFront
  3. Google Cloud CDN
  4. Microsoft Azure Content Delivery Network
  5. Sucuri
  6. KeyCDN
  7. Bunny
  8. CacheFly
  9. Rackspace
  10. Akamai

สรุป

Content Delivery Network (CDN) อีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้เว็บไซต์สามารถสร้างผลลัพธ์เชิงบวกต่อธุรกิจเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะความเร็วของเนื้อหาที่ผู้เยี่ยมชมคลิกเข้าไปแล้วหน้าเว็บทำการดาวน์โหลด ช่วยเพิ่มประสบการณ์ที่ดี และยังสานต่อไปถึงโอกาสในการเติบโตทั้งเรื่องยอดขาย การทำ SEO การยิง Google Ads และอีกสารพัด คุณสามารถปรับหน้าเว็บไซต์ให้มีลูกเล่นอื่นเพิ่มเติม เช่น การสตรีมมิ่ง การลงคลิปวิดีโอ การเพิ่มปริมาณสินค้า / บริการ ฯลฯ นี่จึงเป็นสิ่งที่ควรศึกษาเอาไว้เลย

 

 

 

 

]]>
Progressive Web App คืออะไร อีกความเหนือระดับของเว็บไซต์ https://seomasterth.com/what-is-progressive-web-apps/ Thu, 25 Jan 2024 14:57:42 +0000 https://seomasterth.com/?p=28080 เมื่อเว็บไซต์เปรียบได้กับหน้าร้านค้าบนโลกออนไลน์ ลำพังแค่การทำเว็บทั่วไปอาจไม่ตอบโจทย์กับลูกค้ามากนัก ยิ่งถ้าประเภทธุรกิจของคุณมีคู่แข่งเยอะ การพัฒนาที่เกิดขึ้นตอนนี้จึงมีสิ่งที่เรียกว่า “Progressive Web App” ซึ่งในฐานะเจ้าของเว็บ คนลงทุน ที่ยังมีข้อสงสัยว่า Progressive Web App คืออะไร ทำไมจึงมีความเหนือระดับมากกว่าเว็บไซต์ปกติที่ใช้งานกัน เพิ่มโอกาสในการเอาชนะคู่แข่งจากความน่าสนใจและลูกเล่นที่ดึงดูดกว่าเคย

Progressive Web App คืออะไร

Progressive Web App คือ ลักษณะของการพัฒนาเว็บไซต์บนอินเทอร์เน็ตให้มีความครอบคลุม ตอบโจทย์การใช้งานของผู้เยี่ยมชมในด้านต่าง ๆ ได้มากขึ้น หากอธิบายแบบเข้าใจง่ายขึ้น Progressive Website Application หรือ PWA จะเป็นแนวทางของการสร้างเว็บให้ใกล้เคียงกับแอปพลิเคชันที่ดาวน์โหลดลงคอม หรือแอปในมือถือ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรูปแบบการใช้งาน ความเร็ว ดีไซน์ หรือแม้แต่หน้าตา เมนูต่าง ๆ ไปจนถึงการใช้งานผ่านระบบออฟไลน์ มีการปรับลักษณะการแสดงผลให้สอดคล้องกับอุปกรณ์ที่ใช้งานทั้ง Desktop แท็บเล็ต หรือแม้แต่มือถือ ซึ่งการพัฒนาทั้งหมดมักอยู่ภายใต้คอนเซปต์ 3 ประการ ดังนี้

1. Reliable

ความน่าเชื่อถือ พยายามทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกไว้วางใจเมื่อตัดสินใจเข้ามาใช้งานมากที่สุด เช่น การใช้ผ่านระบบออฟไลน์ได้แทบไม่ต่างจากการทำงานบนออนไลน์

2. Fast

หัวใจสำคัญของการทำเว็บไซต์ทุกประเภทก็คงไม่ใช่เรื่องผิดนัก ยิ่งถ้าเป็น Progressive Web App ซึ่งมีการพัฒนาแบบก้าวกระโดดมากกว่าเว็บทั่วไป ความเร็วเป็นสิ่งที่ตกไม่ได้ เช่น การเล่นคลิปวิดีโอเสถียร ลื่นไหล การดาวน์โหลดไฟล์ต่าง ๆ ใช้เวลาไม่นาน

3. Engaging

การมีส่วนร่วมของผู้เยี่ยมชมรู้สึกถึงความพึงพอใจ มีความยืดหยุ่นสูงจนพวกเขาสัมผัสได้ว่าการใช้งานแทบไม่แตกต่างจากแอปพลิเคชันบนมือถือเลยทีเดียว

ทำไมการสร้าง Progressive Web App จึงมีความสำคัญ

เป็นคำถามที่เจ้าของธุรกิจจำนวนมากสงสัย ในเมื่อจุดประสงค์ของการใช้งานแทบไม่แตกต่างจากการใช้แอป แบบนี้การสร้างแอปจะสะดวกกว่า แถมยังตอบโจทย์กับพฤติกรรมการใช้มือถือของคนยุคใหม่หรือไม่ คำตอบคือ แม้แอปพลิเคชันหรือโปรแกรมทั้งลงในมือถือ คอมพิวเตอร์จะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ แต่มันก็ยังมีปัจจัยที่อาจทำให้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกว่าพวกเขาไม่ต้องการดาวน์โหลดแอปเหล่านี้ เช่น สิ้นเปลืองพื้นที่ความจำของมือถือ ต้องคอยอัปเดตระบบอยู่บ่อย ๆ กลัวเป็นแอปที่มีไวรัส ฯลฯ

ในอีกมิติหนึ่งการค้นหาข้อมูลผ่านเว็บไซต์ยังคงเป็นวิธียอดฮิตที่คนส่วนใหญ่เลือกทำกัน และถ้าพวกเขาพบเจอกับเว็บของคุณในรูปแบบ Progressive Web App พอคลิกเข้ามาแล้วได้รับประสบการณ์อันยอดเยี่ยมย่อมเพิ่มความรู้สึกเชิงบวก เสริมภาพลักษณ์ที่ดี เป็นการสร้าง User Journey ที่ทุกเว็บต้องการมากที่สุดคงไม่ใช่เรื่องผิดเท่าใดนัก และอีกข้อหนึ่งสำหรับเจ้าของ platform คือไม่ต้องเสียเงินจ้างทำทั้งเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน ทั้ง iOS และ Android เสียเงินถึง3แพลตฟอร์มเลยทีเดียว

ความแตกต่างระหว่าง Progressive Web App กับ Application

แม้ภาพรวมระหว่าง Progressive Web App กับ Application จะดูใกล้เคียงกันมาก แต่ถ้าเจาะลึกลงไปแล้วก็ยังคงเห็นความแตกต่างระหว่าง 2 ตัวเลือกนี้อยู่พอสมควร ซึ่งสามารถแยกการเปรียบเทียบออกได้ ดังนี้

1. การใช้งานผ่านระบบออฟไลน์

Progressive Web App สามารถใช้งานได้แม้ไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต (ออฟไลน์) โดยปกติการใช้งานบน Chrome จะพบเป็นเกมส์ไดโนเสาร์ แต่ PWA สามารถใช้ได้ในบางฟังก์ชัน รวมถึงการเก็บสถิติ Google Analytic Offline ก็ทำได้เช่นกัน แม้มีข้อจำกัดอยู่บ้างแต่ก็ถือว่าพอแก้ขัดในระดับหนึ่ง ขณะที่แอปพลิเคชันส่วนใหญ่ หากจะเปิดเข้าเพื่อใช้แบบเต็มประสิทธิภาพต้องทำงานผ่านออนไลน์

2. สะดวก รวดเร็ว ต่อการใช้งาน

ด้วยการพัฒนาผ่านระบบเว็บไซต์เป็นพื้นฐานสำคัญจึงทำให้ Progressive Web App ประมวลผลและทำงานได้รวดเร็วกว่าแอปพลิเคชันทั่วไป ยิ่งกว่านั้นยังสามารถตั้งค่าให้อยู่หน้าแรกเพื่อใช้งานได้สะดวกกว่าเคยผ่านเมนู Add to Home Screen

3. การทำงานหลายระบบคล้ายกับแอป

แม้จะมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง แต่ในอีกมุมหนึ่งต้องยอมรับว่าเว็บไซต์ประเภทนี้ก็มีความใกล้เคียงกับการทำงานของแอปอยู่พอสมควร เช่น การเปิดใช้งานแบบเต็มหน้าจอ ไม่ต้องมีปุ่มใด ๆ มาบดบัง การแจ้งเตือนส่ง Push Notification แม้ยังไม่ได้มีการเปิดใช้งาน การอัปเดตระบบอยู่ตลอด เพื่อลดความผิดพลาดและช่วยให้เกิดความทันสมัยมากขึ้น

4. ความปลอดภัยอยู่ในระดับสูง

ด้วยการทำงานผ่านระบบของเว็บไซต์จึงมั่นใจถึงความปลอดภัยที่ได้รับไม่ต่างจากเว็บปกติ และหากเทียบกับแอปต้องบอกว่า Progressive Web App มีความปลอดภัยกว่าในหลายด้านมาก ๆ ตอบโจทย์ขั้นสุด

5. ใช้พื้นที่ความจำน้อย

อีกจุดเด่นสุดสำคัญที่ทำให้เว็บนี้ถูกจริตของคนจำนวนมากนั่นคือ การใช้พื้นที่ความจำของเครื่องน้อยมาก ๆ เมื่อเทียบกับแอปพลิเคชัน เพราะการอยู่บนหน้าจอคอมหรือการเปิดผ่านมือถือไม่ถูกจำกัดด้วย OS เพราะทำงานผ่านเบราวน์เซอร์นั่นเอง

สรุป

Progressive Web App เป็นอีกทางเลือกของการพัฒนาเว็บไซต์ที่ช่วยสร้างผลลัพธ์อันน่าพึงพอใจให้กับผู้ใช้งานทุกคน รวมถึงยังบ่งบอกตัวตนและความเหนือระดับที่ธุรกิจได้รับ เสริมภาพลักษณ์ให้ดูดี มากไปกว่านั้นใครได้ลองใช้งานเป็นต้องชื่นชอบกันแทบทั้งสิ้น ตอบโจทย์มากกว่าการพัฒนาแอปพลิเคชันในบางมุมอีกต่างหาก ซึ่งธุรกิจใดสนใจอยากสร้างเว็บไซต์ประเภทนี้ต้องเริ่มต้นจากวางแผนให้ดี และเลือกทีมนักพัฒนาเว็บที่มีความเชี่ยวชาญ จะช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาน่าพึงพอใจ เป็นเว็บไซต์อย่างที่คาดหวังเอาไว้

]]>
Push Notification หรือ บริการแจ้งเตือนแบบพุชคืออะไร มีคำตอบ https://seomasterth.com/what-is-push-notification-service/ Mon, 22 Jan 2024 13:09:13 +0000 https://seomasterth.com/?p=28057 ทุกวันนี้การใช้งานอินเทอร์เน็ตสามารถเข้าถึงได้จากหลายอุปกรณ์ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ มือถือ แท็บเล็ต ซึ่งเคยสังเกตหรือไม่ เวลาคุณเปิดเข้าใช้งานแอปหรือเว็บไซต์ต่าง ๆ บ่อยครั้งมักมี Pop-Up โฆษณาเกิดขึ้น นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นอีกกลยุทธ์ทางเทคนิคที่เรียกว่า “Push Notification” หรือการแจ้งเตือนแบบพุช หากใครสงสัยว่า Push Notification คืออะไร มีความสำคัญต่อการทำธุรกิจมากน้อยแค่ไหน มาค้นหาข้อมูลทั้งหมดเพื่อนำไปปรับใช้กับแอปหรือเว็บของตนเองได้เลย

Push Notification คืออะไร

Push Notification คือ บริการแจ้งเตือนแบบพุช ซึ่งเป็นอีกเทคโนโลยีใหม่ในการนำมาใช้งานบนแอปพลิเคชัน เว็บไซต์จำนวนมาก รวมถึงอีเมล SMS (แต่ส่วนใหญ่การแจ้งเตือนลักษณะนี้มักนิยมใช้กับแอป Social Media และ SMS มากที่สุด) หลักการสำคัญเมื่อตั้งค่าดังกล่าวแล้วเวลามีใครเปิดแอปเข้ามาก็จะพบกับ Pop-Up แจ้งเตือนก่อนเข้าสู่หน้าหลักของแอปนั้น ๆ โดยข้อความหรือโฆษณาที่เกิดขึ้นเกิดจากเซิร์ฟเวอร์ส่งสัญญาณสื่อสารไปยังตัวแอป ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานเกิดความสนใจกับสิ่งที่ถูกระบุไว้บน Pop-Up มากขึ้น

ทั้งนี้การแสดงข้อความ Push Notification ผ่านแอปจะขึ้นอยู่กับระบบการทำงานของมือถือบนแอปพลิเคชันที่คุณใช้งาน ซึ่งปัจจุบันที่ได้รับความนิยมคือ iOS และ Android ซึ่งส่วนมากข้อความที่มักถูกใช้กับบริการแจ้งเตือนแบบพุชมักเป็นกลุ่มการนำเสนอโปรโมชั่น ส่วนลด แคมเปญใหม่ล่าสุด หรือข่าวสารสำคัญที่ต้องการส่งต่อให้กับผู้ใช้หรือลูกค้าได้รับรู้

ประโยชน์สำคัญของการใช้งาน Push Notification

อย่างที่เกริ่นเอาไว้ว่าปัจจุบันธุรกิจจำนวนมากที่มีแอปพลิเคชันเป็นของตนเองมักเลือก Push Notification ส่งต่อข้อมูลต่าง ๆ ไปยังผู้ใช้งาน ซึ่งประโยชน์ของบริการแจ้งเตือนแบบพุชนั้นก็มีด้วยกันอยู่หลายข้อทีเดียว ลองมาไล่เรียงกันได้เลย

1. เพิ่มเติมการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งาน

เป็นเรื่องปกติเมื่อมีสิ่งแปลกใหม่เกิดขึ้นบนหน้าจอมือถือเมื่อเปิดแอปใด ๆ ก็ตาม ผู้ใช้งานย่อมเกิดความสนใจและอยากมีส่วนร่วมมากขึ้น อย่างน้อยที่สุดคือการคลิกเข้าไปชมว่ามีข้อเสนอ ส่วนลด โปรโมชั่น หรือข่าวสารข้อมูลสำคัญอะไรแจ้งเตือนบ้างหรือไม่ เพื่อให้ตนเองไม่พลาดรายละเอียดสำคัญ

2. เพิ่มยอดขายในการทำธุรกิจ

ในกรณีที่คุณทำ Push Notification โดยใช้การนำเสนอโปรโมชั่น ส่วนลด หรือแคมเปญพิเศษต่าง ๆ โอกาสในการเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจย่อมมีสูงขึ้นตามไปด้วย เพราะปกติคนที่ดาวน์โหลดแอปมาใช้งานส่วนมากมักเป็นลูกค้าเดิมอยู่แล้ว การกระตุ้นพวกเขาด้วยกลยุทธ์นี้จึงเป็นอีกเทคนิคน่าสนใจ มีการใช้งานกันอยู่บ่อยครั้งในช่วงที่ธุรกิจต้องการเพิ่มยอดขาย หรือในกรณีมีของเหลือสต็อกที่ต้องการขายออกแล้วนำของล็อตใหม่ คอลเล็คชั่นใหม่เข้ามาแทนที่

3. สร้างความประทับใจให้กับผู้ใช้

การที่ผู้ใช้ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารอัปเดตใหม่ล่าสุด หรือการได้ใช้โปรโมชั่น แคมเปญต่าง ๆ ที่ธุรกิจนำเสนอออกไป การแจ้งเตือนความทรงจำ เช่น เช็กอินเที่ยวบิน การเข้าตรวจรักษา ย่อมสร้างความประทับใจให้กับพวกเขาได้มากขึ้นแบบไม่ต้องสงสัย เป็นการเสริมภาพลักษณ์ที่ดี และยังมีโอกาสเกิดการบอกต่อไปยังคนใกล้เคียงให้หันมาใช้งานมากขึ้น สร้างกลยุทธ์ทางการตลาดชั้นยอดที่ไม่ว่าใครก็อยากให้เกิดขึ้นกับธุรกิจของตนเอง

4. รักษาฐานลูกค้าเดิมให้คงอยู่

ตามที่บอกเอาไว้ว่าส่วนมากลูกค้าที่ดาวน์โหลดแอปหรือใช้งานแอปของธุรกิจประจำ นั่นคือกลุ่มลูกค้าชั้นยอดที่ควรเก็บรักษาเอาไว้ การแจ้งเตือน บอกต่อเรื่องต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ มักทำให้พวกเขารู้สึกดี ช่วยรักษาฐานลูกค้าเหล่านี้ให้คงอยู่พร้อมสร้าง Brand Loyalty ในแบบที่หลายคนคาดไม่ถึงจากการเลือกนำเทคนิคเล็ก ๆ เข้ามาเพิ่มความแตกต่างจากคู่แข่ง

5. ส่งผลดีต่อ SEO

แน่นอนว่าจากประโยชน์ของ Web Push Notification ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเรื่อง Progressive Web App ทั้งหมดย่อมส่งผลต่อการทำ SEO อย่างแน่นอน เพราะจะเพิ่ม Organic Traffic และ Return Visitor ได้

ประเภทของการแจ้งเตือนแบบ Push Notification

1. A2P (Application to People)

เป็นรูปแบบของการแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันไปยังบุคคล หรือผู้ใช้แต่ละราย เช่น การแจ้งเตือนข่าวสารข้อมูลทั่วไป การออกแคมเปญทางการตลาด การส่งแจ้งเตือนทำธุรกรรม เป็นต้น

2. P2P (People to People)

เป็นรูปแบบ Push Notification ลักษณะของบุคคลส่งต่อไปยังบุคคล เพื่อให้ผู้รับได้เข้าใจถึงสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ส่วนใหญ่มักเป็นลักษณะของแชทบน Social Media การอัปเดตตำแหน่ง เป็นต้น

ตัวอย่างการแจ้งเตือนแบบ Push Notification ที่ได้รับความนิยม

  • แจ้งเตือนบน Social Media ส่วนใหญ่มักเป็นการแจ้งเตือนเกี่ยวกับกิจกรรมที่เกิดขึ้นบนสังคมออนไลน์ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับเจ้าของบัญชีใช้งาน เช่น แจ้งเตือนการกดไลค์ คอมเมนต์ การแชร์ แจ้งเตือนวันเกิด แจ้งเตือนการถ่ายทอดสด เป็นต้น
  • การสร้างแคมเปญทางการตลาด ไม่ว่าจะเป็นโปรโมชั่น ส่วนลด แจ้งข่าวสารข้อมูล ฯลฯ มีทั้งการแจ้งบนแอป เว็บไซต์ อีเมล รวมถึง SMS ก็ได้เช่นกัน
  • แจ้งเตือนการทำธุรกรรม เป็นการบ่งบอกถึงความปลอดภัยในระหว่างที่มีธุรกรรมทางการเงินของคุณเกิดขึ้น เช่น แจ้งยอดเงินเข้า-ออก แจ้งมีการใช้งานบัตรเครดิต
  • แจ้งรหัสผ่านแบบครั้งเดียว หรือ OTP มีทั้งการแจ้งบนแอป อีเมล แต่ส่วนใหญ่มักนิยมใช้กับการแจ้งเตือนบน SMS
  • แจ้งเตือนเพื่อย้ำเตือนความจำ ป้องกันการลืมของลูกค้า เช่น วันนัดหมายเข้าตรวจรักษา ข้อมูลการจัดส่งสินค้า ข้อมูลการเช็กอินเที่ยวบิน เป็นต้น

สรุป

Push Notification หรือ บริการแจ้งเตือนแบบพุช เป็นอีกกลยุทธ์ที่ธุรกิจจำนวนมากเลือกใช้งานไม่ว่าจะเป็นดำเนินการผ่านแอปพลิเคชัน เว็บไซต์ อีเมล ไปจนถึงการส่ง SMS เพื่อสร้างความน่าประทับใจให้กับลูกค้า สามารถเพิ่มยอดขาย และสร้าง Brand Loyalty ได้เป็นอย่างดี ลองนำไปปรับใช้กับธุรกิจของตนเองกันเลย ผลลัพธ์น่าพึงพอใจแน่นอน

]]>
Responsive Web Design คืออะไร สิ่งที่คนทำเว็บควรให้ความสำคัญ https://seomasterth.com/responsive-web-design-%e0%b8%84%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b0%e0%b9%84%e0%b8%a3/ Sat, 13 Jan 2024 13:16:04 +0000 https://seomasterth.com/?p=27943 โลกออนไลน์ปัจจุบันไม่ได้จำกัดอยู่แค่คอมพิวเตอร์ แต่มีอุปกรณ์อย่างมือถือที่เข้ามามีบทบาทและได้รับความนิยมสูง เรียกว่าแทบทุกคนบนโลกใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือคงไม่ใช่เรื่องผิดนัก นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้คนทำเว็บไซต์จำเป็นต้องพัฒนาเว็บของตนเองให้รองรับกับการใช้งานในหลายรูปแบบ Responsive Web Design จึงเกิดขึ้น คำถามที่น่าสนใจย่อมหนีไม่พ้น Responsive Web Design คืออะไร ทำไมคนทำเว็บหรือธุรกิจที่จะสร้างเว็บไซต์ต้องให้ความสำคัญ มาหาคำตอบกันเลย

Responsive Web Design คืออะไร

Responsive Web Design คือ การสร้างหรือการเขียนเว็บไซต์โดยมีการกำหนด HTML พร้อมกับการใช้ CSS สำหรับควบคุมการแสดงผลผ่านหน้าจอให้ผู้ใช้งานสามารถรับชมเว็บไซต์ของคุณได้ผ่านอุปกรณ์ที่หลากหลาย ทั้งคอมพิวเตอร์ มือถือ แท็บเล็ต แล็บท็อป หรือแม้แต่สมาร์ตทีวี เพิ่มเติมความชัดเจน ดูง่าย รองรับกับทุกพฤติกรรมการใช้งานอุปกรณ์

หากย้อนกลับไปในยุคก่อนสมัยอินเทอร์เน็ตและเว็บไซต์เกิดขึ้นใหม่ ๆ คนที่จะดูเว็บได้ต้องเปิดผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือ Desktop เพียงอย่างเดียว แต่เมื่อโลกพัฒนาขึ้นมีการผลิตอุปกรณ์ที่สามารถท่องอินเทอร์เน็ตได้ การทำเว็บไซต์จึงต้องใช้ฟังก์ชันที่พัฒนาตามด้วยเช่นกัน

หลักการทำงานเบื้องต้นของ Responsive Web Design

การทำงานของ Responsive Web Design จะอาศัยตัวแปรสำคัญ 3 อย่าง ประกอบไปด้วย HTML, CS33 และ JavaScript เพื่อให้ตัวเว็บสามารถปรับขนาดและดีไซน์ของตนเองเข้ากับอุปกรณ์ที่เปิดเข้ามารับชม ซึ่ง URL ที่ใช้ยังคงเป็นตัวเดียวกันทั้งหมด ไม่มีการแยกเวอร์ชันเหมือนอดีต รวมถึงยังมีการเพิ่มเติมฟังก์ชันหลักที่น่าสนใจ 3 ประเภท ดังนี้

1. Fluid Grid

การออกแบบ Grid (องค์ประกอบบนหน้าเว็บไซต์) ให้สัมพันธ์กับทุกอุปกรณ์ ไม่มีการแยกเวอร์ชันให้ยุ่งยาก เช่น การกำหนดขนาดความกว้างของหน้าเว็บด้วยเปอร์เซ็นต์ การใช้ฟอนต์ตัวอักษรด้วยหน่วย em เป็นต้น

2. Flexible Images

การทำ Responsive Images กำหนดขนาดรูปภาพให้สอดคล้องกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เข้ามารับชมเนื้อหาบนเว็บไซต์ เช่น รูปภาพที่ใช้มีขนาดใหญ่มาก แต่เมื่อผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์กดเข้ามาบนหน้าเว็บผ่านมือถือ รูปภาพดังกล่าวก็จะปรับขนาดตัวเองให้เล็กลงเหมาะกับการแสดงภาพด้วยความสวยงาม พูดง่าย ๆ คือ ภาพมีความยืดหยุ่นนั่นเอง

3. CSS3 Media Queries

2024 การทำเว็บไซต์แบบ Responsive Web Design นั้นถือว่าเป็นเรื่องปกติที่ต้องทำ Bootstrap เป็น CSS เฟรมเวิร์คที่ได้รับความยอดนิยมสูงสุดในโลก เป็นการกำหนดรูปแบบของ Style Sheets ให้เหมาะกับอุปกรณ์ทุกประเภท โดยทั่วไปคนทำเว็บจะมีการทำ Style Sheets ไว้เบื้องต้นโดยไม่ได้กำหนดว่าต้องใช้กับอุปกรณ์ประเภทไหน แต่เมื่อใช้ Responsive Web Design ส่งผลให้การระบุ Style Sheets ต้องเขียนเพื่อให้อุปกรณ์ที่มีขนาดเล็กสุดใช้งานได้ จากนั้นจึงค่อยเพิ่มระดับไปจนถึงหน้าจอขนาดใหญ่สุด จุดประสงค์สำคัญเพื่อลดความยุ่งยากในการแก้ไขโค้ดภายหลัง

โดยสรุปแล้วหลักการทำงานของ Responsive Web Design จะใช้รูปแบบทางเทคนิคเพื่อทำให้อุปกรณ์ทุกประเภทสามารถรับชมหน้าเว็บไซต์ได้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องปรับขยายหรือลดเนื้อหาต่าง ๆ ให้ยุ่งยาก สร้างความเป็นมืออาชีพมากขึ้น

ขอบคุณภาพประกอบจาก plerdy.com

ความสำคัญของ Responsive Web Design

1. ลดความยุ่งยากในการทำเว็บ

เมื่อคุณเลือกใช้งาน Responsive Web Design จะช่วยลดความยุ่งยากต่อการทำเว็บในหลาย ๆ เรื่อง โดยเฉพาะไม่จำเป็นต้องเขียน HTML แยกหลายชุด สามารถใช้ URL ตัวเดียวเพื่อแก้ไข ปรับปรุง อัปเดต และพัฒนาเว็บให้ตรงตามคอนเซปต์ที่ต้องการได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว

2. รองรับการใช้งานได้กับทุกอุปกรณ์

หลายปีที่ผ่านมาทุกคนที่ทำการตลาดออนไลน์หรือธุรกิจออนไลน์คงคุ้นเคยกับคำว่า Mobile Friendly หมายถึง การทำเว็บให้ตอบโจทย์กับการใช้งานมือถือ เมื่อนำเอาเทคนิคนี้เข้ามาสร้างเว็บไซต์นั่นเท่ากับไม่ว่าผู้เยี่ยมชมจะใช้อุปกรณ์ประเภทใดก็สามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดาย สะดวก ชัดเจน หรือจะเรียกโดยรวมว่า User Friendly ก็ได้เช่นกัน

3. ตอบโจทย์กับการทำ SEO

กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ของทุกธุรกิจที่อยากให้คนคลิกเข้ามาบนหน้าเว็บไซต์เยอะ ๆ หนีไม่พ้นการทำ SEO ซึ่ง Google จะมีหลักการคิดคะแนนหลากหลาย หนึ่งในนั้นคือ User Friendly รองรับกับทุกอุปกรณ์ คนเข้ามาอยู่บนเว็บนานขึ้น คะแนนก็เพิ่มขึ้น

4. โอกาสเพิ่มยอดขาย

ลูกค้าไม่จำเป็นต้องรอเปิดในคอมพิวเตอร์ หรือดาวน์โหลดแอปพลิเคชันใด ๆ ให้ยุ่งยาก เมื่อคลิกเข้ามาบนหน้าเว็บไซต์ผ่านอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น มือถือ แท็บเล็ต ก็สามารถซื้อสินค้า / บริการของคุณได้ทันที สร้างโอกาสในการเพิ่มยอดขายให้มากขึ้นกว่าเดิม

สิ่งที่ต้องระวังในการทำ Responsive Web Design

แม้ Responsive Web Design จะเป็นสิ่งที่ทุกคนควรทำเพื่อให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพ แต่ก็มีบางเรื่องที่ต้องระวังให้ดี ลดความเสี่ยงต่อข้อผิดพลาด และยังอาจเสียภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้อีกด้วย

  • มีการทดสอบกับทุกทางเข้าอุปกรณ์ทุกครั้งก่อนขึ้นออนไลน์ เพื่อตรวจสอบว่าทุกเนื้อหาสามารถแสดงผลได้อย่างดีเยี่ยม ไม่มีข้อผิดพลาดใด ๆ
  • การจัดเรียงเนื้อหาและข้อมูลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นบทความ รูปภาพ กราฟิก วิดีโอ ต้องกำลังพอดีไม่สั้นหรือยาวมากเกินไป เพราะอย่าลืมว่าเวลาดูในมือถือที่มีขนาดเล็ก หากบทความยาวไม่มีการเว้นวรรคก็มักสร้างความน่าปวดหัวได้เช่นกัน
  • มีการกำหนดส่วนแสดงผลและส่วนที่ซ่อนเอาไว้ให้ชัดเจนในแต่ละแพลตฟอร์ม เพื่อความสะดวกต่อการเข้าชม
  • Hamburgur menu ที่มักชอบมีปัญหากับ iOS เวอร์ชั่นใหม่

สรุป

Responsive Web Design สิ่งที่คนทำเว็บไซต์ต้องให้ความสำคัญอย่างมาก เพราะเป็นปัจจัยสำคัญในการปรับหน้าเว็บให้เหมาะกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ของผู้เยี่ยมชมที่กดเข้ามา หากเว็บคุณดีภาพลักษณ์ย่อมเพิ่มเป็นเชิงบวก และยังสร้างโอกาสชั้นยอดต่อการทำ SEO และยอดขายที่จะเกิดขึ้นอีกด้วย อย่ามองข้ามเรื่องนี้เป็นอันขาด

]]>
Scrum คืออะไร อีกแนวคิดการทำงานน่าสนใจที่มาควบคู่กับ Agile https://seomasterth.com/what-is-scrum/ Wed, 10 Jan 2024 13:54:01 +0000 https://seomasterth.com/?p=27770 ด้วยวิทยาการและความรู้ต่าง ๆ ที่เพิ่มมากขึ้นของคนยุคใหม่ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่แนวคิดอันน่าสนใจมักถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นแนวทางการใช้ชีวิตทุกด้านเพิ่มโอกาสแห่งความสำเร็จ รวมถึงยังช่วยพัฒนาศักยภาพให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่คาดหวัง แนวคิดที่เรียกว่า “Scrum” หรือ “Scrum Framework” ก็จัดเป็นอีกทฤษฎีที่มีถูกพูดถึงเยอะมาก โดยเฉพาะการอยู่คู่กับแนวคิด Agile ซึ่งใครที่สงสัย Scrum คืออะไร นำมาปรับใช้กับการทำงานได้มากน้อยแค่ไหน มีคำตอบมาบอกเล่ากันแล้ว

Scrum คืออะไร

Scrum คือ ลักษณะการทำงานอีกรูปแบบหนึ่งที่มีการแบ่งลำดับออกเป็นขั้นตอนย่อย ๆ เพื่อให้สามารถระบุปัญหาที่ซับซ้อนได้ง่ายขึ้น งานแต่ละสเต็ปจะถูกตรวจทานอย่างละเอียดจากหัวหน้าหรือลูกค้า หากยังต้องปรับปรุงแก้ไขก็สามารถดำเนินการได้ทันทีแบบไม่ต้องรอให้จบทั้งโปรเจกต์แล้วต้องมารื้อแก้ไขจนวุ่นวาย ตอบโจทย์รูปแบบการทำงานเป็นทีมและการทำงานที่มีความยืดหยุ่นสูงในโลกยุคใหม่

มากไปกว่านั้นการทำงานรูปแบบ Scrum Framework ยังมีประสิทธิภาพด้านการประเมินผลลัพธ์ของผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็นไปตามจุดประสงค์ที่คาดหวังมากน้อยเพียงใด หากยังไม่ใช่สิ่งที่ต้องการก็รีบแก้ไขได้แบบทันท่วงที สร้างมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ดังกล่าวทั้งในด้านราคา ภาพลักษณ์ และความน่าเชื่อถือ เพราะเมื่อลูกค้าพึงพอใจก็ยินดีจ่ายแบบไม่ลังเล และโดยสรุปแนวคิดแบบ Scrum ก็เป็นอีกรูปแบบการทำงานของ Agile ด้วยนั่นเอง

ความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่าง Scrum กับ Agile

อย่างไรก็ตามเชื่อว่ายังมีหลายคนเกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับแนวคิดการทำงานระหว่าง Scrum กับ Agile ต้องขออธิบายแบบนี้ว่ากรณีของ Agile จะเป็นแนวคิดที่สามารถนำไปประยุกต์กับการทำงานได้หลายลักษณะ เช่น งานด้านเอกสาร วางแผนการตลาด บริหารทรัพยากรบุคคล และพยายามตัดทอนบางสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป แต่สำหรับ Scrum หมายถึงแนวคิดที่เน้นการทำงานด้านพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ตามเป้าหมายที่วางแผนเอาไว้ด้วยการแบ่งขั้นตอนย่อย ๆ ชัดเจน มีการวัดผลลัพธ์และแก้ไขปัญหาอยู่ตลอด โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องหรือต้องใช้ Software พัฒนาประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม Scrum ก็มีพื้นฐานที่แตกย่อยออกมาจาก Agile

หน้าที่ของทีมงานเมื่อเลือกทำ Scrum

1. Product Owner

ทำหน้าที่เสมือนเป็นตัวแทนจากลูกค้าเพื่อประเมินภาพรวมต่าง ๆ ของงานที่ออกมา รวมถึงยังต้องคอยจัดลำดับหน้าที่ของทีมให้แต่ละคนทำงานตามความสำคัญอย่างเหมาะสม สิ่งสำคัญของตำแหน่งนี้ต้องมีความรู้ ความเช้าใจเกี่ยวกับลักษณะธุรกิจ และจุดประสงค์ของลูกค้า จะเรียกเป็นคนคอยควบคุมภาพรวมก็ไม่ผิดนัก

2. Scrum Master

ทำหน้าที่ประสานงานในส่วนต่าง ๆ ให้สามารถเดินต่อได้อย่างลื่นไหล คอยจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงปัญหาใหญ่ ความหมายโดยรวมอาจไม่เชิงกับการเรียกเต็มปากว่าผู้นำ แต่การทำให้ทุกความยุ่งยากซับซ้อนง่ายดายขึ้น หาทางออกของปัญหาเจอพร้อมเดินหน้าต่อแบบมีทิศทาง ติดตามผลลัพธ์อย่างสม่ำเสมอ กลายเป็นอีกหัวใจหลักที่สร้างความสำเร็จได้จริง

3. Development Team

ทีมงานประมาณ 3-9 คน ผู้มีหน้าที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงตามจุดประสงค์และข้อกำหนดที่ระบุเอาไว้ ซึ่งถ้าแยกย่อยออกไปก็จะมีตำแหน่งต่าง ๆ เพื่อแบ่งความรับผิดชอบอยู่อีก เช่น Designer, Programmer, UI/UX, Tester ไปจนถึงการแบ่งหน้าที่ตามลักษณะโปรเจกต์งานที่ได้รับ

Scrum Artifacts คืออะไร

Scrum Artifacts คือ เครื่องมือสำคัญสำหรับใช้เพื่อแก้ไขปัญหาพร้อมจัดการกับกระบวนการต่าง ๆ ในด้านการทำงานเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะการเผยผลลัพธ์จากโปรเจกต์ที่ถูกพัฒนาขึ้น แบ่งออกได้ 3 ขั้นตอน ดังนี้

1. Product Backlog

Product Backlog คือ รายการจำนวนงานทั้งหมดที่นำมาใช้สำหรับพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งหน้าที่นี้ต้องทำโดย Product Owner พยายามเรียงลำดับความสำคัญเพื่อกระจายสู่คนอื่นในทีมให้ชัดเจน เช่น การกำหนดรายละเอียดของงานแต่ละตำแหน่ง หลักการสำหรับใช้ทดสอบผลลัพธ์ วางแผนและประเมินปัญหาอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้น รวมคอมเมนต์ ฟีดแบ็คจากลูกค้า เป็นต้น

2. Sprint Backlog

Sprint Backlog คือ รายการงานที่ถูกเลือกมาจาก Product Backlog สำหรับใช้ทำในแต่ละ Sprint ส่วนนี้เป็นหน้าที่รับผิดชอบของ Development Team จะต้องค้นหา รวบรวมข้อมูลทั้งหมดสำหรับอัปเดตขั้นตอนต่าง ๆ ของงานที่ทำ เช่น สิ่งใดกำลังทำ สิ่งไหนกำลังจะทำ และสิ่งไหนทำเสร็จเรียบร้อย ปัจจัยสำคัญของขั้นตอนนี้ทุกคนในทีมต้องเข้าถึงและตรวจสอบได้ตลอด

3. Increment หรือ Sprint Goal

เป็นผลงานที่มาจาก Product Backlog หากผลลัพธ์สมบูรณ์แบบก็จะเรียก Increment สามารถนำออกสู่ตลาด หรือใช้งานได้จริง ทุกอย่างเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้

ข้อดีของการทำ Scrum กับโปรเจกต์ต่าง ๆ

  • ปัญหาของงานจะถูกแสดงออกมาอย่างชัดเจนในแต่ละขั้นตอน จึงสามารถสร้างผลิตภัณฑ์อันสมบูรณ์แบบได้ตามจุดประสงค์ที่คาดหวัง
  • ลดความยุ่งยากในการแก้ไขปัญหาที่มีความซับซ้อนเมื่อผลลัพธ์เสร็จออกมาแล้วแต่ไม่สมบูรณ์แบบมากพอ
  • มีความยืดหยุ่นสูงมาก เหมาะกับการทำงานเป็นทีม ซึ่งองค์กรยุคใหม่จำนวนมากชื่นชอบ
  • ประหยัดต้นทุนการผลิตเมื่อต้องปล่อยสู่ตลาดหรือใช้งานจริง เพราะไม่มีข้อผิดพลาดให้ต้องเปลี่ยนแม่แบบใหม่

สรุป

Scrum เป็นลักษณะของการแบ่งงานออกทีละขั้นตอนอย่างละเอียดเพื่อให้ทุกคนมองเห็นปัญหาของงานได้ชัดเจน สามารถปรับปรุง แก้ไข พัฒนาให้เกิดผลลัพธ์อันน่าพึงพอใจสูงสุดเพื่อการนำไปใช้จริง หรือส่งต่อถึงลูกค้าภายใต้ความสมบูรณ์แบบ เหมาะกับคนที่ทำงานเป็นทีม มีความยืดหยุ่นสูง และยังช่วยเสริมภาพลักษณ์ของธุรกิจให้อยู่ในทิศทางเชิงบวกอีกด้วย

]]>
วิธีทำ SEO ให้ติดหน้าแรก Google ปี 2024 สอนฟรีฉบับเต็มทำเองได้ https://seomasterth.com/how-to-do-seo/ Tue, 02 Jan 2024 19:26:49 +0000 https://seomasterth.com/?p=26740 สอนทำ SEO ฟรี ปี 2024 เรียนทำ SEO ทาง Google จะนำเทคโนโลยี AI, machine learning มาช่วย Search engines ให้ฉลาดยิ่งขึ้น เพื่อแสดงผล SERP ให้ตรงความต้องการของ User Intent เราต้องทำ Content ให้มีคุณภาพ ตอบโจทย์ผู้ใช้ค้นหา ใช้ภาษาที่ถูกต้อง User Experience (UX) เข้ามาเป็นหนึ่งปัจจัยใน ranking factor  ความเร็วเว็บไซต์ รองรับมือถือ ซึ่งในบทความนี้ เราจะเจาะลึกวิธีทำ SEO ให้ตอบโจทย์ Google SEO Algortithm 2024

SEO คืออะไร?

ก่อนจะไปรู้กันว่า SEO ทำอย่างไร มาปูพื้นฐาน (SEO Basic) กันก่อนว่า SEO คืออะไร?

SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization คือ การปรับปรุงเว็บไซต์ตามหลักสูตร เพื่อทำให้เว็บไซต์ติดอันดับใน Google เช่น ชื่อโดเมน การใช้ HTML Tag ทั้ง Heading, ahref, image, URL ทำคอนเทนต์ตามหลัก SEO On-Page โครงสร้างเว็บไซต์ เมนู แท็ก Social Profile การปรับแต่งความเร็วเว็บไซต์ ในส่วน SEO Off-Page เช่น การทำ Backlink การทำ Local SEO เช่น Google My Business

>> อ่านเพิ่มเติมว่า SEO คืออะไร

คำศัพท์ SEO ที่สำคัญ มีอะไรบ้าง?

มีคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับ SEO ที่มักเจอบ่อย เราควรศึกษา ให้มีความรู้ความเข้าใจก่อน

>> อ่านเพิ่มเติมว่า คำศัพท์ SEO

วิธีทํา SEO มีอะไรบ้าง อัปเดต 2024

เรารวบรวม ขั้นตอนและวิธีทำ SEO อย่างละเอียด อัพเดต 2024 สอนทำ SEO ฟรี แบบ Step by Step ขั้นตอนทั้งหมด SEO Fundamentals หรือ เรียนทำ SEO ด้วยหลักการพื้นฐานการทำ SEO มีอะไรบ้าง SEO How To มือใหม่ทำเอสอีโอ แบ่งเป็น 10 บทเรียน ดังนี้ครับ

1. วางแผนวิเคราะห์คีย์เวิร์ด (Keyword Research)

บทเรียนแรก สอนทำ SEO การทำ Keyword Research คือการสืบค้นว่ากลุ่มเป้าหมายของเราใช้คำหลัก (Keyword) อะไรในการค้นหา และคำเหล่านั้นมีปริมาณการค้นหา (Search Volume) เป็นจำนวนเท่าไร เป็นกลยุทธ์ขั้นตอนที่สำคัญ เพื่อจะได้นำมาวางแผนสร้างคอนเทนต์ที่ลูกค้าจะค้นเจอในหน้า Google ได้มากที่สุด และยังใช้ติดตามผล วัดผลลัพธ์ได้ด้วย

Keyword สำหรับการทำ SEO นั้น โดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

  • Head Keyword หรือ Seed Keyword มักเรียกกันว่า คีย์เวิร์ดหลัก (Main Keywords) โดยจะเป็นคำกว้างๆ หรือคำโดดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจต่างๆ สินค้า บริการ เช่น SEO, SEM, Agency, Marketing, รับทำเว็บไซต์, เอเจนซี่, การตลาด,  เป็นต้น
  • Niche Keyword : คือ Head Keyword ที่เพิ่มคำที่เฉพาะเจาะจงเข้าไป เช่น SEO คืออะไร, SEM คืออะไร, รับทำเว็บไซต์ WordPress
  • Long Tail Keyword  : วลีหรือประโยคยาว ๆ มีปริมาณการค้นหาต่ำ แต่ Conversion สูง แสดงรายละเอียดเฉพาะเจาะจงและสะท้อนสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการได้ดีที่สุด เช่น บริษัทรับทำเว็บไซต์ ลาดพร้าว 101, รับทำเว็บไซต์ WordPress ราคาถูก, รับทำ seo ประเทศไทย, ทำ seo กรุงเทพ,

โดยหลักการเลือก Keyword ทำ SEO ควรเลือกคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในเว็บไซต์ คำมีศักยภาพในการเอาชนะคู่แข่ง และสามารถทำให้เว็บไซต์ ติดอันดับได้ ควรเลือกคำหลักที่มี Search Volume ปริมาณสูง และคำรองต่างๆจะลดหลั่นกันลงมา ต้องมีวินัยกับความอดทน ในการจัดทำ SEO จนติดหน้าแรก Google และมีอันดับ Ranking ได้ในที่สุด

โดยการทำ Keyword Research โดยเครื่องมือ (SEO Tool) สำคัญมากๆ จะทำให้เราเห็นแนวโน้มของเว็บไซต์ การวิเคราะห์ Keyword ยังช่วยในการปรับปรุง SEO ด้านอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการปรับแต่ง On-Page SEO, การวางโครงสร้างเว็บไซต์ (Site Structure), การใช้ Backlink เป็นต้น

>> อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Keyword Research

สำหรับโปรแกรมทำ Keyword Research ที่เราอยากแนะนำ จะมีอยู่หลายโปรแกรมด้วยกัน มีทั้งเครื่องมือฟรีและเสียเงินรายเดือน ซึ่งเรามีสอนใช้เครื่องมือ SEO เช่น ahrefs, SEMRush, Google Keyword Planner

>> อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ 10 โปรแกรมทำ Keyword Research

2. ออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ (Site Structure)

บทเรียนที่สอง สอนทำ SEO เกี่ยวกับ Site Structure คือ โครงสร้างเว็บไซต์ที่ประกอบไปด้วย Header , Content และ Footer เป็นการจัดระเบียบนำเสนอให้รู้ว่าเว็บเรา มีเนื้อหาหลักอะไรบ้าง เมนูมีหมวดหมู่ใดบ้าง วางแผน Keyword กับหน้าเพจให้สอดคล้องกัน ลึกที่สุดจากหน้าแรกไม่ควรเกิน 4 ชั้น

ถ้าออกแบบ Site Structure ได้ดีและเป็นระบบ ก็จะช่วยให้อัลกอริทึมของ Google เข้าใจและหาสิ่งต่าง ๆ ภายในเว็บฯ เจอได้เร็ว ผู้เข้าชมเว็บไซต์ ได้รับประสบการณ์ที่ดี รวมถึงทำให้อันดับ SEO ในหน้าค้นหาดีขึ้นด้วย

โดยโครงสร้างเว็บไซต์ (Site Structure) แบ่งเป็น 5 รูปแบบ ตามการจัดรูปแบบของเนื้อหา

  • โครงสร้างแบบเส้นตรง (Linear Structure) โครงสร้างเว็บไซต์ที่นำเสนอเนื้อหาตามลำดับ
  • โครงสร้างแบบต้นไม้ (Hierarchical Structure) โครงสร้างเว็บไซต์คล้ายแผนผังต้นไม้ มีการจัดแบ่งหน้าต่าง ๆ เป็นหมวดหมู่ เริ่มจากหน้าแรกที่อยู่ด้านบนสุด ไล่หน้ารองหรือย่อยลงมาเรื่อย ๆ
  • โครงสร้างแบบอิสระ (Web Linked Structure) โครงสร้างเว็บไซต์รูปแบบไม่ตายตัว แค่มีหลักการว่าทุกหน้าเว็บฯ ต้องเชื่อมโยงถึงกัน
  • โครงสร้างเว็บไซต์แบบฐานข้อมูล (Database Structure) โครงสร้างเว็บไซต์ตรงข้ามกับรูปแบบแผนผังต้นไม้ เพียงแต่เรียงจากล่างขึ้นบน

โครงสร้างแบบผสม (Hybrid Structure) โครงสร้างเว็บไซต์รูปแบบผสมระหว่างโครงสร้างแบบต้นไม้ (Hierarchy Structure) กับโครงสร้างรูปแบบอื่น ๆ เข้าด้วยกัน

Site Structure ก็เหมือนเป็น Fundamental หรือ หลักการที่ใช้ทำโครงสร้างเว็บไซต์ เว็บสำเร็จรูปอย่าง WordPress ใน Theme ต่างๆก็มีโครงสร้างเว็บไซต์ตั้งต้นมาให้เราแล้ว เพียงเราวางแผน วิเคราะห์ ว่าเว็บไซต์เราจะมี หมวดหมู่อะไรบ้าง หน้าเพจ อะไรบ้าง จัดกรุ๊ปต่างๆให้ถูกต้อง

>> อ่านรายละเอียด Site Structureเพิ่มเติม

3. ปรับแต่งหน้าเว็บไซต์ (On-Page SEO)

บทเรียนสาม สอนทำ SEO เกี่ยวกับเรื่อง On-Page SEO คือการปรับแต่ง แก้ไข และจัดการเว็บไซต์เพื่อให้ได้ตามมาตรฐานที่กำหนด รวมถึงเพื่อช่วยให้ Google Bot ทำความเข้าใจเนื้อหาภายในเว็บไซต์ของเราได้ดีขึ้นด้วย จึงต้องพอเข้าใจภาษา HTML เบื้องต้น โดยหลัก ๆ ที่เราอยากแนะนำ ก็คือการปรับแต่ง URL , บทความ และความเร็วในเว็บไซต์

ปรับแต่ง URL (Friendly URL)

  • ตั้งชื่อ URL ด้วยคีย์เวิร์ด : ช่วยให้เว็บไซต์ถูกค้นพบได้ง่ายขึ้น เช่น /how-to-do-seo ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายว่าหน้านี้จะให้ข้อมูลเรื่องอะไร และเพื่อให้ รวมถึง Google Bot จะเรียนรู้ได้ง่ายเช่นกัน
  • ตั้งชื่อ URL สั้น กระชับ เข้าใจง่าย : เพื่อให้ผู้ใช้เข้าใจได้ทันทีว่ากำลังเข้าชมเว็บฯ ของใคร/สินค้าอะไร เป็นการเพิ่ม Traffic ที่ทำให้อันดับ SEO ดีขึ้นอีกทางหนึ่ง (โดยทั่วไปห้ามเกิน 255 ตัวอักษร)
  • ตั้งชื่อ URL โดยระบุคำที่เป็นข้อมูลของสินค้าหรือบริการ  เช่น /ยี่ห้อ-รุ่น เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น และสะดวกต่อ Google Bot ในการเข้ามาเก็บข้อมูล
  • ตั้งชื่อ URL ให้มีเลขปีต่อท้ายในบางธุรกิจ เช่น /review-…-2024 เพื่อบอกบริการถึงปีไหน เนื่องจาก เลขปี ถือเป็น keyword ที่ผู้คนมักใช้ค้นหา

ปรับแต่ง Content ในเว็บไซต์

  • ใส่คีย์เวิร์ดใน Title Tag และวางคีย์เวิร์ดไว้ในคำแรก ๆ ของชื่อเรื่อง
  • ใส่คีย์เวิร์ดในช่วง 1–150 คำแรกของคอนเทนต์
  • ใส่คีย์เวิร์ดใน H1, H2 หรือ H3
  • ใส่ Alt tags สำหรับรูปภาพและไฟล์ เพื่อช่วยให้กูเกิลเข้าใจได้ว่ารูปภาพหรือไฟล์นั้นคืออะไร
  • ใส่คำพ้องหรือคำที่ใกล้เคียง (Synonyms) กับคีย์เวิร์ดลงไปด้วย เช่น ทำ SEO, รับทำ SEO, บริการจ้างทำ SEO, รับทำเอสอีโอ
  • จำนวน Keyword Density ความหนาแน่นของคีย์เวิร์ด
  • ใส่ External Links (ลิงก์จากเว็บฯ ข้างนอก) เข้าไปในบทความ เนื่องจากจะช่วยสร้างการอ้างอิงที่น่าเชื่อถือให้กับบทความมากขึ้น
  • ใส่ Internal Links (ลิงก์ภายในเว็บไซต์) เพื่อให้ผู้อ่านสามารถกดลิงก์ไปดูบทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกัน

ปรับแต่งความเร็วเว็บไซต์

  • ปรับแต่งโค้ดให้ตรงตามหลัก Google PageSpeed
  • ปรับแต่งโค้ดให้ตรงตามหลัก Core Web Vital

>> อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ SEO On-Page

4. ทำ Content คุณภาพ

บทเรียนสี่ เคยได้ยินคำนี้ไหมครับ “Content is King” นักทำ SEO สร้างเนื้อหาที่เน้นประโยชน์กับคนอ่านเป็นหลัก อีกทั้งยังควรทำให้เนื้อหาแต่ละหน้าเพจมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน โดยยึดหลัก E-E-A-T Factorหรือกฎเกณฑ์ใหม่ล่าสุดที่ Google ทำการอัปเดตจาก E-A-T Factor เดิม อันเป็นเกณฑ์ที่อัลกอริทึมจะใช้ในการพิจารณาคุณภาพของเนื้อหาบนเว็บไซต์ อันประกอบไปด้วย

  • Experience (ประสบการณ์) – เนื้อหาที่มาจากประสบการณ์ตรงของผู้เขียน
  • Expertise (ความเชี่ยวชาญ) – เนื้อหาเขียนโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีข้อมูลเชิงลึก
  • Authoritativeness (ความมีอิทธิพล) – เว็บไซต์ได้รับการอ้างอิงจากเว็บฯ ต่าง ๆ ที่น่าเชื่อถือ (Backlink)
  • Trustworthiness (ความน่าเชื่อถือ) – เว็บไซต์มีช่องทางการติดต่อ ความสดใหม่ ที่น่าเชื่อถือจากตัวเว็บไซต์เอง

สิ่งสำคัญคือ เนื้อหา Content ควรตรงตามความต้องการของผู้ใช้หรือที่เรียกว่า Search Intent อีกทั้งยังจะต้องเป็นเนื้อหาที่เขียนและเรียบเรียงด้วยตนเอง ไม่ได้คัดลอกมาจากแหล่งอื่น นอกจากนี้ ยังควรแบ่งเป็นหัวข้อหลัก หัวข้อย่อย เพื่อให้ง่ายต่อการอ่านของผู้ใช้ด้วย

5. ทำ Backlink จากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ (Off-Page SEO)

บทเรียนห้า เนื่องจาก Authoritativeness (A) ใน E-E-A-T เป็นเกณฑ์หนึ่งที่ Google ใช้พิจารณาการจัดอันดับเว็บไซต์ สิ่งนี้จึงเป็นเหตุผลที่การทำ Backlink เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยในการไต่อันดับเช่นกัน

Backlink คือ การที่เว็บไซต์อื่นลิงก์กลับมาหาเว็บไซต์ของเรา ซึ่ง Google จะใช้การทำ Backlink เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดว่าเว็บไซต์ของเรามีคนพูดถึงและมีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน เพราะหากมีคนพูดถึงเรามาก ดังนั้นจากข้อ 4. ก็หมายความว่าถ้าเว็บไซต์ของเรามีคอนเทนต์ที่ดีและตอบโจทย์ตามความต้องการของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่ ก็จะมี Backlink ที่ดี ธรรมชาติ อ้างอิงถึงเราเอง ทำให้มีโอกาสติดอันดับ SEO ได้ง่ายขึ้น แต่ก็ยังมีบางเว็บที่ไม่มี Backlink เท่าไหร่แต่ก็มี Traffic ที่ดีได้

การทำ Backlink ที่ดีควรจะมีลักษณะดังต่อไปนี้

  • ควรทำกับเว็บไซต์มี Authority สูง (ค่า DR) หมายถึง มีความน่าเชื่อถือ มีผู้อ่านเยอะ ได้รับการอ้างอิงถึงบ่อย อาจดูจากเครื่องมือต่าง ๆ  เช่น Ahrefs
  • ควรทำกับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา เช่น หากเป็นเอเจนซีรับทำ SEO การทำ Backlink ก็ควรมาจากเว็บฯ การตลาด หรือ เทคโนโลยี
  • ควรทำกับเว็บไซต์มีผู้ใช้งานจริง ถูกคลิกเข้ามาใช้งานเรื่อย ๆ (Organic Traffic)
  • ควรทำเป็น Do Follow ซึ่งสามารถส่งคะแนน SEO มายังเว็บไซต์ของเราได้
  • ควรเขียนเนื้อหาบทความในการทำ Backlink ให้น่าสนใจ เพื่อให้ Traffic กลับมายังเว็บไซต์มีปริมาณเยอะขึ้น
  • ควรทำ Backlink อย่างค่อยเป็นค่อยไปและเป็นธรรมชาติ ไม่ควรทำจำนวนมากในระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อป้องกันการโดน Google แบน

>> อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ วิธีการทำ Backlink

6. ปรับ User Experience

บทเรียนหก สอนทำ SEO เกี่ยวกับ UX ย่อมาจาก User Experience คือ ประสบการณ์ของผู้ใช้งานต่อการใช้งาน (Usability) และการเข้าถึง (Accessibility) เว็บไซต์ ๆ ว่าผู้ใช้งานเกิดความพึงพอใจและมีประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์มากน้อยแค่ไหน โดย User Experience จะมีผลมาจาก UI หรือ User Interface

การวัด UX หลัก ๆ ก็จะวัดได้จาก :

  • Bounce Rate คือค่าที่บอกว่ามีคนที่เข้าเว็บไซต์แล้วออกทันทีทั้งหมดกี่เปอร์เซ็นต์ หาก Bounce Rate ยิ่งต่ำคือยิ่งดี ขึ้นอยู่กับเนื้อหานั้น ๆ ด้วย เช่น หน้า บทความ (Blog) อาจมีค่า Bounce Rate ที่สูงกว่าหน้า บริการ (Service) หรือหน้า สินค้า (Product) เป็นต้น
  • Page per Session คือ จำนวนหน้าที่ผู้ใช้งานเข้าไปชมต่อการเข้ามาที่เว็บไซต์ของเราหนึ่งครั้ง โดยปกติแล้ว ยิ่งจำนวนมากจะยิ่งดี แต่ก็ต้องระมัดระวังในการทำ CTA ที่ไม่ชัดเจนพอ ซึ่งอาจส่งผลให้ Google Bot เข้าใจว่าเราดึงดูดคนให้เข้ามาที่เว็บไซต์ของเราผิดหน้าได้
  • Dwell Time (Session Duration, Time on Page) คือ ค่าที่บอกถึงเวลาที่ผู้ใช้งานใช้ไปในแต่ละหน้า (Time on Page) หรือแต่ละครั้ง (Session Duration) ซึ่งหากยิ่งมากก็ยิ่งดี เพราะนั่นหมายความว่าเนื้อหาบนเว็บไซต์เรามีประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน Online
  • Page Speed คือ ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์ หากโหลดได้เร็วก็มีโอกาสสูงมากที่ผู้ใช้งานจะเข้าถึงเว็บไซต์ของเราได้เร็ว ดังนั้น ยิ่งเวลาในส่วนนี้ใช้น้อยเท่าไรก็จะถือว่าเว็บไซต์มี UX ที่ดี

โดยการจะทำให้ค่าเหล่านี้ดี สามารถทำได้จากการปรับแต่ง UX ในเว็บไซต์ให้ใช้งานได้ง่ายแบบไหลลื่น ไม่มีสะดุด อันได้แก่

  • ออกแบบเว็บไซต์ ให้สวยงาม น่าใช้ รองรับมือถือ ปัจจุบัน Theme ส่วนมากก็ถูกหลักหมดแล้วครับ
  • ออกแบบเมนูบนเว็บไซต์ให้เป็นระบบ เพื่อให้ผู้ใช้หาง่าย เพิ่มโอกาสการท่องเว็บ เป็นระยะเวลานาน
  • ใช้ชื่อเมนูเป็นสากล เช่น Home, Product, Service, Contact us เพื่อให้ผู้ใช้เข้าใจเมนูได้ง่าย หากใช้คำที่เฉพาะตัวและยากจนเกินไปก็มีโอกาสที่เว็บไซต์จะไม่สร้างความประทับใจให้แก่ผู้ใช้งาน
  • เลือก Hosting ที่มีประสิทธิภาพ ปรับจูนค่าทางเทคนิคต่างๆ เพื่อให้เว็บไซต์ เสถียร ไม่ล่มง่าย ไม่ใช้แชร์โฮสต์กับผู้อื่น
  • ใช้ระบบการเก็บ Cache เช่น Leverage Caching , ย่อขนาดไฟล์รูปภาพและวิดีโอ (Image Optimization) เพื่อเพิ่มความเร็วดาวน์โหลดเว็บไซต์
  • คำนึงถึง ระยะห่างระหว่างปุ่ม รวมถึงขนาดตัวอักษร สีปุ่มที่ตัดกับสีแบ็คกราวด์ (Color Contrast)
  • ออกแบบ User Signal เพื่อให้ผู้ใช้งานอยู่บนเว็บไซต์นานขึ้น
  • จัดรูปแบบเนื้อหาให้อ่านง่าย ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบเลย์เอาต์ ฟอนต์ หรือลำดับความสำคัญของเนื้อหาที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้ใช้งานได้ประสบการณ์ที่ดีจากการเข้าชมเว็บไซต์ของเรามากที่สุด
  • มี Call-to-Action ชัดเจน ทั้งลิงก์และปุ่ม Button เพื่อให้ผู้ใช้รู้ว่าควรกดไปที่ใดต่อ
  • หลีกเลี่ยงการใช้โฆษณา Pop-up ที่เด้งแล้วรบกวนการใช้งานของผู้ใช้

>> อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำ UX

7. ปรับแต่ง Technical SEO

บทเรียนเจ็ด Technical SEO คือ การปรับแต่ง SEO ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเทคนิคเป็นส่วนใหญ่ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกแก่บอตของ Google ให้รวบรวมข้อมูลและจัดทำดัชนีหน้าเพจทั้งหมดบนเว็บไซต์ได้ง่ายยิ่งขึ้น จึงต้องรู้จักเครื่องมือ Google Search Console

Technical SEO ปรับแต่งได้ตั้งแต่

  • เพิ่มความเร็วเว็บไซต์ (Page Speed)
  • เว็บไซต์รองรับการแสดงผลบนอุปกรณ์มือถือ (Mobile-Friendly Website)
  • ทำ Lazy Load ให้รูปภาพและ iframe แสดงผลโหลดขึ้นมาในส่วนที่ผู้ใช้เลื่อนเมาส์มาถึงเท่านั้น (offscreen images)
  • ปรับแต่งขนาดรูปภาพ (Image Optimization) และใช้สกุลรูปภาพที่ทันสมัย (WebP Image)
  • จัดการในเรื่อง Above the fold หรือ content ที่จะแสดงในส่วนหน้าจอในตอนหน้าเว็บถูกโหลด
  • จัดการ Critical CSS Path
  • จัดการ defer javascript , delay javascript ตามความสำคัญการใช้งาน
  • บีบอัดขนาดไฟล์สคิปต์ (Minify CSS, Minify JS) ให้ขนาดไฟล์เล็กลง
  • ปรับแต่งเรื่อง Cache เช่น Leverage Caching, html page caching, database caching
  • DOM Size ขนาดโค้ด HTML ของหน้าเว็บ เพื่อเพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บไซต์
  • ปรับแต่งให้ URL เป็นมิตรกับผู้ใช้และ Google
  • ทำเว็บไซต์ให้เป็น https:// หรือ SSL Certificate
  • จัดทำแผนผังเว็บไซต์ Sitemap.xml
  • ทำ Robots.txt ให้ Google Bot เข้ามา Crawl เก็บข้อมูลได้ง่ายขึ้น
  • จัดทำ Google Rich Snippets การทำ Data Structure ตามหลักของ schema.org เพื่อแสดงข้อมูลบน SERP
  • ทำ Canonical URL สำหรับเพจที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกัน
  • แก้ไขหน้าเพจ Error ที่ขึ้น เช่น 404 Not Found หรือ 500 Internal Server Error
  • ทำ 301 Redirection หน้าที่มีการเปลี่ยนแปลง URL
  • Disavow links ลิงก์ที่ไม่เป็นธรรมชาติ ผิดปกติ (Unnatural links) เพราะส่งผลเสียต่อ SEO และอาจถูก Google Ban ได้
  • ตรวจสอบลิงก์ออก (Outbound Link) ที่ผิดปกติ อาจถูก hack หรือช่อง Comment เปิดการใส่ link ทำให้มีคนมาแอบใส่ลิงก์ออกได้
  • อื่นๆ อีกมากมาย

8.  ทำ SEO บน Social

บทเรียนแปด ในยุคดิจิทัล Digital Marketing การทำ SEO บนโลก Social เช่น Facebook หมายถึงการทำหน้าแฟนเพจ Facebook ให้ติดอันดับในหน้าค้นหา โดย Google จะแบ่งพื้นที่การติดอันดับให้ Facebook เพียง 3 อันดับต่อการติดหน้าแรก 1 หน้าเท่านั้น ดังนั้น หากคุณสามารถปั้นให้ทั้งเว็บไซต์และ Facebook ติดอันดับได้ ก็จะเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจถูกลูกค้ามองเห็นเพิ่มขึ้นด้วย และใช้ในการโปรโมทแบรนด์ (Branding)

หรือจะเป็นแพลตฟอร์มอื่นๆ เช่น Youtube, Tiktok จะสามารถส่งทั้ง Organic Traffic และ Backlink ส่งคะแนน SEO มาเพิ่มให้ Web เราได้

9.  ดูสถิติการเข้าใช้งานเว็บไซต์

บทเรียนเก้า การเห็นแนวโน้มเว็บไซต์ ทำธุรกิจแบบไม่ตาบอด เป็นเคล็ดลับที่สำคัญ ในยุคสมัยนี้เรียกว่าขาดเครื่องมือนี้ไม่ได้เลย หากคุณยังไม่รู้จัก ทำความรู้จักเดี๋ยวนี้เลยครับ >> Google Analytic คืออะไร

10. อัปเดตเทรนด์ SEO ให้ทันอัลกอริทีมของ Google

บทเรียนสุดท้าย คอยคิดเสมอว่าถ้าเราเป็นกูเกิลเราจะพัฒนาการจัดอันดับระบบค้นหาให้ฉลาดขึ้นได้ยังไง เราจึงต้องคอยติดตามข่าวสาร การอัพเดท seo algorithm update จาก Google Search Status Dashboard อัลกอริทึม Google มีอัพเดทแทบทุกเดือน ดังนั้น การทำ SEO จะต้องพร้อมจะอัปเดตให้ทันกับทุกการเปลี่ยนแปลง และตามฟีเจอร์ใหม่ๆ เกี่ยวกับ SEO โดยในปี 2024 นี้เทรนด์ SEO ที่ควรอัปเดตก็มีมากมาย เช่น

เครื่องมือ SEO อัปเดตฟีเจอร์ใหม่

ปี 2024 เครื่องมือ SEO ต่างก็อัปเดตฟีเจอร์ใหม่เพื่อให้ตอบโจทย์โลกยุค AI มากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น Ahrefs ที่ออกฟีเจอร์ AI-Driven Content Optimization AI ช่วยแนะนำการปรับปรุงคอนเทนต์  Competitor AI Analysis ที่ให้ AI วิเคราะห์เว็บฯ คู่แข่ง รวมถึงทำ Content Gap วิเคราะห์คีย์เวิร์ดคู่แข่งด้วย

นอกจากนี้ Generative AI ต่างก็ประชันกันอัปเดตเวอร์ชันและฟีเจอร์ ไม่ว่าจะเป็น ChatGPT หรือ Bard จาก Google เอง ซึ่งนักทำ SEO ก็สามารถใช้เครื่องมือเหล่านี้ปรับปรุงการทำ SEO ให้ดีขึ้นได้

การเปิดตัวของ Google’s SGE (Search Generative Experience)

Google’s SGE คือฟีเจอร์ใหม่จาก Google ที่ผสมระหว่างการ Search กับ Generative AI เพื่อช่วยตอบคำถามผู้ใช้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องกดเข้าไปดูลิงก์รายการค้นหาเหมือนการ Search ทั่วไป

ดังนั้น นักทำ SEO จึงควรปรับปรุงคุณภาพเนื้อหา ประสิทธิภาพเว็บไซต์ และความน่าเชื่อถือของข้อมูล เพื่อให้ได้รับความสนใจจากผู้ใช้ แม้เว็บฯ ของเราจะแสดงถัดจากการแสดงผลของ Google’s SGE

เน้นเนื้อหา People-first ไม่ใช่ Search Engine First

ปี 2024 Google จะเน้นให้คอนเทนต์ที่ดีและมีประโยชน์กับผู้อ่านถูกมองเห็นมากขึ้นบนเว็บไซต์ ดังนั้น นักทำ SEO จึงควรผลิตคอนเทนต์ที่เป็นประโยชน์กับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อเน้นการมองเห็นแบบ People-first ไม่ใช่ Search Engine First และลบเนื้อหาที่ไม่มีคุณภาพออกจากเว็บฯ ไป ก็จะทำให้อัลกอริทึมทำงานได้ดีมากยิ่งขึ้น

ศึกษาข้อมูล SEO ใหม่ๆจากเว็บไซต์ต่างประเทศ

เราต้องพัฒนาตนเองอยู่เสมอ การหาความรู้อยู่เรื่อยๆ จะทำให้เราเป็นผู้เชี่ยวชาญ แล้วเราจะทิ้งห่างคนอื่นไปเรื่อยๆ ดังนั้น อย่าหยุดเรียนรู้ครับ

ทำ SEO ยากไหม?

การทำ SEO จะต้องอาศัยองค์ความรู้ต่าง ๆ ที่เราได้บอกไปตั้งแต่ต้นบทความ ซึ่งเรื่องเหล่านี้คุณสามารถศึกษาด้วยตัวเอง ทำ SEO ยากหรือไม่ขึ้นอยู่กับธุรกิจ Keyword มีการแข่งขันกันสูงหรือไม่

ดังนั้นก่อนจะเริ่มทำ SEO ด้วยตัวเองคุณควรจะศึกษาคู่แข่งว่าเขาทำอย่างไรเว็บไซต์ถึงอยู่ในหน้าแรก Google ได้ แล้วเราก็นำมาปรับใช้กับเว็บไซต์ของเรา ทั้งเนื้อหาคอนเทนต์บนหน้าเว็บไซต์ ต้องเน้นตอบโจทย์อ่านง่าย เว็บไซต์ใช้งานง่าย ดึงให้คนอยู่บนเว็บไซต์ของเราให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราไม่ได้บอกให้คุณลอกสิ่งที่คู่แข่งของคุณทำอยู่ แต่ให้ศึกษาและนำมาพลิกแพลงปรับใช้ (Reverse Engineering)

SEO ใช้เวลานานไหม?

การทำ SEO ให้อันดับขึ้นตำแหน่งแรก Google จะต้องให้เวลาปรับโครงสร้างเว็บไซต์ ปรับปรุงคอนเทนต์ ประมาณ 3-12 เดือน เพื่อให้ Google เห็นว่าเว็บไซต์ ของเรามีการอัพเดท และมีความเชี่ยวชาญธุรกิจนั้นๆ ผู้เข้าชมและสามารถตอบโจทย์ผู้ใช้ได้ดีมากกว่า Website อื่น

SEO สำคัญอย่างไร? มีประโยชน์อย่างไร

SEO สำคัญสำหรับธุรกิจออนไลน์ เพราะหากทำให้เว็บไซต์ ติดอันดับในหน้าแรก Google จะมีจำนวนคนเข้าเว็บไซต์ (Traffic) เพิ่มสูงขึ้นได้ โอกาสปิดการขายและทำยอดขายและกำไรก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย

จากรายงาน SEO ส่วนแบ่งการคลิก โดยทั่วไป อันดับ 1 ในหน้า Google (แสดงผลบนสุด) จะมี Traffic ของคนคลิกเข้าเว็บไซต์ มากกว่าอันดับ 10 ถึง 10 เท่า อีกทั้งการเข้าชมเว็บไซต์มักจะเริ่มมาจากการที่ลูกค้าค้นหาสินค้าผ่านแพลตฟอร์ม Search Engine ดังนั้น นี่จึงเป็นเหตุผลว่าการทำ SEO จึงเป็นสิ่งสำคัญ

อีกทั้งการทำ SEO จะช่วยให้ Keyword ติดถาวรอยู่นานขึ้นกับวินัย ความอดทน คุณภาพของการหมั่นทำ SEO ของเรา และเมื่อทำจนเว็บไซต์ติดหน้าแรกได้แล้ว ก็ยังจะช่วยลดต้นทุนการซื้อโฆษณาได้ด้วย เพราะปกติถ้าเว็บไซต์ยังไม่ขึ้นหน้าแรก คุณสามารถทำให้เว็บไซต์แสดงอยู่บนหน้าแรกได้เร็วที่สุดคือการทำ SEM หรือ ซื้อโฆษณา Google Ads กับ Google แต่ก็จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการทำโฆษณาเช่นกัน

ทำ SEO กับที่ไหนดี?

ท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ ยินดีด้วยครับ เรารับรองว่าท่านมีความรู้ SEO เพียงพอที่จะลุยธุรกิจได้แล้ว จากขั้นตอนการทำ SEO ทั้งหมด จะเห็นได้เลยว่าการที่เว็บ จะขึ้นหน้าแรก Google ได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ อย่างที่หลายคนคิด ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ และการวางแผนกลยุทธ์เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ดี หากคุณต้องการทำ SEO แต่ยังไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร SEO MASTER ของเรายินดีให้คำปรึกษา เราคือบริษัทรับทำ SEO ชั้นนำที่มีประสบการณ์ทำ SEO กว่า 10 ปี ด้วยทีมงาน Tech คุณภาพ ดูแลเหมือนเป็นเว็บของเราเอง ทักปรึกษาฟรี เราขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านครับ

]]>
User-Generated Content คืออะไร ส่งผลดีต่อ SEO ยังไง https://seomasterth.com/what-is-user-generated-content/ Tue, 02 Jan 2024 11:23:09 +0000 https://seomasterth.com/?p=27160 เมื่อการตลาดในยุคปัจจุบันมีลักษณะที่เรียกว่า 2 Way Communication หมายถึง ทั้งฝั่งผู้ซื้อและผู้ขายสามารถโต้ตอบกันได้ผ่านช่องทางต่าง ๆ โดยไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันเพียงอย่างเดียว การพยายามสร้างผลลัพธ์ที่ดีเพื่อให้ลูกค้าเกิดความประทับใจและพูดถึงแบรนด์ในเชิงบวกจึงเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้เด็ดขาด ลักษณะของกลยุทธ์ที่เรียกว่า User-Generated Content หรือ UGC จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญ ทั้งนี้คนทำธุรกิจอาจยังสงสัยว่า User-Generated Content คืออะไร แล้วจะช่วยให้แบรนด์เติบโตได้อย่างไร มาหาคำตอบกันเลย

User-Generated Content คืออะไร

UGC หรือ User-Generated Content คือ รูปแบบของคอนเทนต์ประเภทต่าง ๆ ที่ลูกค้าเป็นผู้สร้างขึ้นมาโดยมีการกล่าวถึงแบรนด์ สินค้า / บริการนั้น ๆ แบบตรงไปตรงมาเพื่อบ่งบอกความพึงพอใจ ประสบการณ์ที่พวกเขาได้รับ อาจมาในลักษณะของรีวิวผ่านคอมเมนต์บนหน้าแฟนเพจ การทำคลิปวิดีโอลงโซเชี่ยลมีเดีย หรือแม้แต่การโพสต์บนเว็บบอร์ดต่าง ๆ ก็ได้เช่นกัน ลักษณะของกลยุทธ์นี้จะมีเงื่อนไขสำคัญคือผู้ที่สร้างคอนเทนต์ต้องเป็นลูกค้าตัวจริง คนที่เคยซื้อสินค้า / บริการจริง ไม่ใช่คนในองค์กร Influencer หรือผู้ที่ถูกจ้างให้ทำงาน ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนทุกกรณี

อย่างไรก็ตามธุรกิจที่สนใจใช้กลยุทธ์ดังกล่าวก็สามารถสร้างแนวทางบางประการเพื่อให้ลูกค้าตัวจริงมีส่วนร่วมได้ เช่น Starbucks มีการเปิดตัว Red Cup สำหรับเทศกาลคริสต์มาส หลังจากผู้คนให้ความสนใจจนเกิดยอดแชร์บนโลกออนไลน์ล้นหลาม พวกเขาก็เสริมกลยุทธ์ UGC ด้วยการสร้างแคมเปญให้ลูกค้าโพสต์ภาพแก้วสีแดงผ่านโซเชี่ยลมีเดียของตนเองพร้อมติดแฮชแท็ก #Redcup พอคนคลิกเข้าไปแฮชแท็กดังกล่าวก็จะเห็นความสวยงามของภาพแก้วกาแฟสตาร์บัคส์สีแดง กลายเป็นไวรัลและกระตุ้นให้คนอยากซื้อสินค้าใส่แก้วประเภทนี้มากขึ้น

หรืออีกแคมเปญที่ชื่อ White Cup Contest ภายใต้แฮชแท็ก #WhiteCupContest ของแบรนด์ Starbucks ที่ให้คนวาดลวดลายตามสไตล์ของตนเองลงบนแก้วสีขาวของพวกเขา โพสต์ลงโซเชี่ยลมีเดียแล้วติดแฮชแท็กดังกล่าวก็เป็นกระแสไม่แพ้กัน กระตุ้นยอดขายให้คนซื้อเพื่อทำกิจกรรมดังกล่าวได้อย่างดีเยี่ยม

ตัวอย่าง User-Generated Content

ตามที่อธิบายไปว่า User-Generated Content คือ ลูกค้าตัวจริงที่สร้างคอนเทนต์โดยพูดถึงแบรนด์ สินค้า / บริการนั้น ๆ ชัดเจน ตามความพึงพอใจและประสบการณ์ที่เขาได้รับผ่านช่องทางที่มีอยู่ในมือ ตัวอย่างของ UCG จึงมีหลากหลายมาก เช่น

  • การคอมเมนต์ในแฟนเพจบรรยายถึงประสบการณ์ที่ตนเองได้รับใต้โพสต์ที่แบรนด์โพสต์เอาไว้
  • การรีวิวบนโซเชี่ยลมีเดียของตนเอง เช่น โพสต์ข้อความ ทำคลิปวิดีโอสั้น ทำคลิปวิดีโอยาว
  • การโพสต์ลงเว็บบอร์ดชื่อดังบอกเล่าประสบการณ์ รีวิว อธิบายสิ่งที่ตนเองพบเจอ
  • การถูกยกตัวอย่างเป็นกรณีศึกษา หรือ Cast Studies เช่น นำไปพูดในงานสัมมนา

ข้อดีของการทำ User-Generated Content

1. เพิ่มเติมความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์

เมื่อลูกค้าเป็นผู้ยืนยันความรู้สึก ความพึงพอใจของตนเองผ่านคอนเทนต์ลักษณะนี้นั่นบ่งบอกถึงความน่าเชื่อถือที่จะช่วยยืนยันตัวตนและผลลัพธ์ที่คนอื่นจะได้รับไม่แพ้กัน เพราะพวกเขาเหล่านี้คือคนที่จ่ายเงินจริง ได้สัมผัสกับประสบการณ์ตรง และไม่มีเหตุผลใดให้ต้องโกหกหลอกลวงผู้บริโภคคนอื่น เช่น การคอมเมนต์รีวิวโรงแรม รีสอร์ต หลังจากได้เข้าพัก

2. กระตุ้นยอดขาย เพิ่มผลกำไร

หลายคนมักมีความลังเล ไม่แน่ใจว่าจะซื้อสินค้า / บริการนี้ดีหรือไม่ แต่เมื่อเจอ User-Generated Content จากผู้ใช้จริง ยืนยันประสิทธิภาพที่ตนเองได้รับ การตัดสินใจซื้อก็เป็นเรื่องง่ายขึ้นกว่าเดิม ช่วยกระตุ้นยอดขาย และเพิ่มผลกำไรตามเป้าหมายที่ธุรกิจวางแผนเอาไว้ หรือบางทีอาจมากกว่าที่คาดหวังด้วยซ้ำ

3. สร้างการรับรู้ให้กับแบรนด์มากขึ้น

กลยุทธ์ UGC ไม่ว่าจะมาจากลูกค้าโดยตรงหรือเป็นการสร้างแคมเปญโดยธุรกิจก็ตาม อีกข้อดีที่เห็นผลชัดเจนมากคือ ช่วยสร้างการรับรู้ต่อตัวแบรนด์มากขึ้น เช่น การทำคลิปสั้นรีวิวการใช้งานสินค้า รีวิวรสชาติ หน้าตาอาหาร แม้เป็นร้านเล็ก ๆ หรือแบรนด์เกิดใหม่ แต่ถ้าคลิปดังกล่าวเป็นไวรัลแม้ทุกคนที่ดูจะไม่ได้ซื้อแต่ก็ทำให้พวกเขารู้จัก ในอนาคตอาจมีโอกาสตัดสินใจซื้อหรือบอกต่อคนรอบข้างได้เช่นกัน

4. ส่งผลดีต่อ SEO

ด้วยจำนวนข้อมูล จำนวนหน้า Content ต่างๆเพิ่มขึ้น เมื่อ Google เข้ามาจัดทำดัชนีขึ้นแสดงผลบนหน้าค้นหา หากเป็นคอนเทนต์คุณภาพ จะส่งผลดีต่อการทำ SEO ของเว็บไซต์ ยกตัวอย่าง เว็บอสังหาริมทรัพย์ ที่เปิดให้ คนทั่วไปหรือเอเจนซี่เข้าไปสามารถโพสต์ลงขายบ้านได้เอง

แนะนำไอเดียการใช้กลยุทธ์ User-Generated Content

สำหรับธุรกิจที่สนใจอยากใช้กลยุทธ์ User-Generated Content แบบเนียน ๆ โดยไม่ถูกมองว่าสร้างภาพหรือตั้งใจทำให้คนพูดถึงมากเกินเหตุ สามารถนำเอาแนวคิดต่อไปนี้ลองปรับตามสไตล์ให้เหมาะกับแบรนด์ได้เลย

  • วางเป้าหมายให้ชัดเจนว่าต้องการใช้กลยุทธ์ UGC เพื่ออะไร เช่น สร้างการรับรู้ เพิ่มยอดขาย
  • เลือกนำสินค้าเก่าที่ได้รับความนิยมสูง หรือสินค้าใหม่ล่าสุดมาเป็นจุดขายหลัก
  • สร้างแคมเปญโดยใช้ช่องทางออนไลน์และหาแฮชแท็กที่เหมาะสม
  • ทำให้ดูเหมือนลูกค้าทุกคนได้เข้าร่วมกิจกรรมโดยไม่ได้ถูกบังคับใด ๆ แต่อาจเพิ่มเติมสิ่งล่อต่อล่อใจ เช่น ของรางวัล บัตรกำนัล

สรุป

User-Generated Content ถือเป็นอีกทางเลือกดี ๆ ที่จะช่วยสร้างผลลัพธ์ในเชิงการตลาดให้กับธุรกิจทั้งเรื่องชื่อเสียง ภาพลักษณ์ ยอดขาย และผลกำไร แต่เหนือสิ่งอื่นใดการที่คุณสนใจนำเอากลยุทธ์ดังกล่าวมาปรับใช้กับแบรนด์ของตนเองก็เหมือนดาบสองคม เพราะลูกค้าแต่ละคนย่อมมีความคิด ความชอบแตกต่างกันออกไป สิ่งสำคัญจึงต้องมั่นใจว่าสินค้า / บริการของคุณทำออกมาดีที่สุดเพื่อลดความเสี่ยงการเกิดคอนเทนต์เชิงลบและอาจทำให้เสียชื่อเสียงได้เช่นกัน

]]>
Elementor คืออะไร เครื่องมือปลั๊กอิน WordPress แค่ลากวางทำเว็บไซต์ https://seomasterth.com/what-is-elementor/ Sun, 31 Dec 2023 15:52:33 +0000 https://seomasterth.com/?p=27065

Elementor คืออะไร?

Elementor คือ Plugin บน WordPress ที่ช่วยในการออกแบบเว็บไซต์ เป็นหนึ่งใน Live Page Builder เพียงแค่ลากวาง (drag-and-drop page builder) และคลิกใส่ค่าต่างๆเท่านั้น ทำให้การทำเว็บไซต์ง่ายและประหยัดเวลาแถมยังทันสมัยรองรับมือถือด้วย เครื่องมือตัวนี้ถือว่ามีประโยชน์มากสร้างมาในปี 2016 ปัจจุบันปี 2024 มี Theme มากมายใช้ปลั๊กอินนี้ในการทำเว็บไซต์

Elementor tool มีเครื่องมืออะไรบ้าง

ในบทความนี้เราจะมายกตัวอย่างเครื่องมือ element ที่สำคัญใช้บ่อย จะมีดังนี้

  1. Heading
    ใช้สำหรับใส่หัวข้อเรื่องโดยสามารถเลือกเป็น H1,H2 ได้เพื่อรองรับการทำ SEO
  2. Text Editor
    ใช้สำหรับใส่เนื้อหา Content ในบทความ สินค้า บริการต่างๆ ขยายรายละเอียดเรื่องราวของสิ่งนั้น
  3. Button widget
    ปุ่ม Call to Action ต่างๆ
  4. Image
    รูปภาพประกอบคอนเทนต์
  5. Html code
    สำหรับโปรแกรมเมอร์ developer หรือใครที่รู้เรื่องโค้ด สามารถเขียนภาษา HTML ใส่ในเครื่องมือนี้ได้เลย
  6. posts carousel
    ลิสรายการของเรื่อง (Posts) ของบทความของเว็บไซต์เรา
  7. image gallery
    ทำลิสรายการของรูปภาพ
  8. slider
    ทำลิสรายการของรูปภาพ ในรูปแบบ Slider
  9. Section
    สร้างเซ็คชันสำหรับแบ่งเนื้อหาให้เป็นส่วนๆ ดูภาพประกอบ (1)
  10. Column
    สร้างคอลัมน์สำหรับแบ่งเนื้อหาให้เป็นส่วนๆ เช่น แบ่งเป็น 2 คอลัมน์ ความกว้างคนละ 50% เป็นต้น ดูภาพประกอบ (2)

ข้อดีของ Elementor

  1. สำหรับคนที่ไม่เคยเรียนเขียนโค้ด หรือไม่รู้จักการ Coding มาก่อนเลย Elementor จะเข้ามาช่วยซัพพอร์ทในเรื่องนี้ เพราะคุณไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ดเป็น ไม่จำเป็นต้อง อ่านโค้ดได้ แค่ลาก วาง Widget แล้วก็ตกแต่งสี หรือ สไตล์ ตามที่เราต้องการได้เลย ให้นึกว่าเรากำลังทำ PowerPoint หรือ Dreamweaver อยู่
  2. Elementor ใช้วิธีการแก้ไขเว็บ แบบลากและวาง ทำให้ง่ายต่อการใช้งาน
  3. เป็นเครื่องมือแก้ไข Layout, Page, Header, Footer ที่ใช้งานง่ายมากๆ เหมาะกับผู้เริ่มต้น และมืออาชีพที่เขียน Code ปรับแต่งเพิ่มเองได้
  4. สร้าง-แก้ไขเว็บไซต์ จากมุมมองของผู้เยี่ยมชม WYSIWYG (What You See Is What You Get) ทำให้เห็นภาพรวมของทั้งหน้าเว็บ แล้วเมื่อบันทึกก็จะแสดงผลแบบนั้น
  5. จัดการเลเอาท์ ความกว้าง (Width) ความสูง (Height) ช่องว่าง (Blank Space) ความห่างระหว่าง Item เช่น padding , margin ได้ง่าย
  6. ในรุ่น Elementor Pro จะมี เทมเพลตสำเร็จรูปกว่า 300+ แบบให้เลือกใช้งาน ไม่เสียเวลาออกแบบ โดยแก้จากต้นแบบได้เลย
  7. มีโหมดซ่อมบำรุง เมื่อเรากำลังแก้ไขเว็บอยู่ เราสามารถเปิดใช้งานฟังก์ชั่นนี้ได้ จะมีหน้าชั่วคราวแสดงให้ผู้เข้าชมเว็บอยู่ในขณะนั้น
  8. ปรับรูปแบบการแสดงผลของเว็บได้ 3 หน้าจอ คือ Desktop / Tablate / Mobile ทำให้เราสามารถเห็นมุมมองในหน้าจอของแต่ละอุปกรณ์
  9. เราสามารถซ่อน Element ที่ไม่ต้องการให้แสดงบนแต่ละอุปกรณ์ได้ เพื่อให้เนื้อหาที่กระชับ เหมาะสมกับอุปกรณ์นั้นๆ
  10. Create Custom Widget ใช้งานได้อีกด้วย
  11. ง่ายมีระบบ undo/redo and full revision history เก็บประวัติการแก้ไข ย้อนกลับได้
  12. สามารถ Save Template เก็บไว้ใช้งาน Import ในหน้าอื่นๆได้ด้วย (Elementor template library)
  13. ถ้ามีเหตุการณ์ที่ต้อง ถอดติดตั้ง Uninstall Plugin Elementor มันจะไม่ทำให้สไตล์ (Style) เว็บเรายุ่งเหยิงเหมือนตัวอื่นเช่น  WPBakery Page Builder หรือ the Divi Builder

ข้อเสียของ Elementor

  1. Plugin ตัวนี้ใช้ทรัพยากรเครื่องเยอะพอสมควร บางเซิฟเวอร์ อาจทำให้เว็บช้าและล่มได้ ยิ่งขั้นตอนหลังบ้าน อาจจะค้างไปเลย
  2. DOM Size ปริมาณความเยอะของจำนวนตัวอักษรที่ใช้สร้าง Class, Id, Div ต่างๆใช้เยอะมาก จนหน้าเว็บหนัก ทำให้ PageSpeed กฏเกณฑ์ในข้อนี้ที่เป็นปัจจัยต่อการจัดอันดับ SEO โดนเล่นงานอยู่เหมือนกัน
  3. ใช้ได้กับ WordPress เวอร์ชั่น 5.0 หรือรุ่นใหม่กว่านั้น
  4. ฟังก์ชั่นการแก้ไขเว็บทั่วไปใช้ Elementor Free ได้ แต่บางอย่างต้องซื้อรุ่น Elementor Pro หรือหันไปใช้ Add On ปลั๊กอินเสริม เช่น Element Pack, Power Element, Ultimate Elementor etc.

Elementor (ฟรี) เเละ Elementor Pro (เสียตัง) เเตกต่างกันยังไง?

Elementor เเละ Elementor Pro เเตกต่างกันที่ ใน Elemetor Pro (เสียตัง) จะมีลูกเล่นมากกว่า Elementor (ตัวฟรี) ซึ่งตัวฟรีมีให้ใช้ฟรีประมาณ 40 แบบ แต่แบบจ่ายเงินมี widget ให้เล่นมากกว่าเพิ่มเติมถึง 300+ Widget เเละยังสามารถสร้างในส่วนที่ตัวฟรีทำไม่ได้ เช่น Slider, Portfolio, Social share buttons  และอื่นๆ เป็นต้น
ตัวอย่าง Elementor Pro Feature 

แนะนำ Elementor Theme เริ่มต้น ที่ดีที่สุด

  1. Hello Elementor Theme
  2. Neve
  3. Astra
  4. GeneratePress
  5. Sydney
  6. Page Builder Framework
  7. Jupiter
  8. Hestia
  9. The7
  10. Besa

สรุป
WordPress เป็นที่นิยมอันดับ1ของโลกและในไทย คือราชาแห่งแพลตฟอร์มสร้างเว็บไซต์ ส่วน Elementor ก็เป็นเบอร์ต้นๆเหมือนกัน เป็นพันธมิตรที่ใกล้เคียงที่สุด สร้างเว็บไซต์ออกแบบเพียงลากและวางที่ดีที่สุดเพราะ Elementor ทำทุกอย่างให้ มันช่วยให้คุณสร้างเว็บไซต์ที่เป็นจริงตามจินตนาการของคุณ ด้วย Elementor ในเรื่อง SEO ไม่ต้องห่วงมีเว็บติดหน้าแรก Google มากมายที่ใช้ Elementor ครับ หากใครสนใจวิธีใช้งานเพิ่มเติม ลองค้นหาคลิปวีดีโอสอนการใช้งานดูตาม Youtube ได้เลยครับ
]]>