Business – SEO Master บริษัทรับทำ SEO รับดูแลเว็บไซต์ ราคาถูก ครบวงจร https://seomasterth.com SEO MASTER Mon, 22 Jan 2024 13:03:11 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.3.5 https://seomasterth.com/wp-content/uploads/2023/11/cropped-seomaster-icon-32x32.jpg Business – SEO Master บริษัทรับทำ SEO รับดูแลเว็บไซต์ ราคาถูก ครบวงจร https://seomasterth.com 32 32 B2C คืออะไร รู้จักประเภทธุรกิจที่จะช่วยให้ทำการตลาดง่ายขึ้น https://seomasterth.com/what-is-b2c/ Mon, 22 Jan 2024 13:03:11 +0000 https://seomasterth.com/?p=28051 เมื่อพูดถึงการทำธุรกิจในความหมายพื้นฐานที่ทุกคนรู้กันดีนั่นคือ การมีผู้ขายและผู้ซื้อโดยใช้ผลิตภัณฑ์เป็นตัวกลางไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือบริการต่าง ๆ แต่เมื่อเจาะลึกลงไปในด้านของผู้ซื้อซึ่งตามมุมมองของธุรกิจหมายถึง ลูกค้า ก็จะมีแยกย่อยออกไปอีกทั้งกลุ่มลูกค้าบุคคล หรือ B2C และ ลูกค้ากลุ่มบริษัท องค์กร หรือ B2B จึงอยากให้คนที่กำลังวางแผนเริ่มทำธุรกิจ หรือมีธุรกิจอยู่แล้วเข้าใจในรายละเอียดมากขึ้นว่า B2C คืออะไร ต่างจากลูกค้าประเภทอื่นมากน้อยแค่ไหน เพื่อการวางแผนการตลาดที่ง่ายขึ้นกว่าเดิม

B2C คืออะไร

Business to Customer หรือ B2C คือ รูปแบบการทำธุรกิจโดยผู้ขายไม่ว่าจะอยู่ในนามบริษัท องค์กร ทำการขายผลิตภัณฑ์ (สินค้า / บริการ) ให้กับผู้ซื้อที่อยู่ในนามบุคคลหรือผู้บริโภคโดยตรง ไม่ผ่านคนกลางใด ๆ ทั้งสิ้น หรืออธิบายให้เข้าใจง่ายมากขึ้นก็อยู่ในทำนอง ผู้ขายต้องพยายามในทุกวิถีทางเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ของตนเองได้รับความสนใจและถูกตัดสินใจซื้อโดยผู้บริโภคที่จะนำผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไปใช้งานต่อเพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดกับตนเอง

ความแตกต่างระหว่างธุรกิจแบบ B2C กับธุรกิจประเภทอื่น

นอกจากการทำธุรกิจแบบ B2C แล้ว ก็ยังมีธุรกิจประเภทอื่นที่อยู่แบ่งออกแตกต่างกันไป เพื่อให้เจ้าของหรือผู้บริหารมองเห็นภาพรวมและเลือกแนวทางการตลาด วิธีบริหารจัดการด้านต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น ประกอบไปด้วย

1. ธุรกิจแบบ B2B

B2B หรือ Business to Business คือ การทำธุรกิจ การซื้อ-ขายสินค้าระหว่างบริษัท องค์กร หน่วยงาน กับบริษัท องค์กร บุคคล หน่วยงานอื่น ๆ เพื่อให้พวกเขานำสิ่งที่ซื้อไปเข้าสู่ขั้นตอนการผลิตสินค้า / บริการในลำดับต่อไป เช่น โรงงาน A ผลิตวัตถุดิบให้กับโรงงาน B เป็นต้น

2. ธุรกิจแบบ C2C

C2C หรือ Customer to Customer จะมีลักษณะคล้ายกับ B2C แต่ผู้ขายจะเป็นบุคคลธรรมดา ไม่ได้ทำในรูปแบบบริษัท เช่น แม่ค้าเปิดร้านอาหารตามสั่งขายให้กับลูกค้า

3. ธุรกิจแบบ C2B

C2B หรือ Customer to Business จะคล้ายกับการทำธุรกิจแบบ B2B แต่ผู้ขายจะเป็นบุคคลธรรมดา ไม่ได้ทำในรูปแบบบริษัท เช่น เกษตรกรขายสินค้าให้กับโรงงานอุตสาหกรรม

4. ธุรกิจแบบ B2B2C

จะมีความซับซ้อนเพิ่มขึ้นมาอีกเล็กน้อย ย่อมาจาก Business to Business to Customer หลักการคือนำเอาธุรกิจแบบ B2B และ B2C เข้ามาไว้ด้วยกัน เพื่อให้เกิดความครอบคลุมในการทำธุรกิจมากขึ้น ส่วนมากในปัจจุบันจะเป็นลักษณะของการทำธุรกิจผ่านเว็บ E-Commerce หรือเว็บคนกลาง เช่น ธุรกิจ A นำของมาวางขายบนเว็บไซต์ Lazada เพื่อให้ผู้บริโภคเข้ามาเลือกซื้อ Lazada ซึ่งเป็นธุรกิจ (B ตัวที่ 2) จะได้เปอร์เซ็นต์ส่วนแบ่ง หรือค่าสมาชิก ค่าลงทะเบียนต่าง ๆ เป็นรายได้ของธุรกิจ ขณะที่ธุรกิจ A (B ตัวที่ 1) ก็จะมีรายได้จาก C ซึ่งเป็นผู้บริโภคคนสุดท้าย และยังทำให้พวกเขาสามารถเข้าถึงวัตถุประสงค์ของลูกค้าตัวจริงเพื่อทำการตลาดได้ด้วย

กลยุทธ์ที่น่าสนใจของธุรกิจ B2C บนโลกออนไลน์

ด้วยยุคนี้การทำธุรกิจขององค์กรจำนวนมากต้องให้ความสนใจกับโลกออนไลน์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การศึกษากลยุทธ์ที่เหมาะสมย่อมช่วยสร้างโอกาสแห่งความสำเร็จทั้งเรื่องการรับรู้แบรนด์ของผู้บริโภค ไปจนถึงยอดขายและผลกำไรด้วย

1. การทำ SEO สำคัญมาก

ผู้บริโภคยุคนี้ไม่ได้สนใจแค่เรื่องของชื่อเสียงแบรนด์แต่ต้องการคุณภาพ ความน่าเชื่อถือ ซึ่งพวกเขาสามารถค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ได้ผ่านอินเทอร์เน็ต การทำ SEO เพื่อให้ผู้บริโภครู้จักกับแบรนด์ ได้เห็นสินค้าของคุณมากขึ้นจะช่วยเพิ่มโอกาสเปลี่ยนจากกลุ่มเป้าหมายสู่ลูกค้าง่ายขึ้นกว่าเดิม การทำเว็บให้ติดอันดับหน้าแรกของ Search Engine จึงมักเป็นแผนการตลาดขององค์กรแทบทุกแห่ง

2. คอนเทนต์ไวรัล

ลำพังการทำคอนเทนต์ธรรมดาอาจได้แค่ลูกค้าบางส่วน แต่คุณพยายามสร้างคอนเทนต์ให้เกิดไวรัล มีคนรับชมเยอะ มี Engagement สูง นอกจากชื่อของแบรนด์จะขยายออกไปสู่วงกว้างแล้ว ยังมักกระตุ้นยอดขายให้เพิ่มขึ้นภายในระยะเวลาอันรวดเร็วอีกด้วย ซึ่งคอนเทนต์ที่ได้รับความนิยมมากสุดต้องยกให้กับการลงวิดีโอผ่านช่องทาง Social Media ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, TikTok, YouTube เป็นต้น

3. การยิง Ads หรือการซื้อโฆษณา

อีกทางลัดของแผนธุรกิจแบบ B2C ประสบผลสำเร็จต้องอาศัยการยิง Ads หรือการซื้อโฆษณาไม่ว่าจะเป็นการทำ Google Ads, การทำ Facebook Ads และช่องทางอื่น ๆ เหตุเพราะคนที่เห็นโฆษณาของคุณคือบุคคล และพวกเขามักเป็นคนพิจารณาตัดสินใจซื้อด้วยตนเอง ไม่ต้องรอความคิดเห็นหรือการพูดคุยปรึกษากับผู้อื่นมากนัก หากสินค้า / บริการ ตรงกับสิ่งที่เขากำลังมองหาก็มีสิทธิ์ซื้อทันทีเช่นกัน

4. การใช้ User-Generated Content

อีกกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพและได้รับความนิยมไม่แพ้กันนั่นคือ การใช้ User-Generated Content หรือให้คนที่เป็นลูกค้าจริงสร้างคอนเทนต์พูดถึงธุรกิจ เช่น การรีวิว คอมเมนต์ต่าง ๆ เพราะการตัดสินใจของผู้บริโภคส่วนมากมักพิจารณาเรื่องของประสบการณ์จริงของผู้ใช้งานมากเป็นอันดับต้น ๆ แต่นั่นก็หมายถึงผลิตภัณฑ์ของธุรกิจต้องมีคุณภาพ ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานจึงจะได้รับการพูดถึงเชิงบวก และลูกค้าหน้าใหม่ก็อยากเข้าหามากขึ้นเรื่อย ๆ

สรุป

การทำธุรกิจแบบ B2C หรือ Business to Customer เป็นการนำเสนอระหว่างธุรกิจองค์กรกับลูกค้านามบุคคลหรือผู้บริโภค การมองหากลยุทธ์ที่เข้าถึงได้ชัดเจน เช่น การทำโฆษณาออนไลน์ การทำ SEO สร้างคอนเทนต์ไวรัล หรือใช้เทคนิค User-Generated Content เป็นอีกเทคนิคที่ตอบโจทย์กับธุรกิจอย่างมาก สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางเพื่อโอกาสแห่งความสำเร็จกันได้เลย

 

]]>
Share of Voice คืออะไร อีกหนึ่งสิ่งที่แบรนด์ต้องให้ความสำคัญ https://seomasterth.com/what-is-share-of-voice/ Tue, 16 Jan 2024 11:46:04 +0000 https://seomasterth.com/?p=27974 Share of Voice คืออะไร อีกหนึ่งสิ่งที่แบรนด์ต้องให้ความสำคัญ

 

Share of Voice คืออะไร อีกหนึ่งคำถามที่บางคนอาจยังสงสัยอยู่ หรือบางคนอาจไม่เคยได้ยินเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าหากทำธุรกิจ หรือทำงานด้านการตลาด จะต้องทำความรู้จักกับคำนี้ และให้ความสำคัญ เพราะเป็นสิ่งที่สะท้อนเสียงตอบรับของแบรนด์ ครั้งนี้ทางบทความได้รวบรวมข้อมูลความรู้เกี่ยวกับ Share of Voice มาฝาก ดังนี้ 

 

Share of Voice คืออะไร?

 

Share of Voice คือสัดส่วนของการถูกพูดถึงแบรนด์บน Social Media ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าแบรนด์ถูกพูดถึงมากน้อยแค่ไหน มีคนรู้จักแบรนด์ในระดับเท่าไร หรือเรียกอีกอย่างว่า ส่วนแบ่งของเสียงในตลาด โดย Share of Voice จะทำให้รู้ว่ากลุ่มเป้าหมายพูดถึงแบรนด์ในทิศทางไหน รู้สึกอย่างไร หรือมีความคิดเห็นอย่างไร ซึ่งข้อมูลส่วนนี้ สามารถนำไปต่อยอดแผนการตลาดได้

 

เดิมที Share of Voice ใช้วัดผลลัพธ์ของการโฆษณาผ่านทางสื่อสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ และวิทยุ แต่ปัจจุบันในยุคที่ออนไลน์เข้ามามีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คน นำมาซึ่งช่องทางการสื่อสารบนออนไลน์ที่ทรงอิทธิพล ทำให้ Share of Voice ถูกใช้วัดผลลัพธ์การถูกพูดถึงแบรนด์บน Social Media อย่างกว้างขวาง 

ความสำคัญของ Share of Voice คืออะไร?

 

ความสำคัญของ Share of Voice คือทำให้แบรนด์ได้รู้สัดส่วนที่ถูกพูดถึง ซึ่งมีประโยชน์หลายอย่าง ดังนี้ 

 

1.ทำให้รับรู้ระดับความเป็นที่รู้จักของแบรนด์

 

Share of Voice จะทำให้เจ้าของธุรกิจหรือนักการตลาดรับรู้ว่าเป็นที่รู้จักในระดับไหน บรรลุเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่ หากยังไม่บรรลุก็จะได้วางกลยุทธ์ต่อไป เพื่อเพิ่มชื่อเสียงให้กับแบรนด์ สำหรับการรับรู้ว่าแบรนด์เป็นที่รู้จักในระดับไหน เป็นความสำคัญอย่างหนึ่ง ทำให้รู้จักว่าคู่แข่งของธุรกิจคือใคร จะได้ดำเนินการให้เหมาะสม ซึ่ง Share of Voice ช่วยได้

 

2.ทำให้รู้จักตำแหน่งของแบรนด์เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง

 

Share of Voice ทำให้เจ้าของธุรกิจหรือนักการตลาดรู้ระดับการเป็นที่รู้จักของแบรนด์ จะได้รู้ด้วยว่าตำแหน่งของแบรนด์อยู่ตรงไหน เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง และได้รู้ว่าต้องเพิ่มหรือลดอะไรส่วนไหน ในด้านการสื่อสาร ต้องทำอย่างไรจึงจะต่อสู้กับคู่แข่งในตลาดได้ หรือต้องเพิ่มการรับรู้อย่างไร ให้กลุ่มเป้าหมายรับรู้เกี่ยวกับแบรนด์ให้มากขึ้น 

 

3.ทำให้รับรู้ความคิดเห็นของกลุ่มเป้าหมาย

 

นับเป็นความสำคัญอีกหนึ่งความสำคัญของ Share of Voice ที่นอกจากจะทำให้ธุรกิจรับรู้ได้ถึงสัดส่วนของการถูกพูดถึงแบรนด์บน Social Media แล้ว ยังได้รู้ถึงความคิดเห็นของกลุ่มเป้าหมายด้วยว่ามีความคิดเห็นอย่างไรกับแบรนด์ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก การได้รู้ว่ากลุ่มเป้าหมายมีความคิดเห็นเป็นบวกหรือลบ และรับรู้ไปถึงรายละเอียดว่ากลุ่มเป้าหมายคิดเห็นอย่างไรกับแบรนด์ จะทำให้รู้ว่าภาพลักษณ์ของแบรนด์ในสายตากลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างไร ตรงกับที่วางภาพลักษณ์กับแบรนด์หรือไม่ หากยังไม่ตรงจะต้องปรับเปลี่ยนการสื่อสารอย่างไร ไม่เพียงเท่านั้นบางความคิดเห็นที่ส่งเสริมแบรนด์ อาจนำไปต่อยอดการทำแคมเปญเพิ่มเติมได้ เพื่อโน้มน้าวใจกลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง

 

4.ช่วยในการนำไปปรับใช้แผนธุรกิจในอนาคต

 

จากที่ได้กล่าวไปทั้งหมดเกี่ยวกับความสำคัญของ Share of Voice ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของระดับการถูกพูดถึง ระดับการเป็นที่รู้จัก หรือแม้แต่ความคิดเห็นที่มีต่อแบรนด์ ล้วนมีความสำคัญในการนำไปปรับใช้สำหรับวางกลยุทธ์ในแผนธุรกิจอนาคต ความคิดเห็นด้านบวกสามารถนำไปต่อยอดทำให้ดีขึ้นได้ ส่วนความคิดเห็นด้านลบหรือไม่ตรงกับเป้าหมายที่วางไว้ ก็สามารถนำไปปรับปรุงใหม่ให้ดีขึ้นได้ 

หลักการที่ทำให้เกิด Share of Voice คืออะไรบ้าง?

การทำให้เกิด Share of Voice แบรนด์จะต้องมีแผนการสื่อสารที่ดี ตามหลักการที่สำคัญ ดังนี้ 

 

1.สื่อสารด้วยข้อความที่ถูกจริตกับกลุ่มเป้าหมาย

 

หลักการแรกที่ทำให้เกิด Share of Voice คือ ก่อนที่จะสื่อสารอะไรออกไป แบรนด์ควรทำความรู้จักกับกลุ่มเป้าหมายให้ดีเสียก่อน อาจจะทำการสำรวจเบื้องต้น ว่ากลุ่มเป้าหมายชอบเสพข้อความหรือเนื้อหาแบบไหน แล้วเลือกสื่อสารออกไปให้ถูกกับจริตผู้รับสารหรือกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้เกิดการเปิดรับที่ดีกว่า หากสื่อสารเนื้อหาที่ไม่ตรงจริตกับกลุ่มเป้าหมาย ก็มีโอกาสสูงที่เนื้อหานั้นจะถูกเมิน กลายเป็นเนื้อหาที่ไม่น่าสนใจและไม่ทำให้เกิด Share of Voice

2.สร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า

 

พยายามสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าเก่า ด้วยการตอบกลับเสมอ และควรตอบกลับอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะข้อความร้องเรียน เพื่อการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า หรือถ้าหากมีข้อความเกี่ยวกับคำติชมอื่นๆ รวมถึงข้อแนะนำต่างๆ ก็ควรหมั่นตอบกลับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอเช่นกัน ควรมีช่องทางสำหรับพูดคุยกับลูกค้า เช่น Fanpage FB บัญชี Instagram บัญชี Twitter และอื่นๆ 

3.จัดกิจกรรมสร้างกระแส

 

หลักการอีกหนึ่งอย่างที่อยากแนะนำคือการจัดกิจกรรมสร้างกระแส ที่ส่งผลต่อ Share of Voice ได้เป็นอย่างดี แต่อาจจะต้องทำการสำรวจเก็บข้อมูลความต้องการของกลุ่มเป้าหมายให้ดี เพื่อจัดกิจกรรมที่จะทำให้กลุ่มเป้าหมายสนใจและเข้าร่วมกิจกรรม หากมีการเข้าร่วมมาก ก็ส่งผลให้มีสัดส่วน Share of Voice ที่สูงขึ้น ยกตัวอย่างกิจกรรมยอดนิยม เช่น การติด #แฮชแทก ที่ทำให้เกิด Share of Voice บน Social media เหมาะสำหรับสินค้าใหม่ที่จะเปิดตัว หรือสินค้าเดิมที่มีอยู่แต่มีแคมเปญใหม่ออกมา หากมีคนเข้าร่วมมาก Share of Voice ก็จะสูง

 

4.สร้างเนื้อหาที่ทำให้เกิดการมีปฏิสัมพันธ์

 

อีกหนึ่งหลักการที่น่าสนใจก็คือการสร้างเนื้อหาให้เกิดการมีปฏิสัมพันธ์ เป็นการเผยแพร่เนื้อหาที่ชักชวนให้เกิด Reaction หรือเกิดการ Comment รวมถึงกดแชร์ แทนที่จะสร้างเนื้อหาที่เป็นการสื่อสารทางเดียว อย่างเช่นการสื่อสารด้วยข้อความที่ชวนให้ผู้ติดตามเข้ามากดปุ่ม Like Love Angry Care หรือการชักชวนให้เข้ามา Comment แชร์ประสบการณ์หรือความคิดเห็นต่างๆ สิ่งเหล่านั้นคือการทำให้เกิดการมีปฏิสัมพันธ์ ที่ช่วยสร้าง Share of Voice ได้เช่นกัน 

 

ผ่านไปแล้วสำหรับข้อมูลรายละเอียดที่ว่า Share of Voice คืออะไร ซึ่ง Share of Voice คือสัดส่วนของการถูกพูดถึงแบรนด์บน Social Media ที่ถ้าหากแบรนด์ต้องการเป็นที่ถูกพูดถึงมากๆ ก็ต้องมีการสื่อสารที่ดี สื่อสารได้ถูกที่ถูกเวลาและถูกกลุ่มเป้าหมาย ต้องวางแผนการสื่อสารอย่างรอบคอบ มีการเก็บผลสำรวจเบื้องต้นเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายเสมอ 

]]>
B2B คืออะไร ทำความเข้าใจประเภทธุรกิจและหลักการที่ถูกต้อง https://seomasterth.com/b2b-%e0%b8%84%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b0%e0%b9%84%e0%b8%a3/ Thu, 11 Jan 2024 14:09:09 +0000 https://seomasterth.com/?p=27881 B2B คืออะไร ทำความเข้าใจประเภทธุรกิจและหลักการที่ถูกต้อง

 

B2B คืออะไร หลายคนยังสงสัยอยู่เกี่ยวกับประเภทธธุรกิจต่างๆ และถ้าหากยังสับสน บทความนี้จะมาอธิบายและขยายความให้ได้เข้าใจกัน พร้อมกันนั้นจะกล่าวถึงหลักการทำธุรกิจที่เหมาะสมกับ B2B เพื่อประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ดังนี้

 

B2B คืออะไร?

 

B2B คือ Business-to-Business เป็นธุรกิจที่ขายสินค้าหรือบริการให้กับเจ้าของธุรกิจด้วยกัน สินค้าที่ขายอาจเป็นวัตถุดิบ ที่จะนำไปผลิตเป็นสินค้าขึ้นมาและขายให้กับผู้บริโภคต่อไป หรืออาจจะเป็นสินค้าอื่นก็ได้ ภายใต้หลักการที่ว่าลูกค้าของธุรกิจคือธุรกิจ ไม่ใช่ผู้บริโภค ยกตัวอย่างธุรกิจ B2B เช่น 

 

  • ธุรกิจขายผ้าให้กับโรงงานตัดเย็บ  
  • ธุรกิจขายแป้งให้กับโรงงานขนมปัง
  • ธุรกิจขนส่งให้บริการกับร้านค้าออนไลน์
  • ธุรกิจรับทำเว็บไซต์ให้บริการกับธุรกิจออนไลน์
  • ธุรกิจบริการโฆษณาออนไลน์ให้บริการกับธุรกิจออนไลน์

ความแตกต่างระหว่าง B2C และ B2B คืออะไร

 

B2B คือ Business-to-Business ส่วน B2C คือ Business-to-Customer ความแตกต่างคือลูกค้าของธุรกิจ โดย B2B ลูกค้าก็คือเจ้าของธุรกิจ แต่ถ้าหากเป็น B2C ลูกค้าคือผู้บริโภค สินค้าของ B2B มักจะนำไปต่อยอดธุรกิจได้ แต่สินค้าของ B2C มักเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค 

 

ด้วยสินค้าที่แตกต่าง และกลุ่มเป้าหมายก็แตกต่างกัน ทำให้หลักการดำเนินธุรกิจแตกต่างกันออกไปด้วย มีการวางแผนและการสื่อสารที่แตกต่างกันออกไป 

หลักการของการทำธุรกิจ B2B คืออะไร

 

หลักการทำธุรกิจคือต้องพยายามสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมาย เพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าหรือบริการด้วยข้อมูลต่างๆ นำไปสู่การปิดยอดขาย โดยแต่ละธุรกิจก็จะมีแผนของตัวเอง แตกต่างกันออกไปตามสินค้าและบริการ ธุรกิจ B2B ก็เช่นกัน ที่มีแผนธุรกิจแตกต่างกันออกไปตามสินค้าหรือบริการ 

 

แต่ถ้าหากเปรียบเทียบกลุ่มเป้าหมายของ B2B และ B2C จะพบว่ากลุ่มเป้าหมายของ B2B ค่อนข้างแคบกว่า B2C มาก เพราะกลุ่มเป้าหมายของ B2C คือผู้บริโภค คนทุกคนในสังคมล้วนเป็นผู้บริโภค แต่คนในสังคมไม่ได้เป็นนักธุกิจทุกคน ทำให้กลุ่มเป้าหมายของ B2B จะแคบกว่า การสื่อสารจึงต้องเลือกช่องทางเฉพาะ ไม่ควรสื่อสารกว้างเกินไป เพราะจะใช้งบเกินความจำเป็น หลักการของการทำธุรกิจ B2B คือสิ่งเหล่านี้

 

1.สื่อสารช่องทางเฉพาะ

 

อย่างที่ได้กล่าวไปว่ากลุ่มเป้าหมายของ B2B อาจไม่ใช่คนทั่วไป จึงไม่ควรที่จะสื่อสารเป็นวงกว้างมากนัก เพราะการใช้ช่องทางสื่อสารวงกว้าง จะใช้งบประมาณที่สูงเกินความจำเป็น ควรสื่อสารบนช่องทางเฉพาะที่คาดการณ์ว่าเจ้าของธุรกิจหรือนักการตลาดในธุรกิจนั้นๆ จะเข้าไปค้นหาข้อมูล ยกตัวอย่างช่องทางที่ควรหลีกเลี่ยง เช่น การติดโฆษณาตามป้ายรถประจำทาง การติดโฆษณาบนบิลบอร์ดขนาดใหญ่ตามมอเตอร์เวย์ การขึ้นโฆษณาบนจอ LCD ตามอาคารต่างๆ  การขึ้นโฆษณาบนจอ LCD สถานีรถไฟฟ้า เป็นต้น เพราะช่องทางพวกนั้นมีค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจากมีคนเห็นจำนวนมาก แต่คนเหล่านั้นมีสัดส่วนที่เป็นลูกค้าจริงๆ อยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเทียบกับจำนวนเงินที่จ่ายไป 

 

ขณะเดียวกันหากพูดถึงการสื่อสารบนช่องทางเฉพาะ ในยุคปัจจุบันก็มีช่องทางออนไลน์ ที่เหมาะกับทุกธุรกิจไม่ว่าจะเป็น B2B หรือ B2C เพราะการโฆษณาออนไลน์ ตัว Platform จะทำการคัดกรองให้ว่าใครบ้างที่มีแนวโน้มว่าจะสนใจสินค้าของเรา จากความสนใจส่วนตัวของบุคคลนั้นๆ ถือเป็นช่องทางการโฆษณาที่มีศักยภาพสูง ให้ผลลัพธ์ที่ดี

 

2.สื่อสารเน้นความเป็นมืออาชีพ

 

กลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนทำธุรกิจ มักชื่นชอบการสื่อสารที่แสดงออกถึงความเป็นมืออาชีพ เพื่อมาเติมเต็มธุรกิจของเขาให้สมบูรณ์แบบ ทำให้การใช้ข้อความที่แสดงออกถึงความเชี่ยวชาญ เป็นเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญ บางครั้งการสื่อสารแบบเป็นกันเองอาจไม่ได้ผลกับคนกลุ่มนี้เท่าไร การใช้คำพูดติดเล่นติดตลก อาจดึงความสนใจกลุ่มเป้าหมายของ B2B ได้น้อย ดังนั้นควรสื่อสารให้ดูเป็นมืออาชีพจะเหมาะสมกว่า ตั้งแต่การเลือกใช้คำพูดที่ดูเป็นทางการ ใช้ภาษาแบบที่นักธุรกิจคุยกับนักธุรกิจด้วยกัน รวมถึงคำขายหรือคำโฆษณาที่แสดงออกว่าสินค้าของตัวเองนั้นเหมาะสำหรับธุรกิจที่มีศักยภาพ หากเป็นวัตถุดิบ ก็เป็นวัตถุดิบคุณภาพสูง พร้อมให้บริการอย่างเชี่ยวชาญจากมืออาชีพ 

 

3.สื่อสารเน้นเรื่องความคุ้มค่า

 

สิ่งสำคัญที่ลูกค้า B2B มองหาก็คือความคุ้มค่า สิ่งที่จัดซื้อเข้ามาเพื่อต่อยอดธุรกิจ ควรใช้ทุนน้อยที่สุด แต่แลกมาด้วยสินค้าที่ดีที่สุด ซึ่งบ่งบอกถึงความคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป ดังนั้นสิ่งที่ควรสื่อสารออกไป ก็คือความคุ้มค่า การประหยัดต้นทุน การบอกว่าสินค้าของเราจ่ายเพียงเท่านี้ แต่ได้เท่านี้ ซึ่งมันคุ้มค่ากว่า ข้อความเหล่านี้จะสามารถดึงความสนใจลูกค้าได้ เช่น โรงงานผ้าที่จำหน่ายผ้าให้กับโรงงานเสื้อผ้า หากสื่อสารถึงปริมาณเยอะในราคาต้นทุนที่ต่ำกว่าโรงงานผ้าอื่นๆ ก็อาจทำให้โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าให้ความสนใจในโรงงานนั้น หรือการใช้งานได้ยาวนาน ไม่ต้องซื้อซ้ำบ่อย ก็สื่อสารถึงความคุ้มค่าได้เช่นกัน

 

4.พยายามรักษาฐานลูกค้าเอาไว้

 

สำคัญมากสำหรับการทำธุรกิจของ B2B คือควรพยายามรักษาฐานลูกค้าเก่าเอาไว้ให้ดี แม้ว่าการรักษาฐานลูกค้าเก่าจะสำคัญกับทุกธุรกิจ แต่สำหรับ B2B สำคัญกว่า B2C เพราะกลุ่มเป้าหมายมีความเฉพาะเจาะจง เป็นกลุ่มที่แคบกว่าลูกค้า B2C พอสมควร การหาลูกค้าใหม่นั้นยากกว่า B2C จึงควรรักษาฐานลูกค้าเก่าเอาไว้ให้ดี พยายามสานสัมพันธ์กับลูกค้าเสมอ ด้วยกลยุทธ์ต่างๆ เช่น การสื่อสารเป็นประจำ หรือการแจกส่วนลดสำหรับลูกค้าเก่า หรือมอบสิทธิพิเศษอื่นๆ ที่จะไม่ทำให้ลูกค้าเปลี่ยนใจไปหาเจ้าใหม่ 

 

ทั้งหมดนี้ก็เป็นข้อมูลรายละเอียดไขข้อสงสัยว่า B2B คืออะไร หากใครรู้ตัวว่ากำลังดำเนินธุรกิจในรูปแบบนี้อยู่ อย่าลืมนำเอาหลักการไปปรับใช้ให้เหมาะสม เพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น 

]]>
Brand Awareness คืออะไร ทำไมธุรกิจจึงต้องให้ความสำคัญมาก https://seomasterth.com/what-is-brand-awareness/ Wed, 10 Jan 2024 14:03:02 +0000 https://seomasterth.com/?p=27776 ในการทำธุรกิจ หรือสร้างแบรนด์ใดขึ้นมาก็ตาม เรื่องของ “Brand Awareness” คือสิ่งที่เจ้าของต้องใส่ใจเป็นอย่างมาก เพราะเปรียบได้กับภาพลักษณ์ที่ส่งต่อถึงอนาคต บ่งบอกความรู้สึกจากลูกค้าที่พบเห็นได้ชัดเจน หลายคนที่ยังมีข้อสงสัยว่า Brand Awareness คืออะไร แล้วทำไมต้องให้ความสำคัญไม่แพ้กับเรื่องอื่น ลองมาหาคำตอบทั้งหมดได้เลย

Brand Awareness คืออะไร

Brand Awareness คือ การสร้างการรับรู้ของแบรนด์ซึ่งพยายามสื่อสารออกไปสู่กลุ่มเป้าหมาย เน้นภาพลักษณ์ที่กระตุ้นความรู้สึกเชิงบวก ความน่าเชื่อถือ และดึงดูดให้พวกเขาเปลี่ยนมาเป็นลูกค้าได้อย่างรวดเร็วมากที่สุด มากไปกว่านั้นยังต้องสร้างการจดจำกับคนที่พบเจอทั่วไป เมื่อพวกเขาเห็นสินค้า / บริการใดก็ตามจะต้องนึกถึงแบรนด์ของคุณในลำดับต้น ๆ เสมอ จึงจะถือว่าประสบความสำเร็จ

ทั้งนี้การทำ Brand Awareness อาจมีได้ทั้งสร้างชื่อแบรนด์ให้จดจำง่าย เมื่อเวลาผ่านไปคนก็จะเรียกชื่อแบรนด์และเข้าใจทันทีว่าคือสินค้า บริการอะไร เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเรียก “มาม่า”, น้ำยาล้างจานเรียก “ซันไลต์”, น้ำอัดลมสีดำเรียก “โค้ก” หรือ “เป๊ปซี่”, ผงซักฟอกเรียก “แฟ้บ”, ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเด็กเรียก “แพมเพิส” เป็นต้น

หรืออีกเทคนิคที่ธุรกิจจำนวนมากนิยมใช้คือ การสร้างสโลแกนให้คล้องจอง จำง่าย และสื่อถึงสินค้า / บริการ ชัดเจน เช่น หิวเมื่อไหร่ก็แวะมา 7-11, กินอะไร ๆ กินอะไร ไปกิน MK, คิดถึงสีฟ้าเวลาหิว,  โก๋แก่ มันทุกเม็ด, มิสทีนมาแล้วค่ะ, อยากรู้เรื่องยาคูลท์ ถามสาวยาคูลท์สิคะ, กรอบเกลียว เคี้ยวโปเต้, “คิดจะดื่มน้ำ ดื่มคริสตัล, มายมิ้นท์ พูดแล้วหอม, โป๊ยเซียน ใช้ดม ใช้ทา ในหลอดเดียวกัน ฯลฯ

ความสำคัญของ Brand Awareness ต่อธุรกิจ

เมื่อไหร่ก็ตามที่ลูกค้าสามารถจำชื่อแบรนด์หรือชื่อธุรกิจของคุณได้สำเร็จเมื่อเขานึกถึงสินค้า / บริการนั้น ๆ ก็เท่ากับการสร้าง Brand Awareness ประสบผลตามเป้าหมายที่คาดหวัง ซึ่งความสำคัญของเรื่องดังกล่าวสามารถแบ่งออกได้ ดังนี้

1. ได้เปรียบคู่แข่งอย่างชัดเจน

หากมีคนจำชื่อแบรนด์ได้ย่อมเกิดความได้เปรียบมากกว่าคู่แข่งแบบไม่ต้องสงสัย แม้ความชอบของบุคคลอาจแตกต่างกันออกไปแต่อย่างน้อยนั่นบ่งบอกว่าธุรกิจคุณเกิดการรับรู้วงกว้าง และถ้าใครสักคนจะแนะนำสินค้า / บริการประเภทนั้น ๆ ให้คนอื่นรู้จักย่อมต้องมีชื่อของแบรนด์คุณแบบไม่ต้องสงสัย

2. เพิ่มโอกาสสร้างยอดขาย

เป็นความสำคัญที่ไล่เรียงต่อกันมาจากข้อแรก เมื่อคนรับรู้ในวงกว้าง เกิดการแนะนำบอกต่อ โอกาสที่ลูกค้าใหม่จะเข้าหาย่อมเป็นเรื่องง่ายขึ้น และพอมีคนซื้อก็เกิดยอดขาย ผลกำไรตามมา ธุรกิจสามารถเติบโตได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว

3. สร้างความน่าเชื่อถือต่อตัวแบรนด์

การสร้าง Brand Awareness ในเชิงบวกจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ลูกค้าเกิดทัศนคติสร้างสรรค์ รู้สึกอยากทดลองใช้งาน แม้บางครั้งอาจไม่ได้ชอบพอมากที่สุดแต่ก็สามารถเป็นตัวแทนหากไม่สามารถซื้อแบรนด์ที่ใช้ประจำได้

4. ต่อยอดความสำเร็จและช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับแบรนด์

เมื่อแบรนด์ติดตลาด มีคนพูดถึง เป็นที่รู้จักกับผู้คนวงกว้างก็สามารถต่อยอดเพิ่มเติมไลน์สินค้า / บริการอื่น ภายใต้แบรนด์เดิม ขยายธุรกิจ แตกกลุ่มผลิตภัณฑ์ภายใต้ความไว้วางใจที่ลูกค้ามอบให้ ยิ่งถ้ายอดขายดี การตอบรับน่าพึงพอใจ มูลค่าตัวแบรนด์ก็ยิ่งพุ่งแบบหยุดไม่อยู่

แนวทางการสร้าง Brand Awareness ให้ประสบผลสำเร็จ

ไม่ว่าธุรกิจไหนต่างก็อยากให้ตนเองมีผลลัพธ์ที่ดีเมื่อเริ่มต้นทำแบรนด์ แต่การจะสร้าง Brand Awareness ให้ประบความสำเร็จก็จำเป็นต้องรู้เทคนิค กลยุทธ์ เพื่อสร้างความแปลกใหม่ แตกต่าง หรือความสะดุดหู สะดุดตา จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คน ลองนำแนวทางที่จะแนะนำไปใช้กันเลย

1. สร้างสรรค์ แปลกใหม่ แต่ไม่ประหลาดเกินเหตุ

การจะทำ Brand Awareness สิ่งแรกที่คุณต้องคิดคือพยายามเพิ่มไอเดียสร้างสรรค์ ความแตกต่าง แปลกใหม่ แต่ไม่ต้องประหลาดเกินไป เพราะความเป็นแฟชั่นจะเกิดขึ้นแค่ชั่วคราว พอกระแสหายทุกอย่างก็หายตามด้วย เอาให้อยู่บนความพอดี เช่น การตั้งชื่อผลิตภัณฑ์ ตั้งชื่อแบรนด์ ตั้งสโลแกน

2. Content Marketing สำคัญมาก

โลกออนไลน์สามารถสร้างกระแสไวรัลได้อย่างรวดเร็ว ถ้าอยากให้คนรับรู้และคุ้นชินจึงต้องหมั่นทำ Content Marketing อยู่เสมอ เช่น การทำคลิปวิดีโอจนเกิดการแชร์ การพูดถึงวงกว้าง การทำโพสต์เรียกไลค์ เรียกแชร์ หรือแม้แต่การตอบคำถามลูกเพจก็สามารถสร้าง Brand Awareness ได้หากมีสไตล์ชัดเจน และเทคนิคนี้ก็ถือเป็นกลยุทธ์ด้าน Content Marketing ประเภทหนึ่งด้วย

3. พยายามทำให้เกิด User-Generated Content

User-Generated Content คือ เนื้อหาที่ถูกทำขึ้นโดยลูกค้าส่งกลับมายังแบรนด์ เช่น การรีวิวสินค้า การคอมเมนต์ สิ่งสำคัญต้องทำให้เกิดเชิงบวกแล้วคุณจะใช้ประโยชน์จาก User-Generated Content ได้อย่างเต็มศักยภาพ นั่นจะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายรู้สึกเชื่อถือ พึงพอใจ และอยากเข้ามาทดลองใช้มากขึ้น

4. สร้าง Brand Value ควบคู่ไปด้วย

การสร้าง Brand Value หรือ จุดยืนของแบรนด์จะทำให้กลุ่มเป้าหมายรู้สึกถึงความพึงพอใจ ความโดดเด่น เข้าใจถึงอัตลักษณ์ของแบรนด์ได้ชัดเจน นำมาซึ่งความไววางใจและอยากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนธุรกิจของคุณ

5. การทำ Digital PR หรือ Press Release

ปัจจุบันมีสำนักข่าวใหญ่ทั้งไทยและต่างประเทศ เปิดช่องทางให้เราซื้อบริการลงโฆษณาบนเว็บไซต์เพื่อโปรโมทข่าวสาร อีเว้นท์ หรือกิจกรรมของบริษัท ด้วยการเป็นเว็บใหญ่มีผู้คนเข้าใช้เว็บไซต์เป็นจำนวนมาก จะส่งผลดีต่อ Brand Awareness และส่งผลดีต่อ SEO อีกด้วย

สรุป

การสร้าง Brand Awareness คือ การสร้างภาพจำที่ดีให้กับกลุ่มเป้าหมายที่คุณกำลังนำเสนอเพื่อเปลี่ยนให้คนเหล่านั้นเป็นลูกค้า ซึ่งเทคนิคยอดนิยมมีทั้งการใช้สโลแกน หรือการตั้งชื่อแบรนด์ให้สะดุดตา น่าสนใจ สอดคล้องกับสินค้า / บริการ แต่ไม่แปลกจนมูลค่าลดลง เมื่อเกิดการจดจำได้สำเร็จโอกาสเติบโตของธุรกิจก็ไม่ใช่เรื่องไกลอีกต่อไป

]]>
ROI คืออะไร เรื่องที่คนทำธุรกิจต้องรู้? https://seomasterth.com/roi-%e0%b8%84%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b0%e0%b9%84%e0%b8%a3/ Wed, 10 Jan 2024 13:51:16 +0000 https://seomasterth.com/?p=27765 ROI คืออะไร เรื่องที่คนทำธุรกิจต้องรู้?

 

มาทำความรู้จักกับ ROI คืออะไร ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจ เพราะ ROI เป็นการวัดประสิทธิภาพของการลงทุน ทั้งนี้ความสำคัญของ ROI ช่วยประเมินสถานการณ์ต่อไปของธุรกิจได้ โดยเฉพาะในยามที่ต้องการลงทุนเพิ่ม หรือขยับขยายธุรกิจ ครั้งนี้ทางบทความก็ได้นำเอาข้อมูลความรู้มาฝาก ดังนี้ 

 

ROI คืออะไร?

 

รู้จักกับ ROI ซึ่งย่อมาจาก Return of Investment โดย ROI คือผลตอบแทนจากการลงทุน ธุรกิจควรนำไปใช้ในการคำนวณหาความคุ้มค่า จากสิ่งที่ได้กลับมาจากการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนจากโฆษณา การลงทุนการผลิต การลงทุนด้านการตลาด ฯลฯ หากต้องการทราบมูลค่าของสิ่งที่ได้รับหลังจากที่ลงทุนไปแล้ว สามารถนำ ROI ไปคำนวณได้ 

 

สูตรการคำนวณ ROI คืออะไร

 

%ROI = [(รายได้ – ต้นทุน)/ต้นทุน] x 100

 

ยกตัวอย่างที่ 1 ถ้าหากต้องการคำนวณ ROI ของการลงทุนในโฆษณา Google ด้วยต้นทุน 5,000 บาท หลังจากนั้นผ่านไป 1 เดือนเมื่อมาเก็บข้อมูลพบว่าโฆษณานั้นทำยอดขายได้ 20,000 บาท 

 

%ROI = [(20,000 – 5,000)/5,000] x 100 = 300%

 

ยกตัวอย่างที่ 2 ถ้าหากต้องการคำนวณ ROI ของการลงทุนในหุ้น โดยซื้อหุ้นไป 2,000 บาท แต่ขายได้ 3,000 บาท 

 

%ROI = [(3,000 – 2,000)/2,000] x 100 = 50%

 

ยกตัวอย่างที่ 3 ถ้าหากต้องการคำนวณ ROI ของการลงทุนการทำขนมปังขาย โดยขายได้ 5,000 บาท แต่ซื้อวัตถุดิบมาทำหมดไป 2,000 

 

%ROI = [(5,000 – 2,000)/2,000] x 100 = 150%

แต่การคำนวณ ROI หากคำนวณแบบด้านบน จะเป็นผลลัพธ์ของการคำนวณจากการลงทุนอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้ว ROI จะเป็นประสิทธิภาพของการลงทุนด้านนั้น อย่างเช่นประสิทธิภาพของการยิงแอดโฆษณานั้นๆ ประสิทธิภาพของการลงทุนในวัตถุดิบนั้นๆ เป็นต้น แต่นิยมมากในการนำมาคิดประสิทธิภาพการยิงแอด โดยเฉพาะการคำนวณเปรียบเทียบระหว่างแอดโฆษณาหลายๆ อย่าง เช่น เปรียบเทียบระหว่างแอด Google กับ แอด Facebook

 

ยกตัวอย่าง ใช้เงินยิงแอดทั้งหมด 20,000 บาท เป็นการยิงแอด Google และแอด Facebook ผ่านไป 1 เดือนมาเก็บข้อมูลพบว่าแอด Google ทำยอดขายได้ 40,000 บาท ส่วนแอด Facebook ทำยอดขายได้ 30,000 บาท

 

  • %ROI จากแอด Google = [(40,000 – 20,000)/20,000] x 100 = 100%
  • %ROI จากแอด Facebook = [(30,000 – 20,000)/20,000] x 100 = 50%

ข้อจำกัดของ ROI คืออะไร

 

แม้ว่า ROI จะคำนวณประสิทธิภาพการลงทุน แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมต้นทุนทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องของระยะเวลาในการลงทุน ซึ่งมีผลกับธุรกิจอย่างมาก แต่เวลาคิด ROI จะไม่ได้ครอบคลุมส่วนนี้ รวมถึงค่าเสียโอกาส ความเสี่ยง ภาวะเงินเฟ้อ และอื่นๆ 

 

ประโยชน์ของ ROI คืออะไร

 

ROI มีประโยชน์ต่อการทำธุรกิจ ดังนี้ 

 

1.ช่วยให้รับรู้ประสิทธิภาพการลงทุน

 

ประโยชน์ข้อแรกของการคำนวณ ROI คือจะทำให้เจ้าของธุรกิจหรือนักการตลาดได้รับรู้ถึงประสิทธิภาพการลงทุน เพื่อนำไปต่อยอดการทำธุรกิจต่อ หากได้รู้ถึงประสิทธิภาพที่ค่อนข้างต่ำ อาจยุติการลงทุนในช่องทางนั้น หรืออาจปรับเปลี่ยนแผนธุรกิจ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการลงทุนให้ดีขึ้น 

 

2.ช่วยในการวางแผนธุรกิจในอนาคต

 

การคำนวณ ROI ถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญ เพื่อการวางแผนธุรกิจในอนาคตได้ หากพบว่าประสิทธิภาพการลงทุนเป็นไปในทิศทางที่ดี อาจต่อยอดทำอย่างอื่นเพิ่มเติมได้ หรือพยายามรักษาสภาวะการลงทุนให้คงที่เอาไว้ได้ แต่ถ้าหากพบว่า ROI ต่ำ มีประสิทธิภาพการลงทุนที่ไม่เป็นไปตามเป้า อาจจะวางแผนประหยัดงบการลงทุนในอนาคตได้ หรือปรับเปลี่ยนแผนใหม่ได้ทันเวลา

 

3.ช่วยประเมินสถานการณ์ของธุรกิจ

 

เมื่อนักธุรกิจหรือนักการตลาดคำนวณ ROI ออกมาแล้ว จะทำให้รับรู้ถึงสถานการณ์ของธุรกิจในเวลานั้นได้ ซึ่งจะสามารถประเมินทั้งโอกาสและความเสี่ยงได้ในระดับหนึ่ง จึงช่วยให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ บางรายหากมีการใช้ช่องทางโฆษณาหลายช่อง เมื่อคำนวณ ROI ออกมาแล้ว จะรู้ว่าโอกาสที่จะสร้างการรับรู้หรือปิดยอดขายช่องทางไหนดีที่สุด และรู้ว่าควรปิดการสื่อสารช่องทางไหนไปก่อน

 

4.ช่วยกำหนดเป้าหมายการลงทุน

 

ในการลงทุนแต่ละครั้ง นักธุรกิจหรือนักการตลาดล้วนมีเป้าหมาย ส่วนมากกำหนดเป็นตัวเลข ว่าต้องมียอดขายเท่าไร หรือมี ROI กี่เปอร์เซ็นต์ ทำให้ ROI ช่วยกำหนดเป้าหมายการลงทุนได้ โดยตัวเลข ROI มักอ้างอิงจากที่เคยทำได้ในเดือนก่อนหน้า หรือเป็นค่าเฉลี่ยของหลายๆ เดือนก่อนหน้านั้น การกำหนดเป้าหมายจะช่วยให้การดำเนินงานระหว่างทางเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะถ้าหากมีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว ยอดขายที่เกิดขึ้นระหว่างทางจะช่วยประเมินความเป็นไปได้ในระดับหนึ่ง หากรู้สึกว่ายอดขายขึ้นช้าเกินไป และไกลเป้าหมายแบบไม่สมเหตุสมผล อาจปรับแผนธุรกิจเพื่อเร่งปิดการขายได้

 

5.ช่วยลดความเสี่ยง

 

การคำนวณ ROI ช่วยลดความเสี่ยงได้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะธุรกิจที่มีการยิงแอดหลายช่องทาง เมื่อเห็น %ROI แล้ว สามารถลดงบช่องทางใดช่องทางหนึ่งได้ หากพบว่าประสิทธิภาพการลงทุนในช่องทางนั้นค่อนข้างต่ำ เสี่ยงต่อยอดขายโดยรวม สามารถปิดช่องทางนั้นไปก่อนได้ เพื่อประหยัดงบและเหลือไว้เพียงช่องทางโฆษณาที่คุ้มค่าที่สุด  

 

ค่าที่เหมาะสมของ ROI คืออะไร? 

 

ค่า ROI ที่เหมาะสม ไม่มีกำหนดตายตัว ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของแต่ละธุรกิจ แต่โดยรวมแล้วค่า ROI ที่สูงจะแสดงถึงประสิทธิภาพการลงทุนที่ดี แต่ถ้าหากมีค่าที่ต่ำ ประสิทธิภาพการลงทุนก็ด้อยลงไปด้วย 

 

กล่าวโดยสรุป ROI คือประสิทธิภาพการลงทุน โดยผลลัพธ์ที่สูง ย่อมสะท้อนประสิทธิภาพการลงทุนที่ดี แต่ถ้าหากมีผลลัพธ์ที่ค่อนข้างต่ำ อาจหมายถึงประสิทธิภาพการลงทุนนั้นไม่ดีเท่าที่ควร ซึ่งจะช่วยประเมินสถานการณ์เบื้องต้นของธุรกิจได้ นำไปสู่การกระทำต่อไปภายในธุรกิจ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีกว่า ซึ่งสำคัญมากกับการลงทุนในแต่ละเดือน 

 

]]>