Google – SEO Master บริษัทรับทำ SEO รับดูแลเว็บไซต์ ราคาถูก ครบวงจร https://seomasterth.com SEO MASTER Fri, 16 Feb 2024 10:19:40 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.3.5 https://seomasterth.com/wp-content/uploads/2023/11/cropped-seomaster-icon-32x32.jpg Google – SEO Master บริษัทรับทำ SEO รับดูแลเว็บไซต์ ราคาถูก ครบวงจร https://seomasterth.com 32 32 Google Data Studio หรือ Looker Studio คืออะไร https://seomasterth.com/google-data-studio/ Fri, 16 Feb 2024 10:19:40 +0000 https://seomasterth.com/?p=28352 ในยุคที่ธุรกิจต้องแข่งขันกันด้วยข้อมูล ใครที่ครอบครองข้อมูลมาก และวิเคราะห์ข้อมูลนั้นออกมาได้อย่างถูกต้องแล้ว จะได้เปรียบเหนือคู่แข่ง ทำให้การเก็บข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการทำรีพอร์ตเพื่อเสนอผลลัพธิ์ของข้อมูลออกมาจึงมีความสำคัญมาก ซึ่งในปัจจุบันเครื่องมือที่นิยมใช้ในการจัดการกับข้อมูลจะมีอยู่หลายโปรแกรม เช่น Microsoft Poser BI ,Looker Studio , Tableau โดยในบทความนี้ เราจะมาศึกษา Google Data Studio ว่ามีความสามารถอย่างไรบ้าง และใช้ทำงานอะไรกันครับ

Google Data Studio คืออะไร?

อย่างที่ทราบกันอยู่แล้วว่า Looker Studio หรือชื่อเดิมว่า Google Data Studio คือเครื่องมือที่จะช่วยรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่างๆ เพื่อนำมาวิเคราะห์ผลของข้อมูล โดยแสดงออกมาเป็นรีพอร์ตในรูปของ กราฟ ตาราง แผนภูมิต่างๆ เพื่อนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ในการปรับปรุงกลยุทธ หรือการทำตลาดของธุรกิจ เราจะเห็นได้ว่าปัจจุบันบริษัทหรือธุรกิจขนาดใหญ่มีการใช้ข้อมูลเพื่อปรับปรุงการออกแพคเกจหรือการให้บริการอยู่มากมายเช่น Facebook ที่ถือครองข้อมูลของบุคคลนับล้าน แล้วนำมาเป็นข้อมูลให้ผู้ซื้อโฆษณาเลือกกลุ่มเป้าหมายเพื่อการยิงโฆษณาให้ถึงกลุ่มลูกค้าที่ต้องการ ซึ่ง Looker Studio เปิดให้ผู้ใช้งานใช้งานได้ฟรี แต่หากต้องการข้อมูลที่มากขึ้นอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเข้าถึงข้อมูลนั้น

ภาพตัวอย่าง Looker Studio จาก www.rockcontent.com

องค์ประกอบการทำงานของ Looker Studio

Looker Studio จะมีการทำงานอยู่สองส่วนคือ ส่วนของ Data Sources และส่วนของ Report หรือ Dashboard 

  • Data Sources

    ภาพ Data Sources ใน Looker Studio

ในส่วนนี้จะเป็นแหล่งข้อมูลให้ผู้ใช้งานได้เลือกว่าจะดึงข้อมูลประเภทใด จาก Tools ตัวใด เพื่อนำมาประมวลผล โดย Looker Studio มี Tools ให้ผู้ใช้เลือกใช้งานอยู่เป็นจำนวนมาก โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มดังนี้

Google Connectors เช่น MySQL, AppSheet, BigQuery, Google Sheets, Google Analytics, Google Ads, Google Search Console และ YouTube Analytics

Partner Connectors  899 connectors (Update Feb 2024) เช่น Facebook Ads, Tiktok Ads และ Hubspot

Open Source Connectors เช่น Github และ Stackoverflow 

โดยผู้ใช้สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมในส่วนของ Connect to Data ได้ที่ www.lookerstudio.google.com/data

 

  • Report หรือ Dashboard

    ภาพ Dashboard จาก www.hevodata.com

 

ในส่วนนี้จะแสดงข้อมูลที่ดึงมาจาก Data Sources มาประมวลผลเป็น Report ให้ผู้อ่านเข้าใจและเห็นภาพของการทำงานทั้งหมด Looker Studio มีเทมเพลตที่สวยงามให้ผู้ใช้ได้เลือกมาใช้งาน สำหรับผู้ที่สนใจเลือกเทมเพลต สามารถเลือกได้จากที่นี่ https://lookerstudio.google.com/gallery?category=marketing

 

เริ่มต้นใช้งาน Looker Studio

  1. Looker Studio สามารถใช้งานได้โดยผ่านเว็บไซต์ www.lookerstudio.google.com โดยผู้ใช้สามารถ Login ผ่าน Google Account เพื่อใช้งานได้ทันที 
  2. หลังจากที่ login เข้ามาแล้ว ในหน้าหลักจะมี Templates ให้เลือกใช้งาน ตามความเหมาะสมของงาน ซึ่งถ้าไม่ต้องการเลือก Templates ที่มีให้ก็สามารถกดสร้าง Blank Report เพื่อสร้างหน้าเปล่า (Templates บางอันอาจมีค่าใช้จ่ายในการซื้อมาใช้งาน) โดยเมื่อเราสร้าง Report แล้ว ในหน้านี้จะแสดงรายชื่อ Report ที่เคยสร้างไว้ เพื่อสะดวกต่อการแก้ไข หรือแชร์ให้ผู้อื่น

    ภาพหน้าหลักของ Looker Studio

  3. ทดสอบสร้าง Report โดยเลือกที่รายงานเปล่า > เพิ่มข้อมูลลงในรายงาน > เชื่อมต่อข้อมูล โดยเลือกที่ BigQuery

    ภาพการเลือกแพลตฟอร์มในการดึงข้อมูล

  4. เลือกข้อมูลที่ต้องการ โดยในตัวอย่างเลือกข้อมูลเกี่ยวกับ Covid 19 แล้วเพิ่มเข้ามาใน Report ของเรา

  5. เมื่อได้ข้อมูลที่ต้องการแล้ว ในขั้นตอนนี้ ผู้ใช้สามารถเลือกชุดข้อมูลที่อยู่ด้านขวามาวางไว้ที่ Report เพื่อนำมาประมวลผล และผู้ใช้สามารถเลือกรูปแบบของ Report ได้ในช่องเมนูแผนภูมิ ซึ่งหลังจากเลือกข้อมูลแล้ว Looker Studio จะประมวลผล และสร้างกราฟออกมาให้ทันที

    ภาพตัวอย่างการสร้าง Report จากชุดข้อมูล

  6. หลังจากสร้าง Report เสร็จ หรือต้องการเพิ่มผู้ใช้งานในทีม Looker Studio ก็สามารถทำได้ไม่ยาก เพียงแค่แชร์ให้บุคคลอื่น ผ่านปุ่มแชร์ ( ) เพียงเท่านี้ก็สามารถแชร์ Report ให้ผู้อื่นได้ทันที

จุดเด่นของ Looker Studio

  • มีหน้า Dashboard ให้ผู้ใช้สามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างอิสระ สามารถปรับให้มีสีสัน ธีม รูปแบบกราฟ ตาราง ได้ตามต้องการ หรือหากไม่ต้องการปรับแต่งเอง ก็สามารถดาวน์โหลดได้จาก Store
  • มีข้อมูลจากแพลตฟอร์มต่างๆให้เลือกใช้งานได้อย่างอิสระ ทำให้ใช้งานได้อย่างหลากหลาย จึงเหมาะกับงานที่ต้องใช้ข้อมูลปริมาณมาก
  • มีข้อมูลที่อัพเดทลาสุดให้เลือกใช้งานได้ตลอดเวลา Looker Studio สามารถอัพเดทข้อมูลใน Dashboard ให้เป็นข้อมูลล่าสุดได้โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องไปค้นหาและนำมาเพิ่มด้วยตนเอง
  • ง่ายต่อการแชร์ ส่งต่อ หรือเพิ่มสมาชิกในทีม เพียงแค่มี Account ของ Google ก็สามารถแชร์ ให้ผู้อื่นดูข้อมูลได้ หรือเข้ามาแก้ไขก็ได้เช่นกัน

 

สรุป Looker Studio ดีอย่างไร

ในการใช้งาน Looker Studio นั้นจะเหมาะกับงานที่ต้องทำงานร่วมกับโปรแกรมในชุดของ Google เป็นหลัก ซึ่งข้อมูลของ Google นั้นจะมีการอัพเดทให้เป็นปัจจุบันตลอด ทำให้การเรียกใช้ข้อมูลเป็นจุดแข็งของ Looker Studio ในส่วน Template นั้น Looker Studio มีให้ผู้ใช้เลือกหยิบมาใช้ได้โดยที่ไม่ต้องออกแบบใหม่ทั้งหมด ทำให้ประหยัดเวลาในการใช้งานได้เป็นอย่างมาก และอีกจุดเด่นที่สำคัญคือการใช้งานได้ฟรี ทำให้เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นใช้งาน หรือนักศึกษาเป็นอย่างมาก

]]>
Google Zeitgeist คืออะไร อยากทำการตลาดกับคำค้นต้องรู้จักสิ่งนี้  https://seomasterth.com/what-is-google-zeitgeist/ Fri, 19 Jan 2024 18:25:48 +0000 https://seomasterth.com/?p=28033 Google Zeitgeist คืออะไร อยากทำการตลาดกับคำค้นต้องรู้จักสิ่งนี้ 

 

Google Zeitgeist คืออะไร มาให้สงสัยกันอีกหนึ่งคำ และเพื่อไขข้อข้องใจบทความนี้ก็เอาข้อมูลรายละเอียดมาฝากอีกเช่นเคย เกริ่นสักนิกว่า Google Zeitgeist เกี่ยวข้องกับคำค้น และนั่นสำคัญมากกับคนที่อยากทำการตลาดที่เกี่ยวกับการค้นหาบนอินเทอร์เน็ต ซึ่ง Google Zeitgeist จะช่วยให้รู้ว่าผู้คนนิยมค้นหาคำว่าอะไร สามารถนำมาปรับใช้กับธุรกิจเราได้อย่างไรบ้าง เพื่อให้คนค้นหาคำเหล่านั้น มาเจอกับเนื้อหาของเรา หรืออาจจะทำให้รู้ว่าความสนใจของคนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรานั้นอยู่ตรงไหน จะได้ทำการตลาดได้เหมาะสม 

 

Google Zeitgeist คืออะไร

 

Google Zeitgeist คืออะไร มาดูคำอ่านกันก่อน โดย Google Zeitgeist อ่านว่า “กูเกิ้ล ไซท์ไกสท์” สิ่งนี้คือสุดยอดคำค้นแห่งปี โดยในแต่ละปี Google จะเก็บข้อมูลการค้นหาของผู้ใช้งาน Google เอาไว้ ว่าคำไหนถูกค้นหาเป็นจำนวนเท่าไร จากนั้นพอถึงสิ้นปีจะมีการนำข้อมูลนั้นมาจัดอันดับ และรายงานออกมาเป็นข้อมูลสถิติของสุดยอดคำค้นหา โดยจะมีการแบ่งหมวดหมู่ออกมา ข้อดีของสิ่งนี้ก็คือการทำให้รู้ว่าความนิยมหรือความสนใจของผู้คนในสังคมคืออะไร สิ่งนี้ช่วยธุรกิจได้ เพราะการทำธุรกิจที่สอดคล้องกับความนิยม จะได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้น

วิธีการใช้งาน Google Zeitgeist คืออะไร

 

การใช้งาน Google Zeitgeist คือการดูความนิยมของคำค้นแห่งปี หากต้องการทดลองใช้งาน ลองค้นคำว่า “Google Zeitgeist” แล้วจะมีลิงค์ Year in Search (ปี ค.ศ.) ขึ้นมา แล้วลองคลิกเข้าไปจะพบว่าเป็นหน้าเพจของ Google Trend ซึ่งถ้าหากใครเคยใช้งาน Google Trend ก็จะรู้ว่าหน้าเว็บเพจนี้คือการดูความนิยมของคำค้นนั่นเอง สามารถนำ Keyword ที่ต้องการเปรียบเทียบกันมาตรวจสอบใน Google Trend ได้ หรือดูความนิยมของคำค้นในวันนั้นๆ ได้ 

แต่ถ้าหากคลิกลิงค์หลังจากที่ค้นคำว่า Google Zeitgeist จะเข้าสู่ Google Trend ที่รายงานผลคำค้นประจำปีเลย วิธีการใช้งานก็สามารถคลิกเลือกปีได้ว่าจะดูสุดยอดคำค้นของปีไหน โดยปกติแล้วปีแรกที่ปรากฏจะเป็นปีล่าสุดที่ Google เก็บข้อมูลไว้ได้ แต่ถ้าหากอยากดูข้อมูลย้อนหลังกลับไปปีก่อนหน้า ก็สามารถเปลี่ยนตัวเลือกเป็นปีนั้นๆ ได้ วิธีการใช้งาน Google Zeitgeist คือ

 

  1. เลือกปีที่ต้องการ
  2. เลื่อนลงมาที่ใต้คลิป YouTube จะมีปุ่ม “Explore the Google Trends list (ปี ค.ศ. ที่เลือก)” หรือ “สำรวจลิสต์ Google เทรนด์ (ปี ค.ศ. ที่เลือก)” คลิกเข้าไปที่ปุ่มนั้น
  3. เมื่อคลิกเข้าไปแล้ว จะปรากฏสุดยอดคำค้นในระดับโลก (Global) มาให้ โดยจะแบ่งเป็นหมวด ได้แก่ 

 

  • ข่าว
  • บุคคล
  • นักแสดง
  • นักกีฬา
  • เกม 
  • นักดนตรี
  • ภาพยนตร์ 
  • สูตรอาหาร
  • เพลง
  • ทีมกีฬา
  • รายการโทรทัศน์
  • สวนสาธารณะยอดนิยม (ค้นหาด้วย Google Maps)
  • สนามกีฬายอดนิยม (ค้นหาด้วย Google Maps)
  • พิพิธภัณฑ์ยอดนิยม (ค้นหาด้วย Google Maps)

 

4.สามารถดูสุดยอดคำค้นเฉพาะประเทศได้ ด้วยการคลิกเลือกตรง Global แล้วเปลี่ยนเป็นประเทศที่ต้องการ หากเปลี่ยนเป็นประเทศไทย จะแสดงผลลัพธ์ตามหมวดหมู่ ดังนี้

 

  • ข่าว
  • …ทำอย่างไร
  • บุคคล
  • สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศ
  • สถานที่ท่องเที่ยวต่างประเทศ
  • …คืออะไร
  • เพลง
  • ละคร/ซีรีส์
  • ภาพยนตร์
  • คอนเสิร์ต 
  • คอร์สเรียน
  • ร้านอาหารและคาเฟ่

ประโยชน์ของ Google Zeitgeist คืออะไร

 

การได้รู้ว่าอะไรคือสุดยอดคำค้นแห่งปีจาก Google Zeitgeist มีประโยชน์หลายอย่าง โดยเฉพาะในการทำธุรกิจ เพราะจะได้รู้ว่าตอนนี้คนนิยมอะไร หรืออยากรู้อะไร ซึ่งดีต่อการวางแผนการตลาด ยกตัวอย่างประโยชน์ของ Google Zeitgeist เช่น

 

กรณีเลือกบุคคลมาเป็นพรีเซนเตอร์ของแบรนด์

 

การได้รู้ว่าสุดยอดคำค้นหมวด “บุคคล” ในปีที่ผ่านมาคือใครบ้าง ดีต่อแบรนด์ในการเลือกพรีเซนเตอร์ เพื่อโปรโมทสินค้าของแบรนด์ เพราะสุดยอดคำค้นในหมวดบุคคล แสดงให้เห็นถึงความนิยมของบุคคลนั้น แต่แบรนด์อาจต้องพิจารณาเพิ่มเติมด้วยว่า การค้นหาบุคคลนั้นเกี่ยวข้องกับข่าวด้านลบหรือไม่ เพราะบางครั้งอาจไม่ใช่ความนิยมเสมอไป โดยเฉพาะบุคคลที่ตกเป็นกระแสข่าวด้านลบ ก็มีสิทธิที่จะโดนค้นหามากจนติดอันดับได้เช่นกัน

 

กรณีเลือกเป็นสปอนเซอร์ให้กับบางสิ่ง

 

ในกรณีที่แบรนด์ต้องเลือกเป็นสปอนเซอร์ให้กับอะไรสักอย่าง อาทิ ละคร ภาพยนตร์ คอนเสิร์ต ฯลฯ สามารถนำเอาสุดยอดคำค้นในหมวด ละคร/ซีรีส์ ภาพยนตร์ หรือคอนเสิร์ต มาพิจารณาด้วยได้ หากมีละครแนวคล้ายๆ กับละครที่มีคำค้นติดอันดับ หรือมีละครที่ใช้นักแสดงนำคนเดียวกันกับละครที่เคยติดอันดับสุดยอดคำค้นแห่งปี ก็อาจพิจารณาเป็นสปอนเซอร์ได้ หรือหากมีการจัดคอนเสิร์ตในอนาคต แล้วแบรนด์กำลังพิจารณาอยู่ว่าจะเป็นสปอนเซอร์ให้หรือไม่ ก็สามารถใช้ข้อมูลจาก Google Zeitgeist มาประกอบการพิจารณาได้เช่นกัน

 

กรณีที่ต้องการศึกษาจากธุรกิจใกล้เคียง

 

อีกหนึ่งกรณีที่สามารถใช้ประโยชน์จาก Google Zeitgeist คือ ในยามที่ธุรกิจกำลังต้องการศึกษาจากแบรนด์ยอดนิยม เพื่อนำมาปรับใช้กับธุรกิจตัวเอง เช่น หากเป็นธุรกิจร้านอาหาร สามารถเลือกพิจารณาสุดยอดคำค้นหมวดร้านอาหารและคาเฟ่ได้ ว่าร้านไหนที่คนกำลังให้ความนิยม แล้วเลือกร้านนั้นๆ มาเป็นกรณีศึกษา เพื่อนำมาปรับใช้กับธุรกิจของตัวเองได้เช่นกัน อีกทั้งยังใช้หมวดนี้ศึกษาคู่แข่งได้ บางกรณีที่อยู่ในตำแหน่งทางธุรกิจเป็นคู่แข่งกัน ก็สามารถนำมาปรับใช้ในแผนการตลาดได้ด้วย 

 

ทั้งหมดนี้ก็เป็นข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับ Google Zeitgeist คืออะไร เชื่อว่าคงจะได้ความรู้กลับไปไม่มากก็น้อย และคงเห็นว่าประโยชน์ของ Google Zeitgeist ต่อธุรกิจมีหลายด้าน สามารถนำไปใช้งานให้เหมาะสมกับธุรกิจแต่ละรูปแบบได้อย่างแน่นอน ปัจจุบันการเลือกคำค้นยอดนิยมมาเป็นข้อมูลอ้างอิง เพื่อวางกลยุทธ์ทางการตลาด ถือว่าช่วยสร้างผลลัพธ์ที่ดีทีเดียว

]]>
Google G Suite คืออะไร ตอบโจทย์กับการทำธุรกิจอย่างไรบ้าง https://seomasterth.com/what-is-google-g-suite/ Fri, 19 Jan 2024 18:16:33 +0000 https://seomasterth.com/?p=28026 คนไทยแทบทั้งหมดรู้จักกับ Google เป็นอย่างดี นี่คือเว็บ Search Engine อันดับ 1 ของบ้านเรา และทั่วทั้งโลก ซึ่งบริการหลักย่อมหนีไม่พ้นการใช้เพื่อค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ตามที่ผู้ค้นหาต้องการ แต่ด้วยการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งส่งผลให้ Google เองก็พยายามเพิ่มเติมบริการอื่นเพื่อให้เกิดความครอบคลุมมากที่สุด กระทั่งออกมาเป็น “Google G Suite” ซึ่งหลายคนพอได้ยินชื่อนี้อาจสงสัยว่า Google G Suite คืออะไร แล้วทำไมจึงมีความสำคัญกับธุรกิจเป็นอย่างมาก มาหาคำตอบกันได้เลย

Google G Suite คืออะไร

Google G Suite คือ บริการ (ผลิตภัณฑ์) จากทาง Google เพื่อรองรับการทำงานผ่านระบบ Cloud แบบ 100% ช่วยให้ผู้ที่ทำงานร่วมกันทุกคนไม่ว่าจะกลุ่มคนองค์กรเดียวกันหรือต่างองค์กรสามารถแชร์ข้อมูลถึงกันง่ายดายภายใต้ความปลอดภัยระดับสูง เข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้ทุกที่ ทุกเวลา เพียงแค่มีอุปกรณ์และสัญญาณอินเทอร์เน็ต ทำการล็อกอินเข้าสู่ระบบบัญชีของตนเองที่ได้มีการตั้งค่าการเข้าถึงเอาไว้ ซึ่งปัจจุบันได้มีการรีแบรนด์ใหม่ในชื่อ “Google Workspace” แต่รูปแบบการใช้งาน และคุณสมบัติทุกอย่างยังเหมือนเดิมทุกประการ

ด้วยความปลอดภัยและความสะดวกต่อการทำงาน ทำธุรกิจในยุคออนไลน์ ส่งผลให้ Google G Suite มีองค์กรจำนวนมากใช้งานกว่า 5 ล้านแห่ง ทั่วโลก นั่นเท่ากับคนทำงานไม่จำเป็นต้องล็อกอินทีละโปรแกรม ทีละเว็บไซต์ หรือทีละแอปพลิเคชันให้ยุ่งยากอีกต่อไป เพียงแค่ใช้บัญชีของ Gmail ล็อกอินใช้งานผ่าน Google ตามปกติก็เข้าสู่บริการทั้งหมดได้เลย

บริการยอดนิยมของ Google G Suite

อย่างที่อธิบายไว้ว่า Google G Suite ได้รวมเอาบริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานไว้ในระบบเดียว นั่นเท่ากับเมื่อผู้ใช้มีบัญชี Gmail เรียบร้อย ก็สามารถใช้งานได้ทั้งหมดตามเงื่อนไขที่ทาง Google ระบุเอาไว้ โดยบริการยอดนิยมประกอบไปด้วย

  • Google Gmail นอกจากการของบุคคลทั่วไปโดยมีนามสกุล (โดเมน) ต่อท้ายว่า @gmail.com ยังสามารถใช้โดเมนองค์กรเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือได้อีกด้วย เช่น [email protected] ด้วยระบบ Mail Server ระดับ Google ทำให้มั่นใจว่าอีเมลจะมีระบบกรอง spam และไม่ลง junk mail อย่างแน่นอน
  • Google Calendar ระบบอัปเดตปฏิทินออนไลน์ ช่วยให้เกิดความสะดวกมากขึ้นเมื่อต้องทำการนัดประชุม พูดคุยงาน นำเสนอรายงาน ไปจนถึงการจัดเวลาทำงานต่าง ๆ จากนั้นก็แชร์ส่งถึงคนที่คุณต้องการให้รับรู้ด้วย
  • Google Meet ระบบการประชุมออนไลน์ผ่านวิดีโอคอล สามารถเลือกได้ทั้งการเปิดเฉพาะเสียง แชร์หน้าจอ การประชุมแบบเห็นหน้า รวมถึงการพิมพ์ข้อความ
  • Google Drive พื้นที่ Cloud สำหรับจัดเก็บข้อมูลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นส่วนของอีเมล ไฟล์ ภาพ วิดีโอ และยังแชร์การทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ โดย 1 ผู้ใช้งานได้ลิมิตการเก็บข้อมูล 5 TB
  • Google Chat โปรแกรมการรับ-ส่งข้อความได้ทั้งแบบบุคคลและแบบกลุ่ม
  • Google Docs ไฟล์เอกสารรูปแบบข้อความ (คล้ายกับ MS Word) ทุกคนที่มีลิงค์และได้รับการอนุมัติทำงานร่วมกันได้
  • Google Sheets ไฟล์เอกสารรูปแบบสเปรดชีต (คล้ายกับ MS Excel) ทุกคนที่มีลิงค์และได้รับการอนุมัติทำงานร่วมกันได้
  • Google Slides ไฟล์เอกสารรูปแบบสไลด์ (คล้ายกับ MS Power Point) ทุกคนที่มีลิงค์และได้รับการอนุมัติทำงานร่วมกันได้
  • Google Forms ระบบการสร้างแบบสำรวจออนไลน์ เพื่อใช้จัดเก็บ บันทึกข้อมูล วิเคราะห์ และนำเอาข้อมูลไปใช้ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว
  • Google Sites เครื่องมือสำหรับใช้ในการสร้างเว็บไซต์โดยไม่จำเป็นต้องยุ่งยากในการจ้างคนเขียนโปรแกรมให้สิ้นเปลืองต้นทุน
  • Google Keep การบันทึกโน้ตออนไลน์และยังสามารถแชร์เพื่อทำงานร่วมกันได้
  • Google Cloud Search เครื่องมือสำหรับใช้ค้นหาข้อมูลทั้งหมดภายในองค์กรของคุณที่ได้ใช้งานร่วมกับ Google G Suite

ทั้งนี้นอกจากบริการดังกล่าวที่ระบุมาแล้ว Google G Suite ก็ยังมีระบบด้านความปลอดภัยและการจัดการข้อมูลของผู้ใช้เพื่อป้องกันปัญหาการรั่วไหลของแต่ละองค์กร ดังนี้

  • Admin ทำหน้าที่ควบคุมและดูแลความปลอดภัยทุกด้าน
  • Vaults สามารถค้นหาและเก็บรักษาข้อมูลทั้งหมดแบบถาวร
  • Endpoint Management การจัดการอุปกรณ์เคลื่อนที่ขององค์กร

ความสำคัญของ Google G Suite กับการทำธุรกิจ

1. เพิ่มความสะดวกต่อการทำงาน

เมื่อระบบทุกอย่างถูกรวมเอาไว้แล้ว พนักงาน ผู้บริหาร ผู้ค้า ลูกค้า ก็สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องเสียเวลารอคอยใด ๆ ทั้งสิ้น ล็อกอินแค่ชื่อบัญชี Gmail ก็ใช้ได้กับทุกบริการ เช่น การนัดประชุมออนไลน์แทนที่จะต้องขับรถเข้าไปหาลูกค้า แชร์เนื้อหางานโดยทุกคนสามารถมองเห็น แก้ไขได้ ลดต้นทุน ลดความเหนื่อยล้า และยังทำให้งานเดินหน้าเร็วขึ้นด้วย

2. จัดเก็บข้อมูลได้อย่างปลอดภัย

ด้วยระบบ Cloud แบบ 100% ข้อมูลทุกอย่างจะถูกเก็บเอาไว้ รวมถึงมีระบบรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนา ต้องได้รับเชิญหรืออนุมัติเท่านั้น จึงหมดกังวลเรื่องข้อมูลสูญหายหรือถูกผู้ไม่ประสงค์ดีแอบเข้ามาขโมยไปใช้

3. สร้างภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือ

ภาพลักษณ์องค์กรเป็นเรื่องสำคัญมาก ซึ่งการมี Google G Suite จะช่วยเรื่องนี้ได้ดี ทั้งโดเมนอีเมลที่เปลี่ยนเป็นชื่อองค์กรเอง ไปจนถึงการจัดเก็บข้อมูลปลอดภัย การทำงานเชื่อมต่อประสานงานภายในเวลาอันรวดเร็ว

4. ใช้งานร่วมกับ Microsoft Outlook

Microsoft Outlook คือ ระบบการโต้ตอบแบบเก่าที่เกิดขึ้นมายาวนาน มีบริการใกล้เคียงกับ Google G Suite นั่นทำให้องค์กรจำนวนมากยังคงใช้งานกันอยู่ ซึ่งทาง Google เองได้ปรับระบบพร้อมยอมรับการใช้งานร่วมกันแล้วด้วย

Google Workspace ราคา

[ข้อมูลล่าสุด 2024] ทดลองใช้งาน Google Workspace ฟรี 14 วัน และมีค่าบริการรายเดือน/ปี สำหรับแผนหรือ Package ให้เลือก Business Starter, Business Standard , Business Plus และ Enterprise โดยจะปลดล็อคบริการและฟีเจอร์ต่างๆตามราคาต่อยูเซอร์

สรุป

Google G Suite หรือบริการ Google Workspace เป็นรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นขึ้นมาเพื่อสร้างความสะดวก ปลอดภัยให้กับธุรกิจทุกประเภท มีระบบการติดต่อ การใช้งานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจแบบครบครัน มากไปกว่านั้นยังผ่านการยอมรับจากองค์กรทั่วโลกจำนวนมาก อีกทางเลือกดี ๆ ที่ธุรกิจบนโลกออนไลน์จำเป็นต้องรู้เอาไว้เลย

 

]]>
GOOGLE FAMILY LINK คืออะไร ไม่อยากให้ลูกติดจอ ต้องทำความรู้จักด่วน https://seomasterth.com/what-is-google-family-link/ Wed, 17 Jan 2024 10:19:52 +0000 https://seomasterth.com/?p=27996 GOOGLE FAMILY LINK คืออะไร ไม่อยากให้ลูกติดจอ ต้องทำความรู้จักด่วน

 

GOOGLE FAMILY LINK คืออะไร หลายคนกำลังเกิดคำถาม หรือกำลังสงสัยเกี่ยวกับ GOOGLE FAMILY LINK เพราะได้ยินผ่านๆ มาว่าจะสามารถดูแลลูกๆ เรื่องการเล่นมือถือได้ ช่วยควบคุมพฤติกรรมการใช้งานโทรศัพท์มือถือในระยะไกลผ่านแอปพลิเคชั่นได้ง่ายๆ ครั้งนี้ทางบทความก็ได้รวบรวมมาให้แล้ว กับข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับ GOOGLE FAMILY LINK ทั้งแนะนำแอปและวิธีใช้งาน รวมถึงประโยชน์ด้านต่างๆ 

GOOGLE FAMILY LINK คืออะไร?

 

GOOGLE FAMILY LINK คือแอปพลิเคชั่นของ Google ที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ปกครองที่ต้องการควบคุมพฤติกรรมการใช้งานโทรศัพท์มือถือของเด็กๆ ได้ใช้งาน สามารถจำกัดการใช้งานโทรศัพท์มือถือของเด็กๆ ได้ รองรับการควบคุมเวลาการอยู่หน้าจอ ควบคุมการเข้าใช้งานแอปพลิเคชั่นต่างๆ รวมถึงควบคุมการดาวน์โหลดติดตั้งแอปพลิเคชั่นต่างๆ อีกทั้งยังมีระบบ GPS ติดตามตัว เพื่อรายงานตำแหน่งให้ผู้ปกครองทราบอยู่เสมอ ว่าเด็กๆ อยู่ที่ไหน 

 

วิธีการติดตั้ง GOOGLE FAMILY LINK คืออะไร

 

วิธีการติดตั้ง GOOGLE FAMILY LINK คือจะต้องติดตั้งทั้งบนอุปกรณ์ของผู้ปกครองและอุปกรณ์ของเด็กที่อยู่ในความปกครอง จากนั้นตั้งค่าให้ทั้ง 2 เครื่องเชื่อมต่อกัน เพื่อให้โทรศัพท์มือถือผู้ปกครองสามารถควบคุมการใช้งานโทรศัพท์ของเด็กที่อยู่ในความปกครองได้ ผ่านแอปพลิเคชั่น GOOGLE FAMILY LINK โดยวิธีการติดตั้ง ได้แก่ 

การติดตั้ง GOOGLE FAMILY LINK บนเครื่องผู้ปกครอง

 

  1. ดาวน์โหลด Google Family Link จาก iOS หรือ Google Play แล้วกดติดตั้ง
  2. สมัครบัญชี Google แต่ถ้าหากมีบัญชี Google อยู่แล้ว สามารถกด “Continue as (ชื่อบัญชี)” ได้เลย เพื่อเข้าสู่ระบบ

 

การติดตั้ง GOOGLE FAMILY LINK บนเครื่องเด็กที่อยู่ในความปกครอง

 

  1. ดาวน์โหลด Family Link child and teen บนอุปกรณ์ของเด็กที่อยู่ในความปกครอง จาก iOS หรือ Google Play แล้วกดติดตั้ง
  2. เลือกตอบว่า Child or Teen (เด็กหรือวัยรุ่น)
  3. กด Next
  4. กดเลือกหรือเพิ่มบัญชีของเด็กแล้วกด Next ไปเรื่อยๆ กระทั่งพบกับหน้า Log in บัญชีผู้ปกครอง ก็ Log in บัญชีผู้ปกครองที่เป็นบัญชีเดียวกันกับที่ล็อกอินใน Google Family Link บนเครื่องของผู้ปกครอง
  5. เข้าสู่หน้า About Supervision ให้ใส่รหัสผ่านของเด็กที่ด้านล่าง เพื่อยอมรับว่าตกลงยอมใช้งานแอปพลิเคชั่นนี้ 
  6. กด Agree โดยอาจมีหน้าต่างเล็กๆ ขึ้นเตือนอีกทีว่าจะเปิดระบบนี้ ก็ให้กด Allow หลังจากนั้นจะเกิดการเชื่อมต่อกันระหว่างเครื่องเด็กและเครื่องผู้ปกครอง
  7. กด Next กระทั่งไปเจอกับหน้ากดอนุญาตให้ใช้แอปพลิเคชั่นที่มีในเครื่อง ให้ติ๊กเลือกว่าจะอนุญาตให้เด็กใช้แอปฯ ใดบ้าง เมื่อเลือกเสร็จแล้วกด Next อีกครั้ง
  8. เข้าสู่หน้าการจัดการความเหมาะสมของเนื้อหาต่างๆ โดยผู้ปกครองสามารถกดปรับได้ในแต่ละหัวข้อ ซึ่งประกอบไปด้วย การอนุญาตให้ดาวน์โหลด/ซื้อแอปพลิเคชัน, การกำหนดเรตอายุแอปพลิเคชั่นและเกม, การกำหนดเรตหนังและทีวี, การกำหนดเรตอายุหนังสือ, การป้องกันการเข้าเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมบน Chrome, การป้องกันผลการค้นหาที่ไม่เหมาะสมบน Google และการป้องกันการล็อกอินเข้าในเครื่อง/แพลตฟอร์มอื่น
  9. เมื่อปรับแต่งเรียบร้อยแล้ว กด Next จะพบกับหน้าที่ถามว่า ต้องการติดตั้งแอปฯ Family Link ในมือถือของผู้ปกครองด้วยหรือไม่ หากยังไม่ได้ติดตั้ง ให้กด Install Family Link แต่ถ้าติดตั้งแล้วก็สามารถกด Skip ไปได้เลย
  10. กด Review controls จะพบกับหน้าหลักที่ให้ผู้ปกครองสามารถกำหนดการใช้งานในมือถือเครื่องนี้ได้ หรือกำหนดในแอปฯ Family Link บนอุปกรณ์ของผู้ปกครองเองก็ได้   

คุณสมบัติของ GOOGLE FAMILY LINK คืออะไร

 

คุณสมบัติของ Google Family Link คือการควบคุมพฤติกรรมการใช้งานโทรศัพท์มือถือของเด็กๆ ซึ่งสามารถกำหนดได้หลายส่วน ได้แก่ 

 

1.ตั้งค่าจำกัดเวลาเล่นมือถือ

 

คุณสมบัติหนึ่งของ Google Family Link คือสามารถจำกัดเวลาการใช้งานโทรศัพท์มือถือของเด็กในปกครองได้ โดยผู้ปกครองสามารถกำหนดได้ว่าจะให้เด็กใช้งานวันละกี่ชั่วโมง หรือสัปดาห์ละกี่ชั่วโมง หากมีการตั้งค่าจำกัดเวลาเอาไว้แล้ว เมื่อเด็กใช้งานโทรศัพท์จนครบช่วงเวลาดังกล่าว เด็กๆ จะไม่สามารถใช้งานอุปกรณ์ได้อีก นอกจากโทรเข้าหรือโทรออกเท่านั้น ตั้งค่าได้โดยการเข้าไปในแอปฯ Google Family Link บนอุปกรณ์ของผู้ปกครอง แล้วกดเลือกบัญชีของเด็ก ไปยังช่อง Screen time แล้วกดปุ่ม Set up 

 

2.ตั้งค่าความเหมาะสมของเนื้อหา

 

อีกหนึ่งคุณสมบัติของ Google Family Link นั่นก็คือการตั้งค่าความเหมาะสมของเนื้อหา โดยการเข้าไปในแอปฯ Google Family Link แล้วกด Manage ในแถบ Settings จากนั้นเลือกกำหนดได้ 4 ช่องทาง ได้แก่ Google Play/App Store, YouTube, Google Chrome และ Google Search เพื่อควบคุมการการแสดงเนื้อหาบนช่องทางต่างๆ 

 

3.ตั้งค่าแอปฯ และเกมที่ค้นหาและดาวน์โหลดได้

 

นอกจากควบคุมความเหมาะสมของเนื้อหาแล้ว ผู้ปกครองสามารถควบคุมการค้นหาและดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นรวมถึงเกมต่างๆ ได้ โดยให้เลือก Google Play/App Store และกด Apps & Games จากนั้น เลือกเรตที่ต้องการให้เด็กเข้าถึงได้ หากยิ่งเลือกอายุน้อย ก็จะยิ่งมีการจำกัดเนื้อหามากขึ้น รวมถึงสามารถจำกัดการซื้อแอปพลิเคชั่นได้ โดยตั้งค่าให้ผู้ปกครองกดอนุมัติทุกการซื้อแอปฯ หรือเกม 

 

4.ตั้งค่าการควบคุมผลการค้นหาบน Google

 

คุณสมบัติถัดมาคือสามารถควบคุมการค้นหาบน Google Search ได้ โดยการเข้าไปที่ Google Search แล้วไปที่แถบ Safe Search เพื่อกดเปิด Google ก็จะกรองเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมออกไป รวมถึงสามารถตั้งค่าการป้องกันเข้าเว็บไซต์อันตรายใน Google ได้ด้วย โดยการไปที่แถบ Google Chrome แล้วกดเลือกระดับการป้องกันได้ จะมีตัวเลือกคือ เข้าได้ทุกเว็บไซต์ บล็อกเว็บไซต์สุ่มเสี่ยง และกำหนดทุกเว็บไซต์เอง

 

มาถึงตรงนี้หลายคนคงพอเข้าใจแล้ว GOOGLE FAMILY LINK คืออะไร สามารถนำไปปรับให้เหมาะสมได้ ตั้งแต่การดาวน์โหลดและการใช้งาน 

]]>
Google My Business คืออะไร? ธุรกิจที่ทำ SEO ต้องรู้ https://seomasterth.com/google-my-business/ Sun, 24 Dec 2023 04:38:46 +0000 https://seomasterth.com/?p=26810 Google My Business คืออะไร?

Google My Business  หรือ Google Business Profile คือ ข้อมูลการค้นหาบน Google ที่สร้างขึ้นมาเพื่อสนับสนุนร้านค้า และธุรกิจต่างๆ ในพื้นที่ (Local SEO) โดยเราสามารถใส่ข้อมูลของธุรกิจลงในฐานข้อมูลของ Google ได้ เมื่อมีคนเสิร์ชหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับร้านค้า หรือธุรกิจของเรา ข้อมูลก็จะแสดงขึ้นบน Google Search และ Google Map เช่น เวลาค้นว่า “ร้านชาบูหม่าล่า” ก็จะพบร้านค้าในพื้นที่ใกล้เคียงที่ทำ Google My Business โผล่ขึ้นมาให้เราเลือก

โดยจุดเด่นของบริการนี้คือ เมื่อมีคนเสิร์ชหาร้านค้า สถานที่ท่องเที่ยว หรือบริการบน Google Map หากร้านค้าของคุณอยู่ใกล้เคียง หรืออยู่ในพื้นที่ที่ลูกค้าเลือกเสิร์ช ข้อมูลธุรกิจของคุณก็จะถูกแสดงขึ้นมา เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงร้านค้าของคุณได้

 

ขั้นตอนและวิธีการสมัคร Google My Business 

อัพเดท 2024 เราสามารถสมัคร Google My Business ได้ด้วยบัญชี Google หรือ Gmail นะครับ หากเรามีบัญชี Google พร้อมแล้ว ก็คลิกปุ่ม “จัดการเลย” ได้เลย

1. ตั้งชื่อธุรกิจ / ประเภทธุรกิจ / หมวดหมู่ธุรกิจ

ขั้นแรกเลยที่เราต้องทำคือ การตั้งชื่อธุรกิจของคุณ แต่! คุณไม่ควรใส่เพียงแค่ชื่อบริษัท หรือชื่อแบรนด์ เพียงอย่างเดียว สิ่งสำคัญที่จะทำให้ลูกค้ารู้จักคุณได้ง่ายขึ้นคือ “ Keyword ”

คุณควรใส่คำค้นหา หรือคำอธิบายสั้นๆ ไปด้วยว่า ธุรกิจของคุณทำอะไร เพื่อให้คนที่เสิร์ชรู้ได้ทันทีว่าธุรกิจของคุณทำอะไร

2. เพื่มช่องทางการติดต่อ

ให้คุณใส่เบอร์โทรศัพท์ของคุณลงไปพร้อมกับเว็บไซต์ หากธุรกิจของคุณยังไม่มีเว็บไซต์ อาจใช้เป็นลิงก์จาก Facebook Fanpage หรือ ลิงก์สำหรับแอด Line Official แทนไปก่อนได้

3. เลือกวิธียืนยันธุรกิจ

วิธีที่ง่ายที่สุด คือการรับรหัสยืนยันผ่านทางโทรศัพท์ อีกวิธีคือ ทาง Google จะส่งรหัสมาทางไปรษณียบัตร ใช้เวลาประมาณ 14 วัน เมื่อได้รับแล้ว ในจดหมายจะมีรหัส 6 ตัว ให้เรานำมากรอก ใน Google My Business เพื่อยืนยัน เป็นอันเสร็จสิ้นการสมัคร

หลังจากที่คุณสมัครเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณสามารถโพสต์ข้อความ รูปภาพ และวีดีโอ ลงใน Google My Business ของคุณได้ เพื่อเป็นการโปรโมทธุรกิจของคุณ ให้มองว่ามันคือ Social Media อีกช่องทางหนึ่งที่มีคนเข้ามาดู มาหาข้อมูลในเพจของคุณ ดูรูปภาพสินค้า อ่านรีวิวจากลูกค้าที่เคยซื้อสินค้า หรือใช้บริการ

4. อัพเดทข้อมูลเพิ่มเติม

เราสามารถอัพเดทรายละเอียดต่างๆ ของธุรกิจ ลงใน Google My Business เป็นข้อมูลที่จำเป็น เช่น

  • รูปภาพ
  • ตำแหน่งร้านค้า
  • วันเวลาเปิด-ปิดทำการ
  • ข่าวสารโปรโมชั่น หรือกิจกรรมในช่วงเวลานั้นของธุรกิจของคุณ

อีกหนึ่งส่วนที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น นั่นก็คือ “คะแนนรีวิว”

ส่วนรีวิว (Review) และคอมเมนต์จากลูกค้าถือเป็น Local SEO เมื่อมีการพูดถึงมากขึ้น ก็จะส่งเสริมชื่อเสียงต่างๆให้กับธุรกิจของเรา

 

สรุป

Google My Business คือ บริการฟรีจาก Google ที่ช่วยสนับสนุนธุรกิจห้างร้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเหล่าธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มที่มีหน้าร้าน และมักจะได้รับผลกระทบจากวิกฤตทางเศรษฐกิจต่าง ๆ Google My Business จึงถือเป็นหนึ่งในบริการที่มีบทบาทอย่างยิ่งต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจของไทย

]]>
Google Analytics คืออะไร เครื่องมือดูสถิติผู้เข้าชมเว็บไซต์ https://seomasterth.com/google-analytics/ Tue, 19 Dec 2023 13:28:32 +0000 https://seomasterth.com/?p=26612 Google Analytics คืออะไร  

Google Analytics คือ เครื่องมือดูสถิติผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่ใช้ได้ฟรีจาก Google โดยกระบวนการทำงานของ GA4 (ชื่อที่มักเรียกกันสั้นๆ) ทำให้เรารู้ว่า เว็บไซต์เรามีคนเข้าเว็บ (UIP) วันละเท่าไร ดูเป็นกราฟย้อนหลังได้ เข้าถึงเว็บไซต์ของเราจากอุปกรณ์อะไรบ้าง เพศชายหญิง ช่วงอายุ ประเทศ หน้าเพจไหนของเรามีคนเข้าเยอะ ใช้เวลาอยู่นาน-ไม่นาน (Session/Duration) ใช้ทำ Customer Journey และวัดค่า Conversion Rate ดูพฤติกรรมลูกค้าตั้งแต่เข้าเว็บจนจบการสั่งซื้อสินค้าหรือบริการ หรือออกไปที่หน้าไหน จึงวิเคราะห์หาจุดผิดพลาดได้ และนำมาวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ ว่าเว็บเราควรปรับปรุงอะไรต่อ หรือจะปรับแผนการตลาดยังไงให้คนซื้อของของเรามากขึ้น หรือลงมือกระทำบางอย่างที่ตอบจุดประสงค์ของธุรกิจ

วิธีติดตั้ง Google Analytics กับเว็บไซต์ (2024)

Google Analytics เราแนะนำวิธีติดตั้ง ได้ 2 วิธี คือ

    1. นำ Tracking Code ของ GA ไปติดในส่วน <head> ของเว็บไซต์​ (ให้ Developer ช่วยติดให้ครับ)
    2. เราติดตั้งเองได้ สำหรับ WordPress ติดตั้งปลั๊กอินชื่อว่า WPCode Plugin ไปที่ Code Snippets > Header & Footer และนำ GA4 Tracking Code ไปใส่ไว้ในส่วนนี้ครับ

สอนใช้ Google Analytics ใช้งานยังไง

ในส่วนนี้ เรามาดูว่าเมนูของ Google Analytics 4 ใช้งานยังไง สอนใช้งานสำหรับคนทั่วไป สามารถรายงานได้มากถึง 2,000 เว็บไซต์ ต่อ 1 บัญชี

1. Home

Home หรือหน้าแรก จะเป็นหน้าแรกสุดที่คุณจะเจอหลังจากที่คุณ Login เข้ามายัง Google Analytics โดยที่หน้านี้จะเป็นหน้าที่คุณจะเห็นภาพรวมของข้อมูลทั้งหมดที่สำคัญสำหรับคุณเช่นข้อมูล Users, Engagement หรือ Revenue ของเว็บไซต์ของคุณ

เรียกได้ว่าใน Section นี้ ตัว Google Analytics จะรวมข้อมูลที่สำคัญมาไว้ในที่เดียว ซึ่งถ้าคุณอยากจะดูข้อมูลเชิงลึกในส่วนไหน คุณก็สามารถกดดูได้ เช่น ถ้าผมอยากดูข้อมูลแบบ Realtime ในเชิงลึก ผมก็แค่กดปุ่ม View Realtime ถ้าต้องการดูข้อมูลของ User Acquisition ก็กดปุ่ม View User Acquisition

2. Realtime

 

GA4 Realtime เราใช้ดู ขณะปัจจุบัน หรือตอนนี้ มีผู้เข้าชมเว็บไซต์จำนวนกี่คน อยู่หน้าไหนเท่าไรบ้าง ข้อมูลในส่วนของ Realtime จะมีประโยชน์มากๆ สมมติเราทำกิจกรรม หรือบูสโฆษณา เราใช้ส่วนนี้ monitor ได้ครับ

3. Report

Google Analytic Report รายงานคนที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณมีปฏิสัมพันธ์ยังไงบ้าง เช่นปฏิสัมพันธ์กับเว็บไซต์หน้าไหน ใช้เวลากับแต่ละหน้ามากน้อยเท่าไหร่ ซึ่งตัวเลขค่าเหล่านี้มีผลต่อ SEO Onpage

4. Users

Google Analytic Users เป็น Section ที่ลงรายละเอียดเกี่ยวกับ User ที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ โดยที่ Section นี้มีหัวข้อย่อยคือ Demographics และ Tech

4.1 Demographics

Google Analytic Demographics เป็นส่วนที่บอกข้อมูลภาพรวมเกี่ยวกับ User ว่าเขามาจากประเทศ/จังหวัดไหน เพศอะไร อายุเท่าไหร่ และพูดภาษาอะไร

4.2 Tech

Google Analytic Tech เป็นส่วนที่บอกข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ User ใช้ในการเข้าถึงเว็บไซต์ของคุณเช่นเข้าผ่านประเภทของ Device แบบไหน (Mobile, Desktop, Tablet) ใช้ Browser แบบไหน (Chrome, Safari, Android Webview, Edge, Firefox และอื่นๆ) หรือใช้ Operating System ไหน (iOS, Android, Window และอื่นๆ) ค่า Screen resolution ขนาดหน้าจอ

ข้อมูลในส่วนของ Demographic และ Tech นี้เอาไปใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง อย่างที่เห็นชัดที่สุดก็คงจะเป็นการเอาข้อมูลเหล่านี้ไปใช้กับการเลือก Audience ในระบบโฆษณาอย่าง Facebook Ads หรือ Google Ads เป็นต้น

5. Events

Google Analytic Events ในส่วนนี้ต้องมี Programmer มาช่วยจัดการครับ Event Tracking เบื้องต้นผ่าน Tools Google Tag Manager ใช้ดูรายงานเหตุการณ์ต่างๆ Conversion Rate ที่คุณอยากวัดผลบนเว็บไซต์ของคุณ (เช่น การคลิกปุ่ม การScrollหน้าจอ การคลิกดูวีดีโอ การซื้อของ การกรอกข้อมูล หรือไปเยี่ยมชมหน้าที่คุณอยากให้ไปเยี่ยมชม หรือการปิดBrowser) โดยที่ Section นี้มีหัวข้อย่อยคือ Conversion และ All Events รวมถึงสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการสร้างเป็น Goal ของเว็บไซต์ หรือสร้าง Segment และ Export เป็น Audience เพื่อนำไปทำ Remarketing นอกจากนั้นยังสามารถสร้าง Funnel analysis ที่สามารถใช้ในการวิเคราะห์ขั้นตอนที่สำคัญๆ ของ User Journey โดยการดูจำนวนของผู้ใช้ที่ Completed Goal หรือคนที่ Drop off ไปในแต่ละขั้นตอน

5.1 Conversion

Section ย่อยนี้เป็นส่วนที่เอาไว้ให้คุณกำหนดค่าว่ากิจกรรมไหนที่บนเว็บไซต์ของคุณที่นับเป็น Conversion

ข้อมูลในส่วนนี้จะทำให้คุณเห็นประสิทธิภาพของเว็บไซต์ของคุณมากยิ่งขึ้นว่ามันไปตอบโจทย์เป้าหมายทางธุรกิจจริงๆ รึเปล่า

5.2 All Events

Section ย่อยนี้เป็นส่วนที่แสดงให้เห็นภาพ Event ทั้งหมดที่เกิดขึ้นมาเว็บไซต์ของคุณเช่น First Visit, Pageview หรือ Click

สรุป

Google Analytics เป็นเครื่องมือที่สามารถช่วยให้ผู้ประกอบการ สามารถวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าที่มีเพื่อนำไปพัฒนาเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้แบรนด์เข้าใจว่ากลุ่มเป้าหมายของเราเป็นใครได้ในเชิงลึก ทำให้เราสามารถประหยัดเวลาในการเลือกช่องทางการโปรโมตสินค้า นอกจากนี้ยังสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปวิเคราะห์ในการทำ Remarketing ได้ในอนาคตอีกด้วย มีให้ใช้งานทั้งบนเวอร์ชั่น Website และบน Application มือถือ

 

]]>
ทำความรู้จัก Google SERP คืออะไร สำคัญยังไงกับธุรกิจ https://seomasterth.com/google-serp/ Tue, 19 Dec 2023 12:17:57 +0000 https://seomasterth.com/?p=26603 ทำความรู้จัก Google SERP คืออะไร สำคัญยังไงกับธุรกิจ

 

Google SERP คืออะไร อีกหนึ่งคำถามที่ยังมีบางคนสงสัยอยู่ โดยเฉพาะนักการตลาดหรือคนทำ SEO หน้าใหม่ ซึ่งในบทความนี้ก็ได้รวบรวมเอาข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับความหมายของ Google SERP มาให้ได้ศึกษากัน พร้อมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับความสำคัญและการนำไปปรับใช้ให้เกิดประสิทธิภาพ 

 

Google SERP คืออะไร?

 

Google SERP คือ หน้าที่แสดงผลของการค้นหาบนเว็บ Search Engine อย่าง Google ย่อมาจาก Search Engine Results Page ทำให้รู้ว่าใน Keyword นั้นๆ เว็บไซต์ไหนแสดงผลอยู่อันดับที่เท่าไรของ Google 

 

การดูผลบน Google SERP คือความสำคัญอีกหนึ่งอย่างสำหรับคนทำ SEO แน่นอนว่าถ้าหากจะทำบทความ SEO ขึ้นมาสัก 1 บทความ บางครั้งก็ต้องสังเกตการจากคู่แข่งสักหน่อย และการสังเกตการจาก Google SERP ก็ถือเป็นแนวทางที่เหมาะสม 

ประเภทการแสดงผลบน Google SERP คืออะไรบ้าง?

 

ประเภทการแสดงผลบน Google SERP จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ 

 

  • Organic SERP Listings 
  • Paid SERP Listing

 

Organic SERP Listings

การแสดงผลแบบ Organic SERP Listings เป็นหนึ่งในผลลัพธ์ที่แสดงบน Google SERP ซึ่งเป็นเนื้อหาที่ไม่ได้รับการจ่ายค่าโฆษณา และติดอันดับแบบ Organic จากการทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพ 

 

Paid SERP Listing

การแสดงผลแบบ Paid SERP Listings เป็นหนึ่งในผลลัพธ์ที่แสดงบน Google SERP ซึ่งเป็นเนื้อหาที่ต้องจ่ายค่าโฆษณาเพื่อประมูล Keyword ในระบบของ Google ซึ่งจะแสดงอยู่บนสุดเหนือสูงกว่าเนื้อหาที่ติดอันดับแบบ Organic ผู้รับสารจะรู้ได้ว่าเนื้อหานี้มีการจ่ายโฆษณา เพราะมีคำว่า Sponsored กำกับอยู่

ส่วนประกอบของ Google SERP คืออะไรบ้าง?

 

SERP มีส่วนประกอบหลายส่วนด้วยกัน ได้แก่ 

 

  1. ช่อง Search – เมื่อเข้าหน้า Google จะพบว่าช่อง Search เป็นอันดับแรก เพื่อรองรับการกรอกคำค้นหา ที่ต้องการค้นหาข้อมูล ซึ่งคำค้นนี้จะถูกเรียกว่า Keyword 
  2. Title – ถัดมาที่ผู้ใช้งานจะสังเกตเห็นได้แบบชัดเจนก็คือ Title หรือชื่อเรื่อง/ชื่อหัวข้อของเนื้อหานั้นๆ ซึ่งจะปรากฏด้วยสีน้ำเงิน ด้วยขนาด Text ที่ใหญ่ที่สุด
  3. URL – ถัดมาคือลิงค์ URL ของเนื้อหานั้น ซึ่งจะอยู่ด้านบนของ Title ด้วย Text ขนาดเล็กกว่า 
  4. Meta Description – อีกหนึ่งส่วนประกอบของ SERP ก็คือ Meta Description เป็นคำอธิบายสั้นๆ ของเนื้อหานั้น ซึ่งจะปรากฏอยู่ใต้ Title 
  5. Featured Snippet – ส่วนนี้จะเป็นกล่องข้อความขนาดใหญ่ ที่สรุปคำตอบของเนื้อหานั้นพอสังเขป ให้คนอ่านสามารถทำความเข้าใจรายละเอียดนั้นได้คร่าวๆ โดยไม่จำเป็นต้องคลิกเข้าไปอ่านเนื้อหาด้านใน 
  6. SEM – ส่วนของการแสดงเนื้อหาแบบซื้อโฆษณา โดยจะมีคำว่า Sponsored กำกับอยู่ และอยู่อันดับสูงกว่า SEO
  7. SEO – ส่วนของการแสดงเนื้อหาแบบ Organic ซึ่งจะอยู่ถัดจากเนื้อหา SEM ในอันดับที่ต่ำกว่าลงมา

 

ความสำคัญของ Google SERP คืออะไร?

 

หน้าที่แสดงผลของการค้นหาบนเว็บ Google ซึ่งประกอบไปด้วยส่วนต่างๆ หากลองสังเกตแล้วจะเห็นว่าแต่ละส่วนนั้นสำคัญหมด ที่ทำให้เนื้อหานั้นติดอันดับใน Google ด้วย Keyword หนึ่ง สำหรับคนทำ SEO ที่ต้เองการผลิตเนื้อหาด้วย Keyword เดียวกัน อาจลองดูเนื้อหาของคนอื่นที่ทำมาก่อนหน้านั้นและติดอันดับ พร้อมด้วยการวิเคราะห์แต่ละส่วนที่ปรากฏอยู่บน Google SERP แนะนำให้สังเกต Keyword จะดีที่สุด 

คนที่ควรใช้ Google SERP คือใครบ้าง?

 

Google SERP เป็นตัวช่วยที่เหมาะกับการใช้วิเคราะห์คู่แข่ง ซึ่งสำคัญกับคนที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการตลาดออนไลน์ ดังนี้

 

1.ผู้จัดการตลาดออนไลน์

 

ผู้จัดการตลาดออนไลน์ที่ต้องดูแลเรื่องการทำ SEO หรือการทำเนื้อหาให้ติดอันดับใน Google ควรใช้ Google SERP วิเคราะห์คู่แข่ง และสรรหา Keyword รวมถึงวางแผนการวางโครงสร้างเนื้อหาบทความ SEO เพื่อบรีฟต่อให้กับนักเขียนคอนเทนต์ 

 

2.คนทำ SEO

 

คนทำ SEO ไม่ว่าจะเป็นนักพัฒนาเว็บไซต์ หรือคนปรับระบบหลังบ้านให้สอดคล้องกับ SEO รวมถึงคนที่วางโครงสร้างเว็บไซต์ อาจต้องใช้งาน Google SERP ประกอบด้วยเช่นกัน เพื่อวิเคราะห์คู่แข่งและวางแผนปรับปรุงเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับหลักการ SEO ใน Keyword นั้น

 

3.SEO Content Creators

 

Google SERP ก็ค่อนข้างสำคัญกับ SEO Content Creators หรือนักเขียนบทความ SEO เช่นกัน โดยนักเขียนที่มีหน้าที่สร้างสรรค์เนื้อหาให้สอดคล้องกับหลักการ SEO และต้องการจะสู้กับคู่แข่งให้ได้ ควรวิเคราะห์คู่แข่ง ซึ่งสามารถอาศัย Google SERP เป็นตัวช่วยได้

 

วิธีการใช้งาน Google SERP

 

แม้ว่า Google SERP จะมีไว้เพียงแสดงผลอันดับเท่านั้น แต่อย่างที่ได้กล่าวไปมาว่า SERP มีส่วนประกอบต่างๆ หลากหลาย โดยส่วนประกอบเหล่านั้นสามารถนำมาใช้เป็นแนวทางในการทำ SEO ได้ โดยวิธีการใช้งาน Google  SERP คือการเก็บเอาเนื้อหาที่ติดอันดับต้นๆ สังเกตองค์ประกอบต่างๆ ตั้งแต่ชื่อเรื่องไปจนถึงการเขียนเนื้อหาฉบับเต็ม โดยไอเดียที่นำมาปรับใช้ได้จาก Google SERP นั้น ได้แก่

 

  • ไอเดียร์การตั้งชื่อ Title 
  • ไอเดียการเขียน Description 
  • ไอเดียการตั้ง Slug ใน URL
  • ไอเดียการเขียนเนื้อหาเต็ม
  • การวางโครงสร้างเนื้อหา
  • การวางแผนเรื่องขนาดความยาวของเนื้อหา

 

เครื่องมือไว้สำหรับใช้งานบน SERP

 

นอกจากการสังเกตบนหน้า Google SERP แล้ว ยังมีเครื่องมือบางอย่างที่มีไว้สำหรับใช้งานบน SERP เพื่อระบุข้อมูลเชิงลึกลงไปอีก ช่วยให้วิเคราะห์คู่แข่งได้ลึกขึ้นกว่าเดิม ในครั้งนี้จะขอแนะนำเครื่องมือดังกล่าว ยกตัวอย่างเช่น SEO Quake, Moz Bar, Serp Analyzer และ Semalt

 

จากที่ได้กล่าวไปว่า Google SERP คือ หน้าที่แสดงผลของการค้นหา ซึ่งมีส่วนประกอบหลายอย่างด้วยกัน เหมาะสำหรับคนทำ SEO อย่างยิ่ง ใช้ในการวิเคราะห์คู่แข่ง เพื่อสร้างสรรค์เนื้อหาและวางโครงเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับหลักการของ SEO มากที่สุด ซึ่งการอ้างอิงจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว ก็ถือเป็นวิธีการหนึ่งที่น่าสนใจ โดยสวามารถใช้ Google SERP เป็นตัวช่วยได้

]]>
Google Adwords คืออะไร ทำไมจึงสำคัญต่อธุรกิจออนไลน์ยุคนี้ https://seomasterth.com/google-adwords-%e0%b8%84%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b0%e0%b9%84%e0%b8%a3/ Tue, 19 Dec 2023 08:51:25 +0000 https://seomasterth.com/?p=26598 สำหรับคนทำธุรกิจในปัจจุบันช่องทางออนไลน์กลายเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยสร้างโอกาสแห่งความสำเร็จ ซึ่งกลยุทธ์ที่นิยมใช้ก็มีตั้งแต่การทำ SEO ช่องทาง Social Media แต่ถ้ามองถึงวิธีที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันเชื่อว่าต้องมีชื่อของ “Google Adwords” รวมอยู่ด้วยแบบไม่ต้องสงสัย มือใหม่ที่ยังสงสัยว่า Google Adwords คืออะไร ใช้งานยังไง แล้วมีความสำคัญต่อธุรกิจมากน้อยแค่ไหน บทความนี้มีคำตอบแบบละเอียดให้ครบถ้วนทุกประเด็น

ตอบข้อสงสัย Google Adwords คืออะไร

Google Adwords หรือ Google Ads คือ รูปแบบการโฆษณาผ่านช่องทางของ Google ในฐานะ Search Engine อันดับ 1 ของเมืองไทยและของโลก หลักการใช้งานเมื่อคุณมีบัญชีกับทาง Google เรียบร้อยก็สามารถเริ่มลงโฆษณาในรูปแบบที่เหมาะกับธุรกิจของตนเองได้ทันที อย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายในการโฆษณาดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับจำนวนของผู้คลิกเข้าชม หรือที่เรียกว่า Pay Per Click (PPC)

ประเภทของ Google Adwords ที่ได้รับความนิยม

1. Google Search

ต้องใช้ Keyword เพื่อสร้างโฆษณาบนหน้าเว็บ Google เมื่อมีคนค้นหาคำดังกล่าวเว็บของคุณจะติดอันดับอยู่ด้านบนหรือด้านล่างในหน้าแรก เหมือนการทำ SEO แต่ผลลัพธ์รวดเร็วมากกว่า

2. Google Display Network

หรือ GDN คือลักษณะของแบนเนอร์ซึ่งมีได้ทั้งภาพและตัวอักษรเพื่อโฆษณาดึงดูดความสนใจ โดยจะถูกนำไปแปะเอาไว้ตามเว็บพันธมิตรของ Google ที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกับธุรกิจของคุณ

3. Video Ads

โฆษณาประเภทนี้จะทำเป็นคลิปวิดีโอแล้วลงผ่านช่องทาง YouTube ซึ่งมีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับความเหมาะสมหรือความพึงพอใจของผู้ลงโฆษณา เช่น Display Ad, Overlay in-video ads, Non-Skipable in-stream ad, Bumper advertising (คลิกเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม)

4. Shopping Ads

ตัวโฆษณาจะถูกทำออกมาในลักษณะของการขายสินค้านั้น ๆ ชัดเจน ต้องมีข้อมูลและราคาพร้อมช่องทางการซื้อระบุเอาไว้ให้ละเอียดครบถ้วน ลูกค้าสามารถคลิกเข้าซื้อได้ทันที

5. Application Ads

เป็นการโฆษณาผ่านช่องทางมือถือโดยมีจุดประสงค์ให้คนดาวน์โหลดแอปพลิเคชันที่คุณสร้างขึ้นมา

ขั้นตอนเบื้องต้นเมื่อตัดสินใจทำ Google Adwords

แม้ Google Adwords จะมีหลายรูปแบบให้เลือก แต่ถ้าพิจารณาจากความง่ายมากสุดก็ต้องยกให้กับ Google Search เพราะคุณไม่จำเป็นต้อมีทักษะด้านการตัดต่อ การสร้างภาพแบนเนอร์ ไม่ต้องเสียเวลาลงรายละเอียดข้อมูลสินค้าใด ๆ ทั้งสิ้น เพียงแค่มีเว็บไซต์หลักที่ต้องการให้ลูกค้าคลิกเข้าไปก็สามารถเริ่มเข้าสู่การยิง Google Ads ได้ทันที ซึ่งขั้นตอนเบื้องต้นให้ทำตามนี้เลย

  1. คลิกเข้าไปบนหน้าเว็บไซต์ Google Ads จากนั้นสมัครสมาชิก สร้าง Account ของตนเองและตั้งค่าพื้นฐานสำหรับการใช้งาน Google Adwords
  2. คัดเลือก Keyword ที่ต้องการใช้ แนะนำให้เลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะกับธุรกิจของตนเอง คู่แข่งไม่จำเป็นต้องสูง เพื่อราคา Bid ไม่รุนแรงมากเกินเหตุ
  3. กำหนดค่าใช้จ่ายงบประมาณรายวันและค่า PPC เมื่อมีคนคลิกเข้ามารับชมเว็บไซต์ของคุณผ่านช่องทางการทำ Google Ads
  4. สร้างข้อความโฆษณาพร้อมใส่ Keyword ที่เลือกลงไป (เน้นเขียนให้สั้น กระชับ แต่ครบถ้วน อ่านแล้วดึงดูดใจให้อยากคลิกเข้ามาซื้อ)
  5. ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยก็รอผลลัพธ์และชำระเงินตามจำนวนคนที่คลิกเข้ามารับชมกันได้เลย

ข้อควรรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการทำ Google Adwords

หากคุณสนใจอยากเริ่มทำ Google Adwords นอกจากการค้นหา Keyword ให้เหมาะสมด้วยการเลือกคำที่คนค้นหาระดับปานกลางไปค่อนทางสูง ไม่เน้นคำทั่วไปที่คนเสิร์ชเยอะเพราะแข่งขันสูงและผลลัพธ์ไม่ค่อยน่าพึงพอใจ ยังมีข้อควรรู้เบื้องต้นอื่น ๆ เพิ่มเติมที่อยากบอกต่อ

  • เมื่อกำหนดค่าโฆษณาที่ต้องเสียผ่าน PPC และมียอดคนคลิกเข้ามาจนคุณต้องจ่ายครบตามจำนวนวันนั้นแล้ว โฆษณา Google Adwords ดังกล่าวจะหยุดแสดงและหายไปจนกว่าจะเริ่มวันใหม่
  • คำโฆษณาที่ใช้ปรับใหม่ได้ตลอด อยากเพิ่มเติมโปรโมชั่นแบบไหน ใช้คำดึงดูดใจ อัปเดตข้อมูลใหม่ล่าสุดสามารถทำได้ตลอดเวลา
  • Google Adwords จะแสดงผลเมื่อคะแนนบนแถบด้านบนเต็ม 10 นั่นหมายถึงเป็นโฆษณาที่มีประสิทธิภาพตามคำนิยมของ Google
  • กำหนดพื้นที่สำหรับยิงโฆษณาได้ เช่น ระบุจังหวัด ประเทศ เพื่อให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของตนเองมากที่สุด
  • ตอนนี้มีระบบที่เรียกว่า Performance Max Campaign ไม่ต้องเสียเวลาตั้งค่าให้ยุ่งยากเพราะสามารถยิง Ads ได้กับทุกช่องทางของ Google เช่น Search, YouTube, Maps, Gmail. Discovery, Display เพียงแค่ทำโฆษณาออกมาแค่ตัวเดียว

ทำไมการทำ Performance Max Campaign จึงสำคัญต่อธุรกิจออนไลน์

1. Google คือ เว็บค้นหาอันดับ 1

อย่างที่บอกไปว่า Google ถือเป็นเว็บ Search Engine อันดับ 1 ของไทยและของโลก คนไทยกว่า 99% ใช้เว็บนี้เพื่อค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ดังนั้นคุณจึงมีโอกาสเป็นที่รู้จัก สามารถสร้างยอดขายได้มากขึ้นเมื่อทำ Google Adwords

2. มีสถิติตัวเลขให้นำไปใช้งาน

ปัจจัยต่อมาการยิงแอดผ่าน Google จะมีสถิติตัวเลขต่าง ๆ เกี่ยวกับโฆษณาที่ลงไป สามารถนำเอาไปใช้เพื่อวางแผนการทำ Ads ครั้งถัดไปได้ง่ายขึ้น รวมถึงยังต่อยอดสู่แผนการตลาดของธุรกิจ

3. ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ชัดเจน

คุณสามารถกำหนดได้ว่าแต่ละวันต้องการตั้งค่าจำนวนเงินที่พร้อมจ่ายกี่บาท ซึ่งเป็นไปตามงบขององค์กรหรือความเหมาะสม งบไม่มีบานปลายให้ต้องกังวลใจ

4. กำหนดพื้นที่กลุ่มเป้าหมายได้จริง

การลง Google Adwords สามารถกำหนดได้ว่าต้องการยิงแอดไปพื้นที่ใด บริเวณไหนของโลก เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายของตนเองเห็นและมีโอกาสเปลี่ยนเป็นลูกค้ามากที่สุด

นี่คือข้อมูลน่าสนใจทั้งหมดของ Google Adwords ซึ่งถือเป็นช่องทางการทำโฆษณาอันทรงพลังผ่านโลกออนไลน์ สร้างโอกาสต่อยอดสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายที่คาดหวังเอาไว้ ได้ผลลัพธ์ดีและยังต่อยอดเพิ่มเติมสู่อนาคตไม่ยากเลย เรามีบริการรับลงโฆษณา Google Ads ติดหน้าแรก Google สำหรับเจ้าของธุรกิจที่ไม่มีเวลาในส่วนนี้ครับ

]]>
Google Search Console คืออะไร วิธีใช้ ทำ SEO ต้องรู้ https://seomasterth.com/what-is-google-search-console/ Mon, 18 Dec 2023 18:30:40 +0000 https://seomasterth.com/?p=26557 Google Search Console คืออะไร

Google Search Console คือ เครื่องมือที่ใช้เพื่อตรวจสอบเว็บไซต์ของเรา รายงานคีย์เวิร์ด ยอดคนค้นหาบน Google และเห็นเว็บเรา ยอดคลิก จำนวนหน้าเว็บที่จัดเก็บบนกูเกิล ใช้ซับมิท URL หรือ sitemap รวมไปถึงหน่วยวัดประสบการณ์ใช้งานของผู้ใช้ (Experience) เช่น Core Web Vital และการหาช่องโหว่ในเว็บไซต์ ยิ่งเราควบคุมคุณภาพของเว็บไซต์ดีเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสติดหน้าแรกของ Google เท่านั้น

Search Console เป็นเครื่องมือที่เหมาะกับทุกคนที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง (Google Webmaster Tool) โดยเฉพาะคนทำ SEO และฝั่งผู้พัฒนาเว็บไซต์ที่ต้องการตรวจสอบแนวโน้มของธุรกิจ  เราสามารถเข้าใช้งานเครื่องมือฟรี เพียงมีบัญชีของ Google เท่านั้น

ประโยชน์ของ Google Search Console

Google Search Console ช่วยอะไร? เครื่องมือนี้เกิดมาเพื่อ คนที่อยากทำให้ธุรกิจเติบโต ด้วยการทำ SEO แนะนำประโยชน์ตามลำดับดังนี้

  • ใช้ดู Keyword ที่ติดบน Google ยอดคลิก เห็นแนวโน้มเป็นกราฟ ดูย้อนหลังได้ถึง 16 เดือน
  • ใช้ Submit หน้าเพจใหม่ของเราขึ้นจัดทำดัชนีบนกูเกิล ภาษาโปรแกรมเมอร์ เรียกว่า การเก็บ index บน Google  ในกรณีที่เรามีสินค้าใหม่ บทความใหม่ หรือหน้าเพจใหม่
  • ใช้ส่งแผนผังเว็บไซต์ sitemap.xml เพื่อบอก Google ว่าเว็บไซต์ของเรามีโครงสร้างอย่างไร Google Bot ก็จะคอยเข้ามาเก็บข้อมูล
  • ใช้ตรวจสอบเว็บไซต์อื่นที่มี Backlink มาหาเรา (Referring Domain)
  • ใช้ตรวจสอบประสบการณ์ใช้งานของผู้ใช้ (Experience) ในเรื่อง Core Web Vital
  • รับการแจ้งเตือนจาก Google เมื่อพบว่าเว็บไซต์ของเรามีปัญหา เช่น ปัญหาดัชนีเว็บไซต์มีความซ้ำซ้อน ปัญหาช่องโหว่ในเว็บไซต์ที่ควรได้รับการอัปเดต หรือปัญหาสแปม ปัญหา Content ถูกแจ้งลิขสิทธิ์ DMCA เป็นต้น
  • ใช้แจ้งลบ (Removals) URL ออกจาก Google
  • ใช้แจ้ง Disavow links หากเราพบ Backlink ที่ไม่ปกติ เชื่อมมายังเว็บไซต์ของเรา

วิธีติดตั้ง Google Search Console (2024)

1. เข้า Google Search Console

เมื่อเข้าไปในเว็บไซต์ https://search.google.com/search-console/about แล้วกด Start จะปรากฏหน้าต่างนี้ขึ้นมาครับ โดยตัว Google จะให้เราเลือกว่า property หรือเว็บไซต์ที่เราต้องการใช้นั้น มีการลงทะเบียนอย่างไร

ถ้าเลือก  1. Domain ตัว Search Console ก็จะครอบคลุมทั้งโดเมน รวม Sub domain ด้วยซึ่งต้องมีการ ยืนยันความเป็นเจ้าของเว็บไซต์ด้วยวิธี DNS Verify แต่หากเราไม่มี Sub domain แนะนำเลือก URL prefix โดยการยืนยันจะแค่ดาวโหลดไฟล์ .txt มาใส่ในเว็บเรา

2. Verify URL  

เมื่อเราใส่ URL ที่ต้องการไปแล้ว ก็จะปรากฏหน้าจอให้ Verify หรือคือการพิสูจน์ว่าเราเป็นเจ้าของเว็บไซต์นั้นๆ จริงหรือไม่ ให้เราดาวโหลดไฟล์ .html นำไปวางที่ Top domain ให้สามารถเข้าถึงได้ เช่น https://your-website/google9ed…42a.html

วิธีการใช้ Google Search Console (2024)

เมื่อเราเปิดใช้งาน Google Search Console ได้แล้ว มาดูกันเลยครับ วิธีการใช้งาน Google Search Console นั้น ฟังก์ชั่นหลักๆ ในนี้มีอะไรน่าสนใจบ้าง และมันช่วยให้เว็บไซต์ของคุณขึ้นหน้าแรกของ Google ได้ยังไง

Performance

Performance คือ รายงานประสิทธิภาพการทำงานและปริมาณคนที่เข้าถึงเว็บไซต์ของคุณย้อนหลัง 16 เดือน ยอดการคลิกลิงก์โดยรวม ประเทศที่คนเข้ามาชมเว็บไซต์ รวมไปถึงข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวกับเว็บไซต์ ที่จำเป็นต่อการทำ SEO

URL Inspection

ใช้ Submit หน้าใหม่ขึ้นจัดทำดัชนีบน Google หรือใช้ตรวจสอบได้ว่า URL เว็บไซต์ของเราหน้านี้ถูกจัดเก็บบนกูเกิลหรือยัง รายงานว่าระบบ Crawling หรือการสำรวจของ Google มาสำรวจล่าสุดวันไหน

แน่นอนครับ มันมีรายงาน Error หรือข้อผิดพลาดต่างๆ ในเว็บไซต์ของเราที่ทำให้ Google มองว่าเว็บเราด้อยประสิทธิภาพและจุดที่ต้องทำการแก้ไขด้วยครับ นับว่าเป็นเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับผู้ทำเว็บไซต์สุดๆ เลยทีเดียว

Sitemap

ใช้สำหรับ Submit ส่งแผนผังเว็บไซต์ sitemap.xml ให้ Google เพื่อให้กูเกิลคอยส่งหุ่นยนต์มาตรวจสอบโครงสร้างเว็บไซต์ของเราอยู่ตลอดเวลา

Page Experience

ในส่วนนี้สำคัญมากในการจัดอันดับ Google ตั้งแต่ June 2021 Google Algorithm ประกาศใช้ค่า Core Web Vitals มาเป็น factor สำหรับวัดค่ามีผลต่อการจัดอันดับ Ranking นั่นเอง

Security Issue

รายงานปัญหาด้านความปลอดภัย คือ อีกหนึ่งฟีเจอร์ของ Search Console โดยหน้ารายงานความปลอดภัยนี้จะคอยแจ้งข้อมูลว่า เว็บไซต์เราถูกโจมตีไหม มีมัลแวร์แฝงตัวอยู่หรือเปล่า มีช่องโหว่จุดไหนบ้าง รวมถึงปัญหาทางเทคนิคอื่นๆ ที่ควรทราบด้วยครับ เทียบง่ายๆ คือมันทำหน้าที่คล้ายกับเป็นแอนตี้ไวรัสของเว็บไซต์เราเลย

Messages

รายงานแจ้งเตือนปัญหาต่างๆที่เกิดกับเว็บไซต์ของเรา กดคลิกรูป กระดิ่ง มุมขวาบน จะแสดงหน้าตาดังนี้

สรุป

Google Search Console คือ เครื่องมือฟรีใช้ทำ SEO คุณภาพจาก Google ตัวหนึ่งที่คอยเป็นมือขวาให้กับเว็บมาสเตอร์ เรียกว่าต้องใช้ ห้ามพลาด ยุค4.0 เราจะทำธุรกิจแบบตาบอดไม่ได้ครับ

]]>
Google Trend คืออะไร สำคัญต่อการทำ SEO อย่างไร https://seomasterth.com/what-is-google-trend/ Sun, 17 Dec 2023 18:41:31 +0000 https://seomasterth.com/?p=26528 Google Trend คืออะไร

          Google Trend คือ เครื่องมือของ Google ที่เรียกว่า “Search Engine” Google เทรนด์ ที่จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถสำรวจค้นหา Keyword  (คีย์เวิร์ด) ข้อยอดนิยมที่อยู่บน Google ได้ ผู้ใช้สามารถเห็นภาพรวมของความนิยมของคำค้นหา ในแต่ละช่วงเวลา และเปรียบเทียบความนิยมของหลาย ๆ คำค้นหาได้ นอกจากนี้ อีกทั้งยังสามารถดูลักษณะการค้นหาของผู้ใช้ที่แบ่งเป็นประเทศและเจาะลึกไปยังจังหวัดหรือภูมิภาคต่าง ๆ ได้เช่นกัน และนอกจากนี้ยังสามารถเช็กเทรนด์ฮิตประจำวันหรือตรวจสอบความนิยมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ดูข้อมูลหรือคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง (Related Quiries) แล้วนำข้อมูลมาวิเคราะห์ต่อยอดได้

          และนอกจากนั้นยังสามารถดูเทรนด์คำค้นหายอดฮิตรายวันได้อีกด้วย แถมยังมี Filter ที่ช่วยให้คุณกดย้อนดูความนิยมในหลาย ๆ ปีที่ผ่านมาเพื่อวิเคราะห์โอกาสเติบโตของ Keyword  (คีย์เวิร์ด) นั้นเพื่อนำไปต่อยอดในการสร้าง Content (คอนเทนต์) ได้อีกด้วย

5 ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ ของ Google Trend

    1. ค้นหา Niche Marketing

การค้นหา Niche Marketing หรือคำค้นหาที่มีความเฉพาะกลุ่ม เพื่อทำให้คุณได้เจาะตลาดกลุ่มสินค้าที่มีความเฉพาะเจาะจง

    1. Research Keyword

Google Trend สามารถเป็นเครื่องมือในการค้นหา Keyword (คีย์เวิร์ด) คำที่เกี่ยวข้อง ด้วยการใช้งานฟีเจอร์ Related Queries หรือคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง เพียงแค่เรากรอกคำค้นหาหลักลงไป 1 คำ ก็จะขึ้นคำค้นหาที่เกี่ยวข้องมากมายพร้อมปริมาณการเติบโตของการค้นหาปรากฏให้เราเห็น

    1. สร้างคอนเทนต์ ที่สอดคล้องกับเทรนด์ในปัจจุบัน

Google Trend สามารถดู Keyword ที่ได้รับความนิยมในตอนนี้ได้ ผ่านฟีเจอร์ Recently Trending โดยให้คุณเข้าหน้าแรกของ Google Trend แล้วเลื่อนมาลงมาเล็กน้อย ก็จะเจอกับคำค้นหาที่ได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้

    1. เปรียบเทียบคู่แข่งในธุรกิจเดียวกัน 

Google Trend สามารถใช้เปรียบเทียบคู่แข่งในธุรกิจเดียวกันได้ผ่านการใช้ฟีเจอร์ Comparison ที่จะช่วยให้คุณเห็นอัตราการค้นหาเปรียบเทียบมากกว่า 1 คำ

    1. กำหนดช่วงเวลาที่ดีที่สุด สำหรับยิงแอด

Google Trend จะแสดงให้เห็นว่าในช่วงเวลาไหนบ้างที่การยิงแอดได้รับความนิยม ซึ่งช่วยให้คุณสามารถกำหนดช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการยิงแอดไปหากลุ่มเป้าหมายที่คุณต้องการได้อย่างแม่นยำมากขึ้นนั่นเอง

ใช้ Google Trends ฉบับมืออาชีพ

  1. Google Trends ใช้มองหาเทรนด์ฮิตที่ติดกระแสและการค้นหาที่มาแรงแบบเรียลไทม์
  2. Google Trends เอาไว้หาหัวข้อที่เกี่ยวข้องและคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง (Related Topic & Query)
  3. Google Trends ใช้ย้อนมองหาข้อมูลแนวโน้มที่มีความสนใจ
  4. Google Trends สามารถเปรียบเทียบสิ่งที่ผู้คนสนใจ อันไหนมีโอกาสเกิดกว่า?
  5. Google Trends สามารถหาคีย์เวิร์ดตามเทศกาลและฤดูกาล
  6. Google Trends เป็นแพลตฟอร์มค้นหาไม่จำกัดแค่ Google
  7. Google Trends เอาไว้ส่องและวิเคราะห์เทรนด์ใดกำลังมาแรงและมาแรงมากที่สุด
  8. Google Trends สามารถค้นหาคีย์เวิร์ดแบบเจาะลึกด้วย ‘Category’

 

          Google Trend คือเครื่องมือค้นหา Keyword  (คีย์เวิร์ด) ข้อยอดนิยมที่อยู่บน Google ได้ที่จะช่วยให้นักการตลาดสามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับหัวข้อและ Keyword ที่ต้องการได้ ดูเทรนด์ความสนใจในสังคมขณะนั้นหรือพัฒนากลยุทธ์การตลาดหรือทำ SEM การยิงแอดและการทำ SEO

]]>