Content – SEO Master บริษัทรับทำ SEO รับดูแลเว็บไซต์ ราคาถูก ครบวงจร https://seomasterth.com SEO MASTER Sat, 13 Jan 2024 21:29:52 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.3.5 https://seomasterth.com/wp-content/uploads/2023/11/cropped-seomaster-icon-32x32.jpg Content – SEO Master บริษัทรับทำ SEO รับดูแลเว็บไซต์ ราคาถูก ครบวงจร https://seomasterth.com 32 32 ตัวอย่าง บทความ SEO ที่ดี พร้อมแนะวิธีการเขียน  https://seomasterth.com/how-to-write-good-article/ Sun, 24 Dec 2023 13:47:43 +0000 https://seomasterth.com/?p=26915 ตัวอย่าง บทความ SEO ที่ดี พร้อมแนะวิธีการเขียน 

 

ตัวอย่างบทความ SEO ที่ดี เป็นสิ่งที่สามารถใช้อ้างอิงในการเขียนบทความ SEO ได้ ครั้งนี้จะมาแนะนำการดูตัวอย่างบทความ SEO ที่ดี ว่าสามารถดูได้จากที่ไหนบ้าง และควรสังเกตที่ส่วนไหนของบทความเหล่านั้นบ้าง เพื่อนำมาใช้ให้ถูกต้อง ครั้งนี้ทางบทความก็ได้รวบรวมมาให้แล้ว พร้อมแนะวิธีเขียนบทความ SEO ที่ดีมาฝาก ดังนี้ 

 

ตัวอย่าง บทความ SEO ที่ดี เป็นอย่างไร

 

ตอบคำถามแรกสำหรับตัวอย่างบทความ SEO ที่ดีนั้นจะต้องเป็นอย่างไร ก็คือจะต้องติดหน้าแรกของเว็บ Search Engine โดยเฉพาะ Google ที่มีคนใช้งานจำนวนมาก ยิ่งติดอันดับสูงเท่าไร ยิ่งหมายความว่าบทความนั้นมีคุณสมบัติของการเป็นบทความ SEO ที่ดี และยิ่งถ้าหากเป็นบทความติดหน้าแรกของการค้นหาด้วย Keyword ยอดนิยม (เป็นคำที่ถูกค้นหาเยอะ) ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าบทความ SEO นั้นมีศักยภาพมาก 

ตัวอย่าง บทความ SEO ที่ดี ดูได้จากที่ไหน

 

ตัวอย่างบทความ SEO ที่ดี หาดูได้ง่ายๆ โดยการค้นหาคำใดคำหนึ่งสักคำ ในเว็บไซต์ Google จากนั้นจะมีการแสดงผลลัพธ์ขึ้นมา บทความอันดับแรกนั่นเองที่เป็นบทความ SEO ที่ดี ซึ่งต้องไม่ใช่บทความที่มีคำว่า Sponsered หรือคำว่าโฆษณา กำกับอยู่ หากมีเนื้อหาโฆษณาขึ้นมา ให้นับบทความแรกหลังจากโฆษณาเหล่านั้น จากนั้นลองสังเกตดูส่วนประกอบต่างๆ ที่แสดงบน Google ว่าบทความนั้นเป็นอย่างไรบ้าง โดยยังไม่จำเป็นต้องคลิกเข้าไปอ่านบทความเต็ม ส่วนประกอบที่ควรสังเกต ได้แก่ 

 

1.Title 

 

Title คือชื่อเรื่อง/ชื่อหัวข้อของเนื้อหานั้นๆ ซึ่งจะปรากฏด้วยสีน้ำเงิน ด้วยขนาด Text ที่ใหญ่ที่สุด ให้ลองสังเกตดูว่า Title ของตัวอย่างบทความ SEO ที่ดีบทความนั้นเป็นอย่างไรบ้าง มีการวาง Keyword ไว้ตรงไหนของ Title แล้วมีความยาวของ Title เท่าไร จำนวนกี่คำ เรียบเรียงเป็นอย่างไร เพื่อนำมาปรับใช้กับบทความของตัวเอง

 

2.URL 

 

URL คือลิงค์ของเนื้อหานั้น ซึ่งจะอยู่ด้านบนของ Title ด้วย Text ขนาดเล็กกว่า ให้ลองสังเกตบริเวณ Slug ว่าบทความนั้นมีการตั้งชื่อ Slug ว่าอย่างไรบ้าง ใส่ Keyword เอาไว้ตรงไหนใน Slug และใช้ Slug เป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ ซึ่ง Slug จะอยู่ส่วนท้ายของลิงค์ คือ www.(ชื่อเว็บ).com/(Slug) แต่ถ้าหากปรากฏในหน้า Google จะแสดงแบบนี้ www.(ชื่อเว็บ).com > (Slug) 

 

3.Meta Description 

 

Meta Description เป็นคำอธิบายสั้นๆ ของเนื้อหานั้น ซึ่งจะปรากฏอยู่ใต้ Title บนหน้า Google ให้ลองสังเกตจากตัวอย่างบทความ SEO ที่ดี ว่าส่วนนี้มี Keyword อยู่ตรงไหนบ้าง และมีกี่คำ 

 

4.Featured Snippet 

 

ส่วนนี้จะเป็นกล่องข้อความขนาดใหญ่ ที่สรุปคำตอบของเนื้อหานั้นพอสังเขป ให้คนอ่านสามารถทำความเข้าใจรายละเอียดนั้นได้คร่าวๆ โดยไม่จำเป็นต้องคลิกเข้าไปอ่านเนื้อหาด้านใน ซึ่งการค้นหาด้วย Keyword บางคำก็ขึ้น แต่บางคำก็อาจจะไม่ขึ้น สำหรับ Keyword ที่ค้นแล้วขึ้นส่วนนี้ สามารถสังเกตการเขียนของบทความนั้นเอาไว้ใช้เป็นแนวทางได้เช่นกัน 

 

การเขียนบทความ SEO สามารถสังเกตตัวอย่างบทความ SEO ที่ดี ที่แสดงบน Google เพื่อเป็นแนวทางในการเขียนบทความได้ แนะนำว่าไม่ควรสังเกตเฉพาะบทความอันดับแรกเพียงบทความเดียว แต่ควรสังเกตบทความ 5 อันดับแรกเป็นอย่างต่ำ แล้วลองลิสต์เอาไว้ว่าตัวอย่างเหล่านั้น ได้ใส่ Keyword เอาไว้อย่างไรบ้าง เพื่อนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับบทความของตัวเอง

ตัวอย่าง บทความ SEO ที่ดี มีคุณสมบัติเป็นอย่างไร

 

หลังจากที่ได้ลองสังเกตบทความ SEO ที่ดี จากส่วนประกอบต่างๆ ที่แสดงบนหน้า Google SERP ไปแล้ว ให้ลองคลิกเข้าไปอ่านเนื้อหาเต็มที่บทความแรก และสังเกตการวาง Keyword ในเนื้อหานั้น พร้อมกับส่วนประกอบอื่นๆ ซึ่งบทความ SEO ที่ดี มักมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

 

1.Keyword 1-2% ของเนื้อหา

 

บทความ SEO ที่ดี ควรมี Keyword 1-2% ของเนื้อหา เช่นเนื้อหาความยาว 1,000 คำ ก็ควรมี Keyword ในเนื้อหานั้นประมาณ 10-20 คำ เป็นต้น ทั้งนี้ควรจัดวาง Keyword ให้กระจาย ไม่วกวนเกินไป เพราะถ้าหาก Keyword วนไปวนมาเยอะๆ Google อาจมองว่าเป็น Spam ซึ่งส่งผลทำให้ไม่ติดอันดับต้นๆ และที่สำคัญควรมี Keyword ในหัวข้อ (Title) ด้วย

 

2.เนื้อหามีความยาว 700 คำขึ้นไป 

 

เนื้อหาที่สั้นเกินไป Google ไม่ค่อยชอบเท่าไร และมักไม่ติดหน้าแรก ไม่ติดอันดับต้นๆ จึงควรเป็นเนื้อที่มีความยาวอย่างน้อย 700 คำขึ้นไป

 

3.มีภาพ/วิดีโอ ประกอบ

 

บทความ SEO ที่ดี ควรเป็นเนื้อที่ไม่ได้มีเฉพาะข้อความเพียงอย่างเดียว แต่ควรมีสื่ออื่นๆ ประกอบด้วย เช่น ภาพประกอบในบทความ หรือคลิปวิดีโอประกอบ หากใช้เป็นภาพประกอบ แนะนำให้ตั้งชื่อภาพให้มี Keyword ในชื่อภาพด้วย

 

4.มีการแบ่งหัวข้อ

 

ควรแบ่งเนื้อหาออกเป็นข้อๆ เป็น Headline 1, Headline 2, ……. ซึ่ง Headline 1 คือชื่อหัวข้อใหญ่สุดหรือชื่อเรื่อง (Title) จากนั้นแบ่งหัวข้อย่อยๆ แล้วใส่ Keyword ลงใน Headline นั้นๆ ด้วย เช่น บทความที่มี Keyword ว่า ฟันคุด ควรใส่ Keyword ใน Headline แบบนี้

 

Headline 1 : ฟันคุด คืออะไร ทำความเข้าใจที่นี่

Headline 2 : ฟันคุด คืออะไร, เมื่อไหร่ที่ควรผ่าฟันคุดออก, หลังผ่าตัดฟันคุด ควรทำอย่างไร 

 

ตัวอย่างบทความ SEO ที่ดี สามารถใช้เป็นแนวทางในการเขียนบทความได้ แต่สิ่งที่ต้องระวังคือการ Copy เนื้อหา เพราะ Google ไม่ชอบเนื้อหาลอกเลียนแบบ ดังนั้นการดูเป็นแนวทาง ต้องนำมาปรับใช้และเขียนใหม่ให้ไม่ซ้ำกับเนื้อหานั้น มีการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับเนื้อหานั้น พยายามอ่านแล้วทำความเข้าใจพร้อมกับจับใจความและเขียนใหม่ในแบบฉบับของตัวเอง หากเป็นเนื้อหาลอกเลียนแบบ ไม่มีทางที่จะติดหน้าแรกอย่างแน่นอน

]]>
เวลาโพสบนโซเชียลมีเดียเวลาไหนดีที่สุด 2024 https://seomasterth.com/when-to-post-on-social-media-2024/ Sat, 16 Dec 2023 13:25:38 +0000 https://seomasterth.com/?p=26413 ลงรูป โพสรูป อัพ Content เวลาไหนดีที่สุด

       ในปัจจุบันนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าบนโลกโซเชียลมีเดียมีรูปภาพ คอนแทนต์ต่าง ๆ ปรากฏบนหน้าฟีดจำนวนมหาศาล  และในทุก ๆ แพลตฟอร์มก็จะมีช่วงเวลาการโพสต์คอนเทนต์ที่ได้รับ Engagement สูงสุดแตกต่างกันออกไป ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่บางรูปผู้ชมจะไม่เห็นและมี Engagement น้อยมาก แล้วต้องลงรูปเวลาไหน เวลาโพสต์ social media 2024 ถึงจะปังที่สุด

 

Content ลงเวลาไหนดีบน 4 แพลตฟอร์มสุดฮิต

  • Facebook

     เป็น App Social Media “เครือข่ายสังคมออนไลน์” ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลกและเหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการเครื่องมือในการสื่อสารและเชื่อมต่อกับลูกค้า  ติดต่อสื่อสารกับเพื่อนในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ลงตรอรี่ Story โพสต์ แฟนเพจ ข้อความ ภาพ เสียง วิดีโอ ข้อดีของเฟซบุ๊กในทางธุรกิจคือสมัครใช้งานง่าย จึงเป็น แพลตฟอร์ม อันดับ 1 ของชาวไทยอย่าง ‘Facebook’  ที่มีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตอายุ 16 – 64 ปี เข้าถึงมากกว่า 93%  เรียกได้ว่ายากที่จะมีใครมาโค่น ดังนั้นการแข่งขันทางการตลาดจึงสูงตามไปด้วย และที่สำคัญจะต้องดูช่วงเวลาลงรูปในเฟสบุ๊ค อีกด้วย จะทำให้ Content ของเราเป็นที่นิยม

        ช่วงเวลาโพสต์ facebook ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการลงรูป โพสรูป อัพ Content ใน Facebook คือ

“วันจันทร์” , “วันพุธ”, “วันศุกร์” ระหว่างเวลา ช่วงเช้า 7.00 น. และ ตอนเย็น 15.15 – 19.00 น ส่วนวันและเวลาที่ไม่ควรโพสต์บน Facebook วันหยุดสุดสัปดาห์

 

  • Instagram

     เป็น App Social Media ที่ใช้สำหรับ  “รู้จักตัวตนของกันและกัน”  อินสตาแกรมเป็นชุมชนบนโลกโซเชียลที่มีสีสันมาก และมีประโยชน์ในการเข้าถึงตัวผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ผ่านรูปภาพสวย ๆ วิดีโอ สตอรี่ ที่สำคัญจะต้องดูช่วงเวลาลงรูปในไอจี อีกด้วย จะทำให้ Content ของเราเป็นที่นิยม

        ช่วงเวลาลงไอจีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการลงรูป โพสรูป อัพ Content ใน Instagram คือ

 “วันอังคาร” , “วันพุธ”, “วันศุกร์” ระหว่างเวลา ช่วงเช้า 9.00 – 9.30 น. และ ตอนเย็น 20.00 น ส่วนวันและเวลาที่ไม่ควรโพสต์ คือ วันหยุดสุดสัปดาห์ เพราะคนส่วนใหญ่มักจะใช้เวลาไปกับกิจกรรมอื่นๆ อาจส่งผลให้คอนเทนต์บนแพลตฟอร์มไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร

 

  • TikTok

     เป็น App Social Media ยอดนิยมที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้าง รับชม และแบ่งปันวิดีโอ หรืออาจจะบอกได้ว่าเป็น “ ฟีดวิดีโอสั้น ๆ” ที่ที่ตั้งค่าเป็นเพลงและเอฟเฟกต์เสียงต่าง ๆ ซึ่งมีความโดเดเด่นด้านความคิดสร้างสรรค์ และทำให้เกิดผู้ติดตามได้ในระดับสูง มีครีเอเตอร์มากหน้าหลายตาเข้ามาสร้างคลิปเป็นจำนวนมาก และที่สำคัญจะต้องดูช่วงเวลาลงรูปในติ๊กต๊อก อีกด้วย จะทำให้ Content ของเราเป็นที่นิยม

        ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการลงรูป โพสรูป อัพ Content ใน Tiltok คือ

        “วันจันทร์” , “วันอังคาร”, “วันศุกร์” ระหว่างเวลา ช่วงเช้า 10.00 น. และ ตอนเย็น 20.00 – 23.00 น 

 

  • Twitter/X

     เป็น App Social Media จำพวกไมโครบล็อก (Micro Blogging) สามารถโพสต์ข้อความสั้น ๆ ว่าตัวเองกำลังทำอะไร หรือ “รีทวิต (Re-tweet)” สิ่งที่ตัวเองสนใจได้ตามต้องการ “ทวิตเตอร์” เป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่โดดเด่นในเรื่องของคอนเทนต์แบบเรียลไทม์ เพราะพฤติกรรมของผู้ใช้งานส่วนใหญ่ชอบเนื้อหาที่เน้นกระแสความสนใจในสังคมเป็นหลัก ที่สำคัญจะต้องดูช่วงเวลาลงรูปในทวิตเตอร์หรือX อีกด้วย จะทำให้ Content ของเราเป็นที่นิยม

          ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการลงรูป โพสรูป อัพ Contentใน Tiltok คือ

          “วันพุธ” , “วันพฤหัสฯ”, “วันศุกร์” ระหว่างเวลา ช่วงเช้า 8.30 – 9.23 น. และ 10.00 น.

 

          ใครที่เป็นสาย Content นักการตลาดสายโซเชียล หรือแบรนด์ต่าง ๆ ที่กำลังมีปัญหาเรื่องของวันเวลาในการโพสต์ สามารถลองนำไปปรับใช้ใน Conten Plan ได้เลยนะ แต่ผลลัพธ์อาจจะไม่ได้เห็นผลมากนัก เพราะจะมีปัจจัยอื่น ๆ อีกด้วยที่จะช่วยส่งเสริม Content ของคุณ เช่น เนื้อหา รูปภาพ มีความน่าสนใจมากน้อยแค่ไหน องค์ประกอบหลากหลายความคิด รวมกันอยู่ใน Content นั่น ๆ อีกด้วย 

]]>
คอนเทนต์ (Content) คืออะไร ทำอย่างไรให้มีคุณภาพ มัดใจลูกค้าได้จริง  https://seomasterth.com/what-is-content/ Sat, 02 Dec 2023 08:45:28 +0000 https://seomasterth.com/?p=25524 คอนเทนต์ (Content) คืออะไร ทำอย่างไรให้มีคุณภาพ มัดใจลูกค้าได้จริง

ทำความรู้จักกับคอนเทนต์แบบจริงจังในบทความนี้ เมื่อในปัจจุบันคำว่าคอนเทนต์ (Content) ถูกใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่บางส่วนอาจยังไม่เข้าใจเรื่องของคอนเทนต์จริงๆ และอยู่ในช่วงศึกษาว่าคอนเทนต์ คืออะไร เพื่อที่จะเข้าถึงและนำไปต่อยอดในการทำการตลาดออนไลน์ได้ ที่สำคัญคอนเทนต์คุณภาพยังสามารถมัดใจลูกค้าได้ด้วย ซึ่งในบทความจะมาอธิบายถึงความหมายของคอนเทนต์และการทำคอนเทนต์คุณภาพแบบเสร็จสรรพ 

คอนเทนต์ คืออะไร?

คอนเทนต์ คือเนื้อหาที่ถูกนำเสนอออกไปด้วยวิธีใดก็ตาม หรือผ่านช่องทางใดก็ตาม หากมีเนื้อหานั่นเองจะถูกเรียกว่าคอนเทนต์ (Content) ความจริงแล้วคอนเทนต์มีมานานมากแล้ว แม้ในยุคที่ยังไม่มีอินเทอร์เน็ต การสื่อสารผ่านโทรทัศน์ ก็มีคอนเทนต์เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นข่าว ละคร โฆษณา หรือรายการโทรทัศน์ ทั้งหมดก็คือคอนเทนต์ แต่ปัจจุบันเมื่อมีออนไลน์เกิดขึ้น คำว่าคอนเทนต์ก็ถูกนำมาใช้มากขึ้น เพราะคนทั่วไปสามารถทำคอนเทนต์ได้เอง ไม่ว่าใครก็ทำคอนเทนต์ได้ แตกต่างจากในยุคโทรทัศน์ที่คนทำคอนเทนต์จะต้องเป็นทีมการผลิตคอนเทนต์โดยเฉพาะ เป็นเหตุให้คอนเทนต์เป็นคำที่คุ้นเคยอย่างเช่นทุกวันนี้

ประเภทคอนเทนต์ คืออะไรบ้าง

หากจะต้องแบ่งประเภทคอนเทนต์ สามารถแบ่งได้หลายแบบ เพราะมีเกณฑ์ในการแบ่งประเภทคอนเทนต์อยู่หลากหลาย ยกตัวอย่างเช่น  

แบ่งตามลักษณะของคอนเทนต์

  • คอนเทนต์เสียง เช่น เพลง, Podcast, รายการวิทยุ   
  • คอนเทนต์ภาพ เช่น ป้ายโฆษณาบน Billboard, Ads โฆษณาบนออนไลน์
  • คอนเทนต์ภาพและเสียง เช่น รายการวาไรตี้, รายการข่าว, ซีรีย์, Music Video, คลิปต่างๆ  

แบ่งตามรูปแบบการนำเสนอคอนเทนต์

  • Blog Content ลักษณะคอนเทนต์ คือการนำเสนอเนื้อหาผ่านบทความ ประกอบไปด้วยข้อความ และภาพประกอบในบทความนั้น หรืออาจจะไม่มีรูปภาพก็ได้ ขึ้นอยู่กับเจ้าของ Blog รูปแบบการนำเสนอผ่าน Blog Content มีหลายแบบแต่ที่พบได้บ่อย คือการเขียนบล๊อกรีวิว การเขียนบล๊อก How to และการเขียนบล๊อกเล่าเรื่องราวต่างๆ
  • Infographic Content ลักษณะคอนเทนต์ คือที่มีการนำเสนอข้อความผ่านรูปภาพ มีข้อความอธิบายอยู่ในนั้นเสร็จสรรพ เป็นภาพที่เน้นการให้ข้อมูล ซึ่งจะเป็นการย่อยข้อมูลหรือสรุปใจความสำคัญมาแล้วให้อยู่ในภาพนั้นๆ 
  • Podcast Content ลักษณะคอนเทนต์ คือการนำเสนอเนื้อหาผ่านเสียง อาจจะเป็นการเล่าเรื่องหรือการเผยแพร่แนวคิดต่างๆ รวมถึงการสอน โดยจะนำเสนอผ่านเสียงเพียงอย่างเดียว 
  • Video Content ลักษณะคอนเทนต์ คือการนำเสนอเนื้อหาผ่านภาพที่มาพร้อมกับเสียง เป็นได้ทั้งคลิปสั้นและคลิปยาว รูปแบบของ Video Content มีเยอะมาก เช่น ซีรีย์, Music Video, คลิปวาไรตี้, คลิปแนะแนว, คลิปสอน, คลิปขายของ เป็นต้น

เทคนิคการทำคอนเทนต์ คืออะไร?

หลังจากทำความรู้จักไปแล้วว่าคอนเทนต์ คืออะไร มาดูที่เทคนิคกันบ้างว่าการจะทำคอนเทนต์ให้ดีนั้นคืออะไร ซึ่งการทำคอนเทนต์ให้ดีจะถูกเรียกว่าคอนเทนต์คุณภาพ สร้างผลลัพธ์ที่ดีได้ตามวัตถุประสงค์ที่วางเอาไว้ ในแง่ของการตลาดออนไลน์ คอนเทนต์คุณภาพจะมัดใจลูกค้าได้ นำมาซึ่งยอดขายและกำไร ต่อจากนี้เราจะมาพูดถึงเทคนิคการทำคอนเทนต์เพื่อมัดใจลูกค้า ดังนี้ 

 

ทำคอนเทนต์ที่เชื่อมโยงกับ Pain point ของกลุ่มเป้าหมาย

ข้อแรกของเทคนิคการทำคอนเทนต์ คือการหยิบเอา Pain point ของกลุ่มเป้าหมายมาใช้ โดย Pain point ก็คือปัญหาที่กลุ่มเป้าหมายต้องเจอ เป็นจุดที่กลุ่มเป้าหมายอยากจะแก้ไข หากมีการทำคอนเทนต์ที่เชื่อมโยงกับ Pain point ก็เหมือนเป็นการขยี้จุดนั้นที่เป็นปัญหาของกลุ่มเป้าหมาย จึงเรียกคะแนนความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายได้ ยิ่งถ้าหากเป็นสิ่งใหม่ที่ยังไม่มีใครนำเสนอมาก่อน จะยิ่งเรียกคะแนนความสนใจได้มากขึ้นไปอีก เหมือนกับเป็นการบอกกลุ่มเป้าหมายว่าเราจะแก้ไขให้คุณได้ ในขณะที่ใครก็ยังไม่เคยทำได้มาก่อนนั่นเอง

 

ทำคอนเทนต์ที่กระตุ้นอารมณ์ของกลุ่มเป้าหมาย

ถัดมาสำหรับเทคนิคการทำคอนเทนต์ คือทำคอนเทนต์ที่กระตุ้นอารมณ์คน เรียกคะแนนความสนใจได้ไม่แพ้กัน ทำให้กลุ่มเป้าหมายมีอารมณ์ร่วมและอินไปกับคอนเทนต์นั้น ผลลัพธ์ที่ได้อาจเป็นการสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ไปจนถึงการเพิ่มยอดขายได้ในที่สุด ขึ้นอยู่กับว่าจะกระตุ้นอารมณ์แบบไหน อาจจะเป็นการสร้างความประทับใจผ่านคอนเทนต์ซึ้งกินใจ หรืออาจจะเป็นการสร้างความตื่นเต้นผ่านคอนเทนต์ขาย เป็นต้น ยกตัวอย่างคอนเทนต์ที่กระตุ้นอารมณ์กลุ่มเป้าหมาย เช่น โฆษณาประกันชีวิตที่มีเนื้อหาซึ้งกินใจ โฆษณา TV direct ที่มีเนื้อหาชวนตื่นเต้น เมื่อนำเสนอการสาธิตสินค้าในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้จริง เป็นต้น 

 

ใช้เทคนิค SEO

เทคนิคการทำคอนเทนต์ (Content) คือการใช้ SEO มักใช้กับคอนเทนต์ออนไลน์เป็นหลัก เพื่อเพิ่มการเข้าถึงเนื้อหาให้มากขึ้น เพราะการทำคอนเทนต์ออนไลน์ แม้ว่าเนื้อหาจะดีแค่ไหน แต่ถ้าทำ SEO ไม่ดี ก็ไม่มีคนหาคอนเทนต์ของเราเจอ และไม่มีคนเห็นสิ่งที่เราจะสื่อ แต่ถ้าหากทำ SEO ที่มีคุณภาพ ก็จะช่วยเพิ่มการเข้าถึงได้ การทำ SEO สำคัญตั้งแต่ตั้งชื่อเรื่อง ตั้งชื่อคลิป การป้อน Keyword ลงไปในเนื้อหา รวมถึงการใส่ #แฮชแทก 

ทั้งหมดนี้ก็เป็นความรู้เกี่ยวกับคอนเทนต์ หลักๆ เลยการทำคอนเทนต์คือการนำเสนอเนื้อหา ปัจจุบันคอนเทนต์ออนไลน์สำคัญต่อการตลาดออนไลน์มาก จึงต้องใส่ใจและให้ความสำคัญ เพื่อให้คอนเทนต์ออกมามีคุณภาพ สร้างผลลัพธ์ที่ดี

]]>