Online Marketing – SEO Master บริษัทรับทำ SEO รับดูแลเว็บไซต์ ราคาถูก ครบวงจร https://seomasterth.com SEO MASTER Mon, 15 Jan 2024 15:47:08 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.3.5 https://seomasterth.com/wp-content/uploads/2023/11/cropped-seomaster-icon-32x32.jpg Online Marketing – SEO Master บริษัทรับทำ SEO รับดูแลเว็บไซต์ ราคาถูก ครบวงจร https://seomasterth.com 32 32 Facebook pixel คืออะไร ยิงแอด FB โปรโมทเว็บไซต์ ต้องทำความเข้าใจ https://seomasterth.com/what-is-facebook-pixel/ Fri, 12 Jan 2024 16:47:13 +0000 https://seomasterth.com/?p=27923 Facebook pixel คืออะไร ยิงแอด FB โปรโมทเว็บไซต์ ต้องทำความเข้าใจ

 

อีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญกับคนทำเว็บ ก็คือเรื่องของการยิงแอด FB โปรโมทเว็บไซต์ตัวเอง สิ่งสำคัญคือควรวัดผลได้ว่าการยิงแอดนั้นมีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน เหล่านั้นเองต้องอาศัยเครื่องมือที่เรียกว่า Facebook pixel ขณะที่บางคนอาจยังคงอยู่ว่า Facebook pixel คืออะไร และเพื่อมาทำความเข้าใจร่วมกัน จะขอแนะนำรายละเอียดในบทความนี้ 

 

Facebook pixel คืออะไร 

 

Facebook pixel คือเครื่องมือชนิดหนึ่ง ใช้สำหรับติดตามการกระทำของตัวบุคคลที่คลิกแอด Facebook เครื่องมือนี้จะทำให้เจ้าของเว็บไซต์รู้ว่าเมื่อยิงแอด Facebook ไปแล้ว ประสิทธิภาพของแอดตัวนั้นอยู่ในระดับไหน ดีหรือไม่ดีอย่างไร มีคนคลิกเท่าไร คลิกแล้วเข้าสู่เว็บไซต์มีการกระทำใดต่อไปอีก ส่งผลต่อการขายหรือไม่ ส่งผลต่อการรับรู้แบรนด์มากน้อยแค่ไหน ฯลฯ ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าของเว็บไซต์ต้องการวัดผลอะไร 

เคยสงสัยมั้ย ว่าทำไมคุณถึงเห็นโฆษณาสินค้าบน Facebook ทั้ง ๆ ที่เมื่อกี้ เพิ่งเข้าไปส่องในเว็บมาหมาด ๆ สิ่งนี้เองใช้ประโยชน์จาก Facebook Pixel ในการยิงโฆษณา Remarketing หรือ Retargeting เพื่อนำเสนอสินค้าใหม่ ให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย เช่น ลูกค้าที่เคยเข้าเว็บเรา ชื่นชอบในสิ่งๆนี้อยู่แล้ว

อ่านเพิ่มเติม Retargeting VS Remarketing ต่างกันยังไง

 

รูปแบบของ Facebook pixel คือโค้ด (Code) ที่ผู้ใช้งานนำไปฝังในเว็บไซต์ แล้วจากนั้นก็จะมีการรายงานผลบน facebook ads manager หรือตัวจัดการโฆษณาว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไรบ้าง 

สิ่งที่ต้องมีก่อนทำ Facebook pixel คืออะไร 

 

สิ่งที่จำเป็นต้องมีก่อนทำ Facebook pixel คืออะไรบ้าง ในหัวข้อนี้ได้รวบรวมเอาไว้ให้แล้ว ดังนี้ 

 

1.บัญชี Facebook 

 

สิ่งที่ต้องมีแน่ๆ ในการทำ Facebook pixel คือก็คือบัญชี Facebook เพื่อสร้างแอด Facebook และสร้างโค้ด Facebook pixel โดยในการใช้งาน Facebook pixel จะเป็นการสร้างแอดขึ้นมาเพื่อโปรโมทเว็บไซต์หรือโปรโมทแอปพลิเคชั่น หากเป็นแอดโฆษณาที่โปรโมทสินค้าเพื่อให้มาสั่งซื้อผ่าน Facebook ไม่จำเป็นต้องใช้งาน Facebook pixel ก็สามารถรายงานผลได้ แต่กรณีที่ต้องใช้ Facebook pixel มักเป็นการโปรโมทช่องทางภายนอก Facebook โดยช่องทางนั้นต้องรองรับการใส่โค้ด

 

2.เว็บไซต์

 

ถัดมาจะต้องมีเว็บไซต์สำหรับโปรโมทผ่านแอด Facebook เพื่อรองรับการใส่โค้ด Facebook pixel โดยเว็บไซต์อาจจะเป็นเว็บไซต์เต็มรูปแบบก็ได้ หรือเป็นแบบ Sale page ก็ได้ แต่จะต้องมีปลายทางที่รองรับการใส่โค้ด 

 

3.Application 

 

บางกรณีอาจไม่มีเว็บไซต์ แต่อาจจะมี Application ก็สามารถใส่โค้ด Facebook pixel ได้เช่นกัน บางธุรกิจพบว่ามีการยิงแอด Facebook เพื่อโปรโมทแอปพลิเคชั่น กรณีนี้อาจไม่ต้องมีเว็บไซต์ก็สามารถใช้งาน Facebook pixel ได้ หรือจะมีทั้งเว็บไซต์และ Application ก็ได้อีกเช่นกัน

ความสำคัญของ Facebook pixel คืออะไร 

ความสำคัญหลักๆ ของ Facebook pixel คือการติดตามการกระทำ (Action) ของผู้ใช้งาน ที่กระทำกับแอด Facebook กล่าวคือเมื่อนักการตลาดทำการยิงแอด Facebook เพื่อโปรโมทเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชั่น จะต้องมีปุ่มอะไรสักอย่างปรากฏอยู่ด้วย เช่น ปุ่มเรียนรู้เพิ่มเติม, ปุ่มกดสั่งซื้อ, ปุ่มใส่ตะกร้า ฯลฯ หากแอดนั้นมีการตั้งค่า Facebook pixel ไว้ที่ปลายทาง เมื่อผู้ใช้งานมากดปุ่มนั้นๆ จะมีการรายงานผลว่ามีผู้ใช้งานกดคลิกที่ปุ่มนี้ 

 

โดย Action แรกที่จะแสดงผลบน Facebook pixel คือการเข้าชมเว็บไซต์ จากนั้นนักการตลาดสามารถเข้าไปตั้งค่าเพิ่มเติมได้ว่าอยากให้รายงานผลอะไรต่อไปอีก เช่น การกดใส่ตะกร้า, การกดสั่งซื้อ, การกดไปยังหน้าเว็บต่างๆ, การกดดาวน์โหลด และอื่นๆ หากตั้งค่าไว้ว่าให้รายงานผลส่วนไหน ก็จะรายงานตามที่ตั้งค่าบนหน้า Facebook pixel 

 

ข้อมูลที่รายงานผ่าน Facebook pixel นักการตลาดสามารถนำวิเคราะห์ผลและนำไปต่อยอดสร้างเนื้อหาโฆษณาถัดไปได้ 

 

วิธีการใช้งาน Facebook pixel 

 

ก่อนอื่นจะต้องทำการ “สร้างพิกเซล” ก่อน สำหรับวิธีการสร้างจะปรับเปลี่ยนไปตามที่ Facebook มีการ Update เวอร์ชั่น ขอแนะนำให้เข้าไปที่ คลิกที่นี่ แล้วทำตามข้อแนะนำของ Facebook จะดีที่สุด หลังจากนั้นเมื่อสร้างพิกเซลเรียบร้อยแล้ว จะสามารถเลือกสร้างโค้ด Facebook pixel  ได้ 

 

เมื่อสร้างโค้ด Facebook pixel แล้วให้ทำการ Copy โค้ดนั้นไปใส่ไว้ในเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชั่นที่ต้องการโปรโมท จากนั้นทำการตั้งค่าให้หน้า Facebook pixel ว่าต้องการติดตาม Action อะไรบ้าง เพื่อให้รายงานผลตามที่นักการตลาดอยากรู้ 

ข้อดีของ Facebook pixel คืออะไร

 

ข้อดีของการใช้งาน Facebook pixel นั้นมีหลายประการด้วยกัน ได้แก่ 

 

1.เลือกกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำ

 

คุณสมบัติที่น่าสนใจของ Facebook pixel คือสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ ด้วยระบบ AI ของ Facebook ที่ถูกออกแบบมา ทำให้สามารถคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายได้เหมาะกับธุรกิจ นำไปสู่การกระทำที่ตรงกับจุดประสงค์ของนักการตลาด 

 

2.สามารถสร้างแคมเปญได้ตอบโจทย์กับกลุ่มเป้าหมาย

 

คุณสมบัติที่น่าสนใจอีกอย่างของ Facebook pixel คือสามารถสร้างแคมเปญได้หลากหลาย มีความละเอียด จึงสร้างแคมเปญได้ตอบโจทย์กับกลุ่มเป้าหมาย 

3.สามารถติดตามพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายได้

 

การใช้งาน Facebook pixel สามารถติดตามพฤติกรรมการใช้งานของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างละเอียด จึงทำให้รับรู้ได้ว่ากลุ่มเป้าหมายกำลังสนใจเกี่ยวกับอะไรอยู่ ข้อมูลส่วนนี้นำมาต่อยอดทำโฆษณาในอนาคตได้

4.สามารถสร้าง Lookalike Audiences ได้

 

การใช้งาน Facebook pixel สามารถสร้าง Lookalike Audiences ได้ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ถือเป็นข้อดี เพราะคุณสมบัตินี้ช่วยให้สามารถคาดการณ์ยอดขายในเบื้องต้นได้ ผลของการคาดการณ์ยังสามารถนำไปวิเคราะห์และวางแผนต่อได้

 

ทั้งหมดนี้ก็เป็นข้อมูลที่ทำให้เข้าใจว่า Facebook pixel คืออะไร สำหรับนักการตลาดที่ต้องการโปรโมทเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชั่น ก็สามารถหันมาใช้งาน Facebook pixel ได้ คุณสมบัติที่น่าสนใจคือการสร้างแคมเปญได้ตอบโจทย์กับกลุ่มเป้าหมาย และเก็บข้อมูลได้อย่างแม่นยำ ปัจจุบันมีผู้ใช้งานให้ความไว้วางใจใน Facebook pixel จำนวนมาก จากการใช้งานที่ตอบโจทย์นักการตลาด รายงานผลได้ตรงจุด เป็นข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ สามารถนำไปต่อยอดได้อย่างลงตัว ช่วยให้การวางแผนดำเนินงานสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น

]]>
EMAIL MARKETING คืออะไร การตลาดที่ช่วยรักษาฐานลูกค้าได้ https://seomasterth.com/what-is-email-marketing/ Wed, 10 Jan 2024 13:58:54 +0000 https://seomasterth.com/?p=27779 EMAIL MARKETING คืออะไร การตลาดที่ช่วยรักษาฐานลูกค้าได้

 

Email ก็สามารถทำการตลาดได้ เรียกว่า Email Marketing คือช่องทางหนึ่งที่ใช้สำหรับการโปรโมทและส่งเสริมการขาย การสื่อสารผ่านอีเมล์ยังคงเป็นช่องทางที่ได้รับการยอมรับ เพราะบัญชีอีเมล์เป็นสิ่งที่คนใช้งานอินเทอร์เน็ตแทบทุกคนต้องมี ครั้งนี้ทางบทความจะมาอธิบายรายละเอียดที่ว่า Email Marketing คืออะไร 

 

Email Marketing คืออะไร? 

 

Email Marketing คือการทำกิจกรรมทางการตลาดผ่านทางอีเมล์ เน้นการประชาสัมพันธ์เนื้อหาต่างๆ ของแบรนด์ โดยการส่งอีเมล์หากลุ่มเป้าหมาย อาจเป็นโปรโมชั่น การประกาศเปิดตัวสินค้า การชี้แจงกิจกรรมของแบรนด์ และอื่นๆ แม้ว่า Email อาจเป็นสิ่งที่ใครหลายคนมองข้าม แต่พบว่าช่องทางนี้กลับเป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพไม่น้อย

เหตุผลที่ควรทำ Email Marketing คืออะไร? 

 

Email Marketing มีประโยชน์หลายอย่าง ดังนี้

 

1.Email เป็นบัญชีที่คนใช้งานอินเทอร์เน็ตทุกคนมี 

 

ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตเกือบทุกคน ต้องมีบัญชีอีเมล์ไปของตัวเอง ไม่เหมือนกับบัญชี Social Media ที่บางคนอาจจะมีบัญชี A แต่ไม่มีบัญชี B หรือบางคนก็อาจจะไม่มีบัญชี A แต่มีบัญชี B แต่ถ้าเป็นอีเมล์หลายๆ คนที่ใช้งานอินเทอร์เน็ตแทบจะมีทุกราย เพราะอีเมล์ใช้สมัครบัญชีอื่นๆ ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Social Media ต่างๆ สมัครบัญชีเว็บไซต์ Shopping สมัครบัญชีอื่นๆ ล้วนต้องสมัครผ่านอีเมล์ 

 

2.ช่วยรักษาฐานลูกค้าเก่าได้

 

ประโยชน์ที่สำคัญของ Email Marketing คือการรักษาฐานลูกค้าเก่า ช่วยกระตุ้นให้เกิดการซื้อซ้ำได้ โดยแบรนด์มักจะต้องขอรายชื่ออีเมล์ลูกค้าที่มีการซื้อครั้งแรกเอาไว้ด้วยวิธีการต่างๆ จากนั้นเมื่อเก็บอีเมล์ลูกค้าไว้ในรายชื่อแล้ว จะทำการส่งอีเมล์ไปหาลูกค้าตามรายชื่อที่บันทึกไว้ ส่วนมากมักจะส่งเนื้อหาให้เกิดการซื้อซ้ำ เช่น โปรโมชั่นต่างๆ และเพื่อให้ลูกค้าจดจำแบรนด์เอาไว้ 

 

Email Marketing มีประโยชน์ในการทำ CRM หรือ Customer Relationship Management ที่เรียกว่าสานสัมพันธ์กับลูกค้า ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างฐานลูกค้าที่ภักดีกับแบรนด์ ซึ่งการทำ CRM เป็นเรื่องที่หลายๆ แบรรด์ให้ความสำคัญ หากสร้างฐานลูกค้าที่ภักดีกับแบรนด์ได้สำเร็จ จะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ดีต่อแบรนด์ในระยะยาว 

 

3.ค่าใช้จ่ายในการทำการตลาดน้อยกว่าช่องทางอื่น

 

หากเปรียบเทียบงบการตลาดในแต่ละช่องทาง Email Marketing ถือว่าใช้งบประมาณน้อยกว่าช่องทางอื่นๆ คิดรายจ่ายเป็นแพ็คเก็ต โดยในแพ็คเก็ตหนึ่งจะสามารถส่งข้อความได้ในจำนวนหนึ่งตามข้อกำหนดของแพ็คเก็ตนั้นและมีระยะเวลากำหนดเอาไว้ด้วย เช่น แพ็คเก็ต 2,000 บาท สามารถส่งข้อความได้จำนวน 1,001-5,000 E-Mails ภายในระยะเวลา 30 วัน เป็นต้น ทั้งนี้เรื่องของราคาและปริมาณข้อความรวมถึงระเวลาในการส่ง ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการแต่ละราย 

 

4.ส่งข้อความได้หลากหลายรูปแบบ

 

การส่งอีเมล์สามารถส่งข้อความได้หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การส่งข้อความแบบ Text หรือการส่งข้อความรูปภาพ หรือไฟล์เสียง ก็สามารถส่งผ่านอีเมล์ได้ อีกทั้งยังสามารถแนบลิงค์ให้คลิกไปยังช่องทางอื่นๆ ได้มากมาย ผิดกับการโฆษณาบางช่องทางที่มีข้อจำกัด อย่างเช่น การโฆษณา Facebook ก็จำกัดความยาว Caption การโฆษณา TikTok ก็ไม่สามารถแนบลิงค์ภายนอกได้ เป็นต้น

 

5.มีการรายงานผลการส่ง Email 

 

ประโยชน์อีกหนึ่งประการของ Email Marketing ก็คือการรายงานผลการส่ง Email เพราะทุกครั้งที่มีการส่งออกข้อความ จะมีการบันทึกเป็นข้อมูลสถิติเอาไว้ด้วย ทั้งยังรายงานผลด้วยว่ามีผู้รับอีเมล์กี่ฉบับ และเปิดอ่านกี่ฉบับ ข้อมูลเหล่านี้นักการตลาดสามารถนำกลับมาวิเคราะห์ได้ เพื่อวางแผนการทำ Email Marketing ในอนาคต 

6.ส่งผลดีต่อ SEO 

 

การทำ Email Marketing ถือเป็นการทำ SEO Off-Page เป็นการส่ง Organic Traffic ผู้ใช้งานเว็บเข้าสู่หน้าเว็บไซต์ของเรา

 

หลักการทำ Email Marketing คืออะไร? 

 

มาดูหลักการทำ Email Marketing มีดังนี้ 

 

1.ตั้งชื่ออีเมล์ให้น่าสนใจ 

 

หลักการแรกที่ควรทำใน Email Marketing คือการตั้งชื่ออีเมล์ให้น่าสนใจ โดยส่วนนี้สามารถใส่ข้อมูลได้ที่ช่อง Subject ตอนอยู่ในหน้าต่างเขียนอีเมล์ ส่วนนี้คล้ายๆ กับการพาดหัวบทความ พยายามตั้งชื่ออีเมล์ให้น่าสนใจ และกระตุ้นให้ผู้รับทำการเปิดอ่าน โดยชื่ออีเมล์นั้นควรเกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่อยู่ภายในนั้นด้วย หากหัวข้อน่าสนใจ ดึงดูดและทำให้เปิดอ่านได้สำเร็จ แต่เนื้อหาในนั้นกลับไม่เกี่ยวข้องเลย จะส่งผลเสียต่อแบรนด์ เพราะผู้รับที่ตัดสินใจเปิดอ่านจากหัวข้อนั้นจะไม่พอใจได้ 

 

2.มี Call-To-Action ในเนื้อหา

 

หลักการถัดมาในการทำ Email Marketing ควรใส่ Call-To-Action ลงไปในเนื้อหาด้วย เช่น ติดปุ่มให้คลิก ติดลิงค์ให้คลิก เป็นต้น การใส่ Call-To-Action ต้องตั้งวัตถุประสงค์ก่อน แล้วใส่ Call-To-Action ให้ตอบวัตถุประสงค์นั้น เช่น ต้องการให้คนคลิกซื้อ ก็ติดปุ่มตะกร้า เพื่อให้ผู้อ่านคลิกไปหน้าสินค้าและกดซื้อสินค้า หรือต้องการเพิ่ม Traffic ให้เว็บไซต์ ก็แปะลิงค์เว็บไซต์ไว้ เพื่อให้ผู้อ่านคลิกลิงค์เข้าเว็บไซต์ เป็นต้น ทั้งนี้อย่าลืมติด UTM ไว้ที่ลิงค์นั้นๆ ด้วย เพื่อ Tag ว่ามีคนคลิกเข้าเว็บไซต์จากอีเมล์ฉบับนั้นๆ และนำไปวัดผลภายหลังได้ 

 

3.วิเคราะห์ข้อมูลเสมอ 

 

หลักการทำ Email Marketing ที่ดีควรมีการวิเคราะห์ข้อมูลอยู่เสมอ หากมีการรายงานการส่งอีเมล์ต้องหมั่นเก็บข้อมูลและนำมาวิเคราะห์ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดอ่านอีเมล์ การคลิกลิงค์ การคลิกปุ่มต่างๆ บนอีเมล์ และอื่นๆ จากนั้นนำมาวิเคราะห์ว่าดีหรือไม่อย่างไร เพื่อวางแผนทำ Email Marketing ต่อไปในอนาคต

 

4.ปรับปรุงเนื้อหา

 

เมื่อวิเคราะห์ผลแล้ว สิ่งที่ควรทำลำดับถัดมาคือการปรับปรุงเนื้อหาให้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม หากอีเมล์ฉบับไหนมี Feedback ต่ำกว่าอีเมล์ฉบับอื่นๆ ควรสำรวจความบกพร่องในเนื้อหานั้นและนำมาปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น

ข้อจำกัดในการทำ Email Marketing คืออะไร? 

 

ข้อจำกัดหลักๆ ของการทำ Email Marketing คือแบรนด์จะต้องมีรายชื่ออีเมล์ของกลุ่มเป้าหมาย จึงจะทำการส่งอีเมล์ไปหาได้ ไม่เหมือนกับการยิงแอด Facebook Instagram หรือ TikTok ที่สามารถยิงแอดไปหากลุ่มเป้าหมายที่สนใจในเรื่องนั้นๆ ได้ แม้กลุ่มเป้าหมายไม่ได้กดติดตาม 

]]>
KOL (Key Opinion Leader) คืออะไร สำคัญกับการตลาดมากแค่ไหน https://seomasterth.com/what-is-key-opinion-leader/ Sat, 06 Jan 2024 20:57:52 +0000 https://seomasterth.com/?p=27577 KOL คืออะไร สำคัญกับการตลาดมากแค่ไหน

 

อีกหนึ่งคำศัพท์ที่นักการตลาดรู้ดีก็คือ KOL แต่สำหรับนักการตลาดหน้าใหม่ หรือนักธุรกิจที่เพิ่งก้าวเข้าสู่วงการ และอยากทำความเข้าใจ ครั้งนี้ทางบทความก็ได้รวบรวมข้อมูลความรู้มาให้แล้วว่า KOL คืออะไร พร้อมทั้งยังได้นำข้อมูลเกี่ยวกับความสำคัญของ KOL มาฝาก ดังนี้ 

 

KOL คืออะไร?

 

Key Opinion Leader หรือ KOL คือบุคคลที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะทางในด้านหนึ่ง ซึ่งจะต้องมีอาชีพหรือทำงานในด้านนั้นด้วย ทำให้ KOL เป็นบุคคลที่มีความน่าเชื่อถือในด้านนั้นๆ เมื่อใดก็ตามที่ KOL ออกมาพูดหรือให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่มีความเชี่ยวชาญนั้น ผู้คนที่ติดตาม KOL รายนั้นก็จะมีความเชื่อถือในข้อมูลนั้นอย่างมาก เพราะ KOL คือบุคคลที่น่าเชื่อถือในความรู้สึกของผู้ติดตาม 

 

เดิมที KOL มักอยู่ในสายงานที่ต้องอาศัยความรู้หรือความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง อย่างพวกสายงานด้านการแพทย์ สายงานด้านวิศวกรรม เป็นต้น แต่ปัจจุบัน KOL พบได้ในสายงานอื่นด้วย เช่น สายความงาม สายไลฟ์สไตล์ เป็นต้น 

 

ความสำคัญของ KOL คืออะไร

 

ความสำคัญของ KOL ในแง่ของการตลาด ถือว่ามีความสำคัญไม่มากก็น้อย การที่ธุรกิจเลือกทำการตลาดด้วย KOL Marketing หลักๆ เลยจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับสินค้าหรือบริการ และไม่เพียงเท่านั้นยังช่วยเพิ่มการรับรู้ของแบรนด์ได้ด้วย โดยการเลือกใช้ KOL Marketing จะทำให้กลุ่มคนที่ติดตาม KOL รายนั้นๆ ได้รู้จักกับแบรนด์ เมื่อ KOL ได้กล่าวถึงแบรนด์ ทั้งยังถือเป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้าในอนาคตได้ เนื่องจากมีการติดตาม KOL รายนั้น ก็น่าจะเป็นผู้ที่สนใจในความรู้หรือข้อมูลด้านนั้นๆ ด้วย ซึ่งสอดคล้องกับสินค้าหรือบริการที่ KOL กล่าวถึง

 

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่าย การที่มีช่างแต่งหน้าชื่อดังที่มีผู้ติดตามจำนวนหนึ่ง เมื่อช่างแต่งหน้าคนนั้นมาพูดถึงเครื่องสำอาง ผู้ติดตามจำนวนนั้นก็มีแนวโน้มที่สนใจเครื่องสำอางด้วย เนื่องจากมีการติดตามหรือสนใจในตัวช่างแต่งหน้า และเมื่อช่างแต่งหน้าคนนั้นแนะนำเครื่องสำอางหนึ่งขึ้นมา ผู้ติดตามจำนวนหนึ่งย่อมสนใจและอยากซื้อตาม เพราะเชื่อว่าเครื่องสำอางชิ้นนั้นดี เพราะช่างแต่งหน้าซึ่งมีฐานะเป็น KOL ในเวลานั้น และมีความรู้เกี่ยวกับการแต่งหน้าในระดับเชี่ยวชาญมาแนะนำด้วยตัวเอง ทำให้เครื่องสำอางนั้นดูน่าเชื่อถือและน่าสนใจ

 

การเลือกใช้ KOL Marketing จะช่วยให้แบรนด์โดดเด่นขึ้นจากคู่แข่งในท้องตลาด ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและส่งเสริมภาพลักษณ์ให้น่าซื้อหรือน่าใช้งาน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวสินค้าก็ต้องมีคุณภาพจริง เพราะเชื่อว่าทางด้าน KOL เองก็ต้องรักษาชื่อเสียงในสายงานของตัวเอง และไม่รับงานแนะนำสินค้าสุ่มสี่สุ่มห้าอย่างแน่นอน 

ความแตกต่างระหว่าง Influencer และ KOL คืออะไร

ทั้งนี้ยังมีส่วนหนึ่งเข้าใจผิดและสับสนระหว่าง Influencer และ KOL อยู่ เนื่องจากเป็นการใช้คนดังในแวดวงหนึ่งเพื่อนำเสนอสินค้าเหมือนกัน แต่ทั้ง 2 อย่างนี้มีความแตกต่างอยู่ ย้อนกลับไปดูความหมายของ KOL คือบุคคลที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะทางในด้านหนึ่ง ซึ่งจะต้องมีอาชีพหรือทำงานในด้านนั้นด้วย ส่วน Influencer คือบุคคลที่มีอิทธิพลต่อความคิดและการตัดสินใจของกลุ่มเป้าหมาย แต่ Influencer อาจไม่ต้องทำอาชีพในด้านนั้นๆ ก็ได้ 

 

ยกตัวอย่างเช่น ดารานักแสดงชื่อดัง เมื่อถูกแบรนด์เลือกให้แนะนำเครื่องสำอาง แน่นอนว่านักแสดงคนนั้นมีอิทธิพลต่อความคิดและการตัดสินใจของกลุ่มเป้าหมายที่สนใจเครื่องสำอางในระดับหนึ่ง และพร้อมที่จะซื้อตามคำแนะนำของนักแสดงคนนั้น แบบนี้นักแสดงแนะนำเครื่องสำอางในฐานะ Influencer เพราะนักแสดงไม่ได้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการแต่งหน้าหรือเครื่องสำอาง เพียงแต่อาศัยประสบการณ์ของตัวเองมาการันตีสินค้านั้น 

 

แต่ถ้าหากเลือกเป็นช่างแต่งหน้าชื่อดังให้มาแนะนำเครื่องสำอาง จะกลายเป็น KOL เพราะมีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการแต่งหน้า หรือถ้าหากเลือกอาจารย์ที่สอนอยู่ในสำนักวิชาวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง มาให้ความรู้เกี่ยวกับเครื่องสำอางแล้วมีการเชื่อมโยงกับแบรนด์ ก็เรียกว่า KOL เช่นกัน 

หลักการเลือก KOL คืออะไรบ้าง

1.เลือก KOL ที่มีสาขาอาชีพสอดคล้องกับสินค้า

 

ก่อนอื่นเลยสำหรับการเลือก KOL ควรเลือกคนที่ประกอบอาชีพเหมาะสมกับสินค้า อย่างเช่นการเลือก KOL สำหรับสินค้าที่เป็นยาสีฟัน ควรเลือกทันตแพทย์ ไม่ใช่หมอทั่วไป เพื่อให้ตอบวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการทำ KOL Marketing แต่ถ้าหากต้องการทำ Influencer Marketing ก็อาจเปลี่ยนเป็นอาชีพอื่นได้

 

2.เลือก KOL ที่มีผู้ติดตามจำนวนเหมาะสม

 

การเลือก KOL ต้องคำนึงถึงจำนวนผู้ติดตามหรือชื่อเสียงของบุคคลนั้นด้วย แน่นอนว่าการทำการตลาดด้านนี้ก็มีต้นทุนการตลาด จึงควรเลือกผู้ที่มีจำนวนผู้ติดตามที่มีแนวโน้มว่าจะมาเป็นลูกค้าในอนาคตได้ เหมาะสมกับต้นทุนที่จ่ายไป สำหรับตัวเลขผู้ติดตามที่เหมาะสมนั้นไม่มีคำตอบตายตัว ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของแผนการตลาดนั้นๆ ไม่จำเป็นต้องเยอะเสมอไป แต่ต้องสอดคล้องกับจำนวนเงินที่จ่ายในส่วนนี้ และคำนวณถึงผลที่คาดว่าจะได้รับกลับมา ต้องวิเคราะห์และประเมินให้ดี เพื่อผลลัพธ์ที่คำนวณออกมาแล้วได้กำไร หรือสามารถต่อยอดให้ธุรกิจเป็นที่รู้จักได้อย่างเห็นผล

 

3.เลือก KOL ที่ไม่มีข่าวเสีย

 

แม้ว่า KOL จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ได้ แต่บางบุคคลก็อาจมีข่าวเสียหายที่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ได้เช่นกัน อย่างเช่นศัลยแพทย์บางรายที่ถึงแม้จะมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง แต่ก็อาจเคยมีข่าวเสียเกี่ยวกับเคสที่ผิดพลาด หากเป็น KOL ที่มีคุณลักษณะแบบนั้นก็ควรหลีกเลี่ยง แม้แต่สายงานด้านวิศวกรรม หากต้องการทำการตลาดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ด้านโครงสร้าง แต่วิศวกรคนนั้นอาจเคยมีข่าวรับสินบนจากรัฐบาลก็ควรหลีกเลี่ยงเช่นกัน ถึงแม้จะไม่ใช่การทำงานที่ผิดพลาด แต่ข่าวด้านลบแบบนี้ก็ทำให้แบรนด์เสียชื่อเสียงไปด้วยได้

 

KOL คือบุคคลที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ ทำให้การเลือกใช้ KOL มาทำการตลาดหรือโปรโมทสินค้าใดสินค้าหนึ่ง ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือได้อย่างมาก อีกทั้งยังเพิ่มการรับรู้ของแบรนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยิ่งถ้าหาก KOL ที่เลือกมามีผู้ติดตามมากเท่าไร ตัวสินค้าก็จะเป็นที่รู้จักกว้างมากขึ้นเท่านั้น แต่การเลือกใช้ KOL ก็ต้องอาศัยหลักการที่เหมาะสมด้วย เพื่อความคุ้มค่าในด้านการตลาด 

]]>
4P คืออะไร หลักการตลาดขั้นพื้นฐานที่ทุกคนต้องรู้ https://seomasterth.com/what-is-4p-marketing/ Sat, 06 Jan 2024 15:12:37 +0000 https://seomasterth.com/?p=27569 4P คืออะไร หลักการตลาดขั้นพื้นฐานที่ทุกคนต้องรู้

 

หลักการตลาดขั้นพื้นฐานสำคัญกับทุกธุรกิจ โดยในครั้งนี้ทางบทความจะมาอธิบายถึงรายละเอียดของหนึ่งในหลักการพื้นฐานที่ว่า นั่นก็คือส่วนผสมทางการตลาด ซึ่งประกอบไปด้วย 4P คือสิ่งสำคัญที่ช่วยวางแผนและกำหนดกลยุทธ์การตลาด และส่งเสริมการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

 

4P คืออะไร?

 

4P หรือ “4P marketing” คือหลักการตลาดหนึ่งนั่นคือ “ส่วนผสมทางการตลาด” ประกอบไปด้วย Product Price Place และ Promotion โดยองค์ประกอบทั้ง 4 อย่าง ในแง่ของการตลาดนั้นทำงานควบคู่กันเสมอ นักการตลาดจึงต้องวางกลยุทธ์องค์ประกอบทั้ง 4 นี้ให้สอดคล้องกัน 

 

 

4p ประกอบด้วยอะไรบ้าง

1.Product

 

Product คือสินค้าซึ่งเป็นหนึ่งในส่วนผสมทางการตลาด คนทำธุรกิจจะต้องวิเคราะห์สินค้า เพื่อการวางแผนการขาย ส่วนที่ต้องวิเคราะห์ออกมาคือสินค้าคืออะไร ใช้งานอย่างไร มีคุณสมบัติแบบไหน จุดเด่นคืออะไร ต้องออกแบบอย่างไร ตอบสนองความต้องการในด้านไหน เป็นต้น

 

2.Price

 

Price คือราคา เป็นอีกหนึ่งส่วนผสมทางการตลาดที่สำคัญ ราคาจะต้องสอดคล้องกับคุณลักษณะของสินค้า มูลค่าทางการตลาดและต้นทุน ต้องนำต้นทุนทั้งหมดมาคำนวณ ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนการผลิตสินค้า ต้นทุนแรงงาน ต้นทุนการตลาด และอื่นๆ แล้วนำมาตั้งราคาขายให้ได้กำไรที่เหมาะสม แต่นอกจากคำนวณจากต้นทุนแล้ว จะต้องสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจและคำนึงถึงคู่แข่งทางธุรกิจด้วย ที่สำคัญที่สุดคือต้องเป็นราคาที่กลุ่มเป้าหมายรับได้ โดยที่ธุรกิจจะต้องได้กำไรที่คุ้มค่าด้วย 

 

3.Place

 

Place ใน 4P คือช่องทางการจำหน่าย ส่วนนี้สำคัญมากที่ธุรกิจต้องวิเคราะห์ให้ดีว่าจะวางจำหน่ายทางช่องทางไหนบ้าง หลักๆ เลยจะต้องวางจำหน่ายช่องทางที่สอดคล้องกับพฤติกรรมการซื้อของกลุ่มเป้าหมาย บางสินค้าไม่จำเป็นต้องวางจำหน่ายทุกช่องทาง หากว่ากลุ่มเป้าหมายไม่ได้มีพฤติกรรมการซื้อสินค้าผ่านทุกช่องทาง เพราะแต่ละช่องทางการวางจำหน่ายล้วนมีต้นทุน หรือบางธุรกิจอาจขยายช่องทางจำหน่ายเพิ่มเติมทีหลังได้ ทั้งนี้ในส่วนของการจัดส่งสินค้า ระยะเวลาในการจัดส่ง และคลังสินค้าก็อยู่ในส่วนของ Place ด้วยเช่นกัน 

 

4.Promotion

 

Promotion เป็นอีกหนึ่งในส่วนผสมทางการตลาด และยังเป็นหัวใจสำคัญในการทำการตลาด เพื่อส่งเสริมการขาย ในส่วนของ Promotion มีสิ่งที่ต้องวิเคราะห์หลายส่วน แตกต่างกันออกไปในแต่ละธุรกิจ ประกอบไปด้วยกิจกรรมทางการตลาด การประชาสัมพันธ์ กิจกรรมกระตุ้นความต้องการ อาทิ การแจกส่วนลด การแจกของแถม หรือการมอบสิทธิพิเศษอื่นๆ ในส่วนของ Promotion ยังมีความซับซ้อนเพิ่มอีก อย่างการใช้เครื่องมือ Digital marketing ก็ถือเป็นกิจกรรมในส่วนของ Promotion เช่นกัน

ประโยชน์ 4P คืออะไร?

 

การทำ 4P หรือวิเคราะห์ส่วนผสมทางการตลาด มีประโยชน์ในแง่ของการทำธุรกิจ หากไม่มีการวิเคราะห์ส่วนผสมเหล่านี้ การดำเนินงานอาจไม่มีประสิทธิภาพมากพอ ซึ่งการวิเคราะห์ทั้ง 4 อย่าง ทฤษฏี 4P ช่วยให้สามารถต่อสู้กับคู่แข่งและต่อยอดไปสู่การเจริญเติบโตของธุรกิจได้ ดังนี้

 

รู้จักสินค้าตัวเองมากขึ้น

 

ประโยชน์ของการทำ 4P คือเจ้าของธุรกิจหรือนักการตลาดจะรู้จักกับสินค้าของตัวเองมากขึ้น เนื่องจากปัญหาสำคัญที่พบในโลกธุรกิจ ส่วนหนึ่งคือเจ้าของธุรกิจไม่รู้จักสินค้าของตัวเองมากพอ รู้แค่ว่าสินค้านั้นคืออะไร ทำอะไรได้บ้าง แต่อาจยังตกหล่นว่าสินค้านั้นเหมาะกับใครบ้าง จุดเด่นที่เหนือกว่าคู่แข่งคืออะไร หรือบางธุรกิจที่คิดทำตามคนอื่น ยิ่งขาดส่วนนี้ไป รู้แค่ว่าคนอื่นทำได้ เราก็ทำได้ แต่ไม่ได้เพิ่มจุดเด่นเข้าไป ไม่มีตัวตนเป็นของตัวเอง นั่นคือตัวอย่างของธุรกิจที่ยังไม่รู้จักตัวเองมากพอ 

 

แต่การทำ 4P เจ้าของธุรกิจจะได้ทบทวนอย่างละเอียดว่าสินค้าหรือบริการของตัวเองนั้นคืออะไร ดีอย่างไร สิ่งที่เหนือกว่าคู่แข่งหรือสิ่งที่สู่คู่แข่งได้คืออะไร จึงสามารถสร้างภาพลักษณ์ของสินค้าให้แตกต่างกว่าคู่แข่งได้ในที่สุด และสามารถแข่งขันได้อย่างมีศักยภาพ

รู้จักกลุ่มเป้าหมายของตัวเองมากขึ้น

 

ประโยชน์ถัดมาของ 4P คือ เจ้าของธุรกิจหรือนักการตลาด จะได้รู้จักกับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น เพราะผ่านการวิเคราะห์มาแล้วว่าสินค้าหรือบริการของตัวเองคืออะไร จุดเด่นคืออะไร แก้ปัญหาส่วนไหน จึงทำให้รู้ว่ากลุ่มเป้าหมายหลักที่จะบริโภคสินค้านี้คือใคร ทำให้วางแผนการขายอันดับถัดไปได้ดียิ่งขึ้น เพราะเมื่อรู้แล้วว่าสินค้าจะขายให้ใคร ก็จะรู้ว่าต้องขายราคาเท่าไร ต้องกระตุ้นความต้องการด้วยเนื้อหาแบบไหน ต้องจัดโปรโมชั่นแบบไหน หรือต้องเลือกช่องทางอะไรในการจัดจำหน่าย

ช่วยประหยัดต้นทุน

 

หลายครั้งที่พบว่าบางธุรกิจมีการทำการตลาดแบบเหวี่ยงแห ส่วนหนึ่งอาจยังไม่รู้จักสินค้าตัวเองดีพอ และไม่รู้ว่ากลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงคือใคร จึงต้องใช้งบประมาณไปกับการตลาดที่เกินความจำเป็น ทำให้ประโยชน์ลำดับถัดไปของ 4P คือจะช่วยประหยัดงบการตลาดไปได้ไม่มากก็น้อย ทั้งในเรื่องของการทำโฆษณา ช่องทางการสื่อสาร และช่องทางการจัดจำหน่าย เพราะหลายๆ ธุรกิจไม่จำเป็นต้องทำการตลาดทุกช่องทาง บางแบรนด์หากทำ 4P และวิเคราะห์ดีๆ จะรู้ว่าการทำโฆษณาออฟไลน์สามารถตัดทิ้งได้ หรือแม้แต่การวางจำหน่ายสินค้า บางแบรนด์อาจพบว่าไม่จำเป็นต้องวางขายในร้านสะดวกซื้อที่ใช้ต้นทุนสูง เพราะกลุ่มเป้าหมายไม่ได้นิยมซื้อของผ่านร้านสะดวกซื้อมากขนาดนั้น เป็นต้น 

 

ช่วยเรื่องการวางแผนธุรกิจ

 

ประโยชน์ที่สำคัญอีกหนึ่งประการของการทำ 4P คือ ช่วยให้การวางแผนธุรกิจนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของการวางกลยุทธ์ เพื่อแข่งขันทางธุรกิจ การทำ 4P จะทำให้มีข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการที่ละเอียด จึงสามารถวางแผนธุรกิจได้ตอบโจทย์กว่าเดิม มีตัวอย่างวิเคราะห์ 4P Marketing บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เบเกอรี่ ขนมปัง มาม่า ฟาร์มเฮ้าส์ ให้ดูในเน็ตมากมาย ลองหาดูจากบทความอื่นที่เจาะลึกอีกขั้นครับ

 

จะเห็นว่าการทำ 4P คือหนึ่งส่วนที่สำคัญในการทำการตลาด หากไม่ผ่านการวิเคราะห์ส่วนนี้ให้ถี่ถ้วน อาจทำให้การดำเนินงานนั้นไม่มีประสิทธิภาพมากพอ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้างรายได้ รวมไปถึงอัตราความเจริญเติบโตในธุรกิจ

]]>
Press Release คืออะไร? มีประโยชน์ต่อ SEO ยังไง https://seomasterth.com/what-is-press-release/ Fri, 29 Dec 2023 19:04:49 +0000 https://seomasterth.com/?p=27013 Press Release คืออะไร?

Press Release คือ ข่าวประชาสัมพันธ์ ข้อความ บทความที่ถูกสร้างขึ้น เพื่อเผยแพร่ข่าวสารหรือข้อมูลการตลาดที่สำคัญจากองค์กร บริษัท หรือบุคคล ไปยังสื่อมวลชน สำนักข่าว หนังสือพิมพ์ อินฟลูเอนเซอร์ และเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อประกาศเหตุการณ์ การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือโปรโมทข่าวสารอื่น ๆ ที่มีความสำคัญ

โดยปกติแล้ว ข่าวประชาสัมพันธ์ ก็มักจะใช้ชื่อ Press Release, News Release Media Release หรือ Digital PR กรณีเผยแพร่บนเว็บไซต์ออนไลน์ สำนักข่าวใหญ่ ก็ได้เช่นกัน ซึ่งแบรนด์หรือธุรกิจจะข้อมูลสรุปกิจกรรมที่จะเกิดขึ้น ส่งไปยังสื่อต่างๆ เพื่อประชาสัมพันธ์กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

นอกจากนี้ ‘ข่าวประชาสัมพันธ์’ มีความคล้ายกับ ‘การประชาสัมพันธ์’ หรือ PR ย่อมาจาก Public Relations คือ การสื่อสารไปยังสาธารณชน เพื่อจัดกิจกรรมการส่งเสริมการตลาด PR ในยุคดิจิทัล หรือจัดกิจกรรมพิเศษเพื่อการประชาสัมพันธ์ และวางกลยุทธ์ในการเผยแพร่ข้อมูลออกไปในวงกว้าง ให้กลุ่มเป้าหมายได้รับรู้มากยิ่งขึ้น

Press Release ใช้กับกิจกรรมอะไรได้บ้าง?

อย่างที่รู้กันแล้วค่ะว่า Press Release หมายถึง การประชาสัมพันธ์ข่าวสารหรือเหตุการณ์สำคัญ ที่นำส่งไปยังสื่อ สำนักพิมพ์ เว็บไซต์ อินฟลูเอนเซอร์ Youtuber Facebook Fanpage Twitter Tiktok และอื่น ๆ โดยจะยกตัวอย่างกิจกรรมของ Press Release มีดังนี้

1. เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่

ถ้าแบรนด์หรือธุรกิจของคุณ มีสินค้าหรือบริการใหม่ที่ต้องการเปิดตัว การเขียนข่าวประชาสัมพันธ์นับเป็นวิธีที่ดีในการแจ้งให้สาธารณชนและสื่อมวลชนรู้

2. การเปิดสาขาใหม่หรือขยายธุรกิจ

ถ้าบริษัทหรือร้านค้าของคุณกำลังจะเปิดสาขาใหม่และขยายธุรกิจในพื้นที่อื่น ๆ การจัดทำ PR เพื่อประชาสัมพันธ์ ช่วยเรียกคนมาเยี่ยมชมสาขาใหม่ได้อีกด้วย

3. เปิดตัวแคมเปญหรือโปรโมชัน

เมื่อมีแคมเปญหรือโปรโมชันใหม่ ๆ แน่นอนว่าการเขียนข่าวประชาสัมพันธ์ ช่วยดึงดูดให้ลูกค้าหรือผู้ที่สนใจเข้ามาร่วมรับแคมเปญหรือโปรโมชันได้เช่นกัน

4. การเปลี่ยนแปลงนโยบายหรือข้อกำหนด

ในกรณีที่คุณมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายหรือข้อกำหนดต่าง ๆ ในองค์กร การประชาสัมพันธ์จะช่วยให้คนที่อยู่ภายในองค์กรรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลง และรับมือกับสถานการณ์ได้ทันท่วงที

5. การจัดงานอีเวนต์ต่าง ๆ

หากคุณจัดงานอีเวนต์แล้วไม่ได้ประชาสัมพันธ์ แน่นอนว่าจะไม่มีใครรับรู้ถึงการจัดงานที่เกิดขึ้น ดังนั้นการเขียนข่าวประชาสัมพันธ์ ช่วยให้ผู้อื่นรับรู้การจัดงาน และดึงดูดผู้ที่สนใจได้เข้ามาร่วมงานกันมากขึ้นนั่นเอง

6. เพื่อแก้ไขข่าวลือ ข่าวร้าย และป้องกันข่าวต่าง ๆ ที่ไม่ดีขององค์กร

 

ประโยชน์ของ PRESS RELEASE มีอะไรบ้าง?

การสร้าง Backlink ที่มีคุณภาพ

หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญสำหรับ SEO ในส่วน SEO Off-Page คือ การทำ backlink ซึ่งเป็นข้อความที่เป็นลิงก์โดยใส่ URL มายังเว็บไซต์ของคุณ คือการอ้างอิงถึงที่มาหรือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับข่าวสารประชาสัมพันธ์ โดยการทำ Press Release จะนำไปเผยแพร่ได้หลากหลายช่องทาง และมักจะเป็นช่องทางที่น่าเชื่อถือ มีคุณภาพ มีค่า DR ที่สูง ส่งผลให้ Backlink มีคุณภาพ เพิ่มโอกาสดันอันดับ SEO ให้ติดหน้าแรก

เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง

การทำ Press Release เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการประชาสัมพันธ์ข่าวสารต่าง ๆ ของแบรนด์ไปสู่กลุ่มเป้าหมายที่มีจำนวนมากในครั้งเดียว โดยการเขียนข่าวประชาสัมพันธ์คือการสื่อสารทางตรงระหว่างแบรนด์กับกลุ่มเป้าหมายผ่านช่องทางของสื่อ

ทำให้แบรนด์มีความน่าเชื่อถือ

Press Release ไม่ได้ปรากฏอยู่ในรูปแบบของสื่อประชาสัมพันธ์ประเภทโฆษณา แต่ถูกจัดว่าเป็นข่าวชนิดหนึ่ง ดังนั้นรูปแบบที่ถูกนำเสนอออกมาจึงมีความน่าเชื่อถืออย่างมาก และเมื่อกลุ่มเป้าหมายได้รับข่าวประชาสัมพันธ์เหล่านี้ ก็จะรู้สึกเชื่อถือในแบรนด์นั้น ๆ มากขึ้น

เสริมสร้าง Brand Awareness

การทำ Press Release จะถูกแพร่กระจายไปบนสื่อในหลากหลายแพลตฟอร์ม ซึ่งสามารถช่วยส่งเสริมการรับรู้ต่อแบรนด์ของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เพิ่มประสิทธิภาพของ SEO

การเขียนข่าวประชาสัมพันธ์ จะมีการใช้คีย์เวิร์ดต่าง ๆ ที่เป็นที่นิยมร่วมด้วย ดังนั้นจึงสามารถช่วยส่งเสริมการทำ SEO ให้อันดับของเว็บไซต์ของคุณสูงขึ้นได้

เขียน Press Release ด้วยหลัก 5W

การเขียนข่าวประชาสัมพันธ์นั้นง่ายมาก ๆ ไม่มีความซับซ้อนเลย เพียงใช้หลัก 5W คือ Who, What, Why, When และ Where หรือแปลว่า ใคร, ทำอะไร, ทำไม, เมื่อไหร่, ที่ไหน เพื่อให้แบรนด์หรือธุรกิจแจ้งรายละเอียดได้ครบถ้วน อีกทั้งต้องใส่หัวข้อ (Heading) ให้สั้น กระชับ และได้ใจความ เพื่อทำให้หัวข้อมีความน่าสนใจ ดึงดูดกลุ่มเป้าหมายให้เข้ามายังบทความข่าว

ต่อยอดธุรกิจผ่านช่องทางการติดต่อ

ในส่วนท้ายสุดของ Press Release สิ่งที่ไม่ควรมองข้าม คือ ช่องทางการติดต่อ โดยอาจจะใส่ชื่อ/บริษัท/เบอร์โทร/อีเมล ถือเป็นการสร้างโอกาสต่อยอดให้กับธุรกิจหรือแบรนด์ได้เป็นอย่างดี เพราะถ้าหากมีสื่อสิ่งพิมพ์หรือสำนักข่าวให้ความสนใจ อาจติดต่อเข้ามาขอสัมภาษณ์เพิ่มเติมก็เป็นได้

ยกตัวอย่างเว็บข่าวใหญ่ ที่มีการทำ Press Release

1. Bloomberg

2. Techcrunch

3. apnews

4. Asiaone

5. Mthai

6. Thairath

7. Facebook Fanpage หลายๆเพจ

8. Youtuber หลายๆช่อง

สรุป

Press Release คือการเขียนข่าวประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับธุรกิจ บริษัทของเรา โดยอาจจะได้ Backlink กลับมาขึ้นอยู่กับเว็บสำนักข่าว มีประโยชน์ต่อ SEO สำคัญมากในปี 2024 ช่องทางประกาศกิจกรรมในสื่อมีมากมายมีทั้งแบบฟรีและเสียเงินค่าโปรโมท เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการทำ SEO ที่ควรทำ

]]>
Lead Generation คืออะไร สำคัญแค่ไหนในการทำธุรกิจ https://seomasterth.com/what-is-lead-generation/ Mon, 25 Dec 2023 22:07:58 +0000 https://seomasterth.com/?p=26977 Lead Generation คืออะไร สำคัญแค่ไหนในการทำธุรกิจ

 

Lead Generation คืออีกหนึ่งตัวช่วยที่สามารถใช้ในการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยโน้มน้าวกลุ่มเป้าหมายและเปลี่ยนเป็นลูกค้าได้ หากนำไปใช้ให้เหมาะสม ทำให้นักการตลาดหลายคนสนใจและนิยมใช้กลยุทธ์นี้ สำหรับนักการตลาดหน้าใหม่ ที่กำลังจะลงสนามการแข่งขัน ควรทำความรู้จักไว้ เพื่อนำไปปรับใช้เข้ากับธุรกิจก็แต่ละคน

 

Lead Generation คืออะไร?

 

Lead Generation คือกระบวนการดึงดูดให้คนสนใจสินค้าและตัดสินใจซื้อในที่สุด โดยกระบวนการนี้จะเจาะจงไปที่คนที่มีแนวโน้มจะซื้อสินค้าของเราอยู่แล้ว สิ่งที่ต้องทำคือสร้างสรรค์คอนเทนต์ขึ้นมาเพื่อดึงดูดให้คนสนใจสินค้าหรือบริการของเรา ตลอดจนการกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อ และปิดการขายได้ในที่สุด โดย Lead Generation คือกระบวนการเปลี่ยน Lead ซึ่งเป็นผู้ที่สนใจในสินค้าหรือมีความต้องการเบื้องต้นอยู่แล้ว ให้กลายเป็นลูกค้านั่นเอง

 

ประโยชน์ของ Lead Generation คืออะไร?

 

กระบวนการนี้มีประโยชน์มากกว่าการตลาดแบบเหวี่ยงแห กล่าวคือถ้าหากเราทำการตลาดโดยไม่เจาะจงกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน และไม่มีการติดตามกลุ่มเป้าหมายเพื่อปิดการขาย โอกาสสร้างยอดขายก็จะมีน้อยลง แต่การทำ Lead Generation ซึ่งมีกลยุทธ์จะช่วยโน้มน้าวคนที่สนใจสินค้าให้กลายเป็นลูกค้าได้ในที่สุด 

 

เครื่องมือในการทำ Lead Generation คืออะไรบ้าง?

 

เครื่องมือช่วยในการทำ Lead Generation นั้นมีหลายอย่างด้วยกัน ยกตัวอย่าง ดังนี้

 

1.Landing Page 

 

เครื่องมือหนึ่งที่ช่วยในการทำ Lead Generation คือหน้า Landing Page ที่มักจะนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าโดยละเอียด และมักเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ แต่หลายครั้งก็ไม่ใช่การให้ข้อมูลสินค้าโดยตรง แต่เป็นเรื่องที่มีคนอยากรู้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับสินค้านั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น การทำหน้า Landing Page ที่ให้ข้อมูลว่าอาการปวดฟัน รักษาได้ด้วยวิธีไหนบ้าง ซึ่งหน้า Landing Page นั้นเป็นของคลินิกทันตกรรมแห่งหนึ่ง แน่นอนว่าหน้า Landing Page ที่ให้ข้อมูลนี้เป็นการดึงคนที่มีปัญหาเรื่องฟันให้เข้ามาอ่าน นั่นเองที่เรียกว่า Lead ซึ่งเป็นคนที่กำลังเจอกับปัญหาและต้องการแก้ปัญหา โดยคลินิกทันตกรรมก็เป็นธุรกิจที่แก้ปัญหาให้ได้ จึงมีแนวโน้มที่กลุ่มเป้าหมาย อาจจะสนใจบริการของคลินิกได้ หลังจากที่อ่านบทความจบแล้ว

 

ที่ท้ายบทหรือด้านล่างของ Landing Page อาจจะติดปุ่มเพื่อคลิกเข้าไปปรึกษาเพิ่มเติมใน Inbox ได้ หรือมี Form ให้กรอกข้อมูลติดต่อกลับ ทางคลินิกก็สามารถติดต่อกลับไปที่ข้อมูลนั้นได้ เพื่อให้คำแนะนำและเชียร์ขายคอร์สรักษาฟัน เป็นต้น

 

2.Form

 

อย่างที่ได้กล่าวไปในข้อที่แล้วในเรื่องของ Form ที่รองรับการกรอกข้อมูลติดต่อกลับ สามารถเก็บ Lead เพื่อทำการตลาดต่อไปได้ ช่องทางที่นิยมที่สุดในการติด Form ให้กรอกก็คือหน้า Website รวมถึงหน้า Landing Page เมื่อกลุ่มเป้าหมายกรอกข้อมูลติดต่อให้แล้ว พนักงานฝ่ายขายหรือเซลล์ก็สามารถติดต่อกลับเพื่อปิดการขายต่อไปได้

3.Call to Action

 

Call To Action คือการกระตุ้นให้ Lead กระทำบางอย่าง เช่น การติดปุ่มต่างๆ ไว้ในหน้า Landing Page หรือหน้าบทความอื่นๆ อาจจะเป็นปุ่มที่คลิกไปหน้าขาย หรือเป็นปุ่มคลิกต่อไปเพื่อติดต่อเซลล์ ซึ่งถ้าหากมีการกดปุ่มนั้น เซลล์ก็สามารถแชทคุยกับกลุ่มเป้าหมายได้ เพื่อปิดการขายและเปลี่ยน Lead ให้เป็นลูกค้าในที่สุด 

 

4.Website 

 

หน้าเว็บไซต์ก็เป็นตัวช่วยในการทำ Lead Generation ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเว็บไซต์เป็นช่องทางที่สามารถให้ข้อมูลได้จำนวนมากและละเอียดที่สุด สามารถนำเสนอสินค้าและเพิ่มข้อความโน้มน้าวได้เต็มที่ สามารถสร้างหน้าขายสินค้าในนั้นได้ หรือจะใส่รายละเอียดโปรโมชั่นเอาไว้ในนั้นก็ได้ด้วย Website จึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยโน้มน้าวเพื่อปิดการขายได้ สามารถปิดการขายด้วยการติดปุ่มลิงค์ไปยังหน้าขายให้ลูกค้าทำการกดซื้อด้วยตัวเอง หรือติดปุ่มลิงค์ไปคุยกับเซลล์ก็ได้ 

5.Social Media 

 

Social Media ไม่ว่าจะเป็น Facebook Instagram หรือ X ก็สามารถยิงแอดโฆษณาได้ ซึ่งการยิงแอดโฆษณาผ่านช่องทางดังกล่าว สามารถตั้งค่าให้เฉพาะคนที่มีความสนใจในสินค้าของเราได้ เพื่อให้การใช้เงินไปกับโฆษณาคุ้มค่าที่สุด คนที่ไม่ได้สนใจสินค้าหรือไม่มีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าก็จะไม่เห็นแอดโฆษณานั้น และถ้าหากมีการคลิกดูโฆษณา ยังสามารถติดตามหรือที่เรียกว่าติด Tag เพื่อตามไปปิดการขายได้ด้วย อาจจะเป็นการยิงแอดซ้ำให้คนเดิมที่เห็นแอดแล้วยังไม่ซื้อให้กลับมาซื้อในที่สุด หรืออาจจะเป็นการส่งข้อความกลับไปหาคนที่คลิกโฆษณา เช่น การส่งโค้ดส่วนลด การส่งโปรโมชั่น ฯลฯ

 

6.SEO

 

อีกหนึ่งตัวอย่างเครื่องมือในการทำ Lead Generation คือ SEO โดยการเขียนบทความร่วมกับการออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับหลัก SEO เป็นการดึงกลุ่มเป้าหมายเข้ามาหาแบรนด์ได้ เพราะคนที่เข้ามาสู่เนื้อหานี้ได้ต้องค้นหาด้วย Keyword ผ่านเว็บ ซึ่งแสดงถึงความสนใจในระดับหนึ่ง และเมื่อเข้าสู่เว็บไซต์ก็มีแนวโน้มที่จะสนใจซื้อสินค้าได้ และแบรนด์ยังสามารถเก็บ Lead ได้ อาจจะมี Form ให้กรอก หรือมีปุ่มให้กดเข้าสู่หน้าแชท หรือด้วยวิธีอื่นๆ

 

กล่าวโดยสรุป Lead Generation คือตัวช่วยที่น่าสนใจในการปิดการขายได้สำเร็จ จากการโน้มน้าวด้วยกลยุทธ์ที่น่าสนใจมากกว่าการยัดเยียดข้อความขายให้กับกลุ่มเป้าหมายเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการโน้มน้าวด้วยเนื้อหาที่กลุ่มเป้าหมายให้ความสนใจอยู่แล้ว การใช้วิธีนี้ต้องมีกลยุทธ์ที่เหมาะสม จะช่วยให้สามารถปิดการขายได้จริง และเพิ่มโอกาสสร้างยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

]]>
Engagement คืออะไร จำเป็นแค่ไหนในการทำธุรกิจ https://seomasterth.com/what-is-engagement/ Sun, 24 Dec 2023 13:52:11 +0000 https://seomasterth.com/?p=26911 Engagement คืออะไร จำเป็นแค่ไหนในการทำธุรกิจ

 

มารู้จักกับ Engagement คือตัวชี้ให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมของผู้รับสารที่มีต่อเนื้อหานั้น โดยในบทความนี้จะเจาะจงเรื่องของ Engagement บนออนไลน์โดยเฉพาะ ซึ่งจะอธิบายถึงความหมายและความสำคัญในการทำธุรกิจ จะมีอะไรบ้างที่คนทำธุรกิจออนไลน์ควรรู้ เกี่ยวกับ Engagement ไปดูพร้อมๆ กันได้เลย

 

Engagement คืออะไร?

 

Engagement คือการมีส่วนร่วม หากพูดกันในทางออนไลน์ จะเป็นการแสดงการมีส่วนร่วมกับเนื้อหาที่เผยแพร่ลงบนช่องทางออนไลน์ต่างๆ กระทำโดยผู้รับสารนั้นๆ นั่นก็คือผู้พบเห็นเนื้อหาในรูปแบบของโพสต์ต่างๆ นั่นเอง ซึ่งรูปแบบของ Engagement ก็มีหลากหลาย มักแสดงเป็นตัวเลขสถิติทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน นักการตลาดออนไลน์สามารถนำข้อมูลตัวเลขเหล่านี้ ไปวางแผนทำการตลาดต่อได้ โดยเฉพาะการผลิตเนื้อหา (Content) ลงบนออนไลน์

 

หากอธิบายแบบนี้แล้วยังนึกไม่ออก ลองนึกถึงปุ่มแสดงอารมณ์บน Facebook พวกปุ่ม Like Love Wow Angry Laugh Sad หากมีผู้พบเห็นโพสต์หนึ่งและมีการกดปุ่มใดปุ่มหนึ่ง นั่นคือการแสดง Engagement กับโพสต์นั้นแล้ว แต่ Engagement ก็ไม่ได้เจาะจงเพียงแค่การกดปุ่มแสดงอารมณ์เท่านั้น เพราะการกดปุ่ม Share ไปจนถึงการกดปุ่ม “อ่านเพิ่มเติม” ก็เป็น  Engagement ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังมี Engagement อีกหลายแบบที่จะกล่าวถึงในหัวข้อถัดไป 

บนออนไลน์รูปแบบ Engagement คืออะไรบ้าง?

 

จากที่ได้กล่าวไปว่า Engagement คือการมีส่วนร่วม ซึ่งการมีส่วนร่วมก็มีหลายแบบด้วยกัน โดยจะยกตัวอย่างให้เข้าใจเบื้องต้น ดังนี้  

 

การกดปุ่ม Reaction

 

Engagement แบบแรกที่หลายคนคุ้นเคยก็คือการกดปุ่ม Reaction อย่างใน Facebook ก็จะมีหลายปุ่ม ได้แก่ ปุ่ม Like Love Wow Angry Laugh Sad ส่วนในแพลตฟอร์มอื่นๆ ก็มีปุ่ม Reaction เช่นกัน อย่างใน Intagram มีปุ่มที่เป็นสัญลักษณ์หัวใจเอาไว้แสดงความรู้สึก Like หรือ Love ส่วนใน X มีปุ่ม Like ใน TikTok ก็มีปุ่ม Like ส่วนใน YouTube จะมีทั้งปุ่ม Like และ Unlike เป็นต้น

 

การกดปุ่มแสดงอารมณ์ความรู้สึกแบบนี้ เป็นตัววัดได้ว่ามีคนชอบหรือไม่ชอบ Content นั้นมากน้อยแค่ไหน ควรทำเนื้อหาแบบนั้นต่อไปหรือไม่ หรือควรปรับเนื้อหาเป็นแนวทางอื่น

 

การ Comment 

 

อีกหนึ่งรูปแบบของ Engagement คือการ Comment ที่แสดงถึงการมีส่วนร่วม อีกทั้งยังแสดงออกได้ชัดเจนที่สุดว่าผู้รับสารรู้สึกอย่างไรกับเนื้อหานั้น การวิเคราะห์ผลของ Comment สามารถนำไปต่อยอดในการผลิต Content ต่อไปได้ นอกจากนี้ยังพบว่าบางแพลตฟอร์มยังให้ความสำคัญกับ Comment โดยการดันเนื้อหาให้ขึ้น Feed บ่อยๆ สำหรับ Content ที่มี Comment จำนวนมาก 

 

การแชร์

 

การแชร์ก็เป็น Engagement ที่มีประโยชน์กับแบรนด์ ยิ่งแชร์มากเท่าไร ยิ่งแสดงออกถึงความน่าสนใจของ Content นั้น หากเป็นสินค้า กรณีที่มีการแชร์เยอะ อาจส่งผลให้เกิดการสร้างยอดขายได้ด้วย

 

การกดอ่านเพิ่มเติม

 

รูปแบบถัดมาของ Engagement คือการกดอ่านเพิ่มเติม หากมี Content หนึ่งถูกโพสต์พร้อมกับแคปชั่นยาวๆ จนแสดงได้ไม่หมด และต้องกดอ่านเพิ่มเติม จึงจะสามารถอ่านต่อได้ และถ้าหากมีการกดอ่านเพิ่มเติม ก็หมายความว่ามีคนสนใจเนื้อหานั้น ยิ่งกดมากแค่ไหน ก็ยิ่งแสดงถึงความสนใจที่มากตามไปด้วย 

 

แม้เนื้อหานั้นอาจจะมีการกด Reaction ที่ไม่มากนักก็ตาม เหมาะสำหรับการทำ Content ข่าว หรือบทความต่างๆ แม้แต่การขายของ ก็สามารถวัดผลได้ เพราะถ้าหากมีการกดเพื่ออ่านรายละเอียดสินค้านั้นเพิ่มเติม ก็หมายความว่ามีคนสนใจสินค้านั้นแล้ว สอดคล้องกับการทำยอดขายได้เช่นกัน

 

กดคลิกลิงค์

 

โพสต์ไหนก็ตามที่มีการแนบลิงค์ไว้ อย่างเช่นใน Facebook อาจแนบลิงค์ไว้ที่ Caption ส่วนใน Instragram Shopping ก็สามารถติดลิงค์ไปยังเว็บไซต์ได้เช่นกัน ทั้งนี้พวกโพสต์ที่มีการคลิกลิงค์ก็จะถูกนับเป็น Engagement ด้วย แสดงถึงการมีส่วนร่วมได้ ยิ่งถ้าหากลิงค์นั้นเป็นลิงค์ขายสินค้า การคลิกลิงค์ยิ่งสัมพันธ์กับโอกาสในการสร้างยอดขายด้วย 

 

การส่งข้อความ

 

การเผยแพร่ Content บางแพลตฟอร์ม สามารถติดปุ่มส่งข้อความบนเนื้อหานั้นได้ อย่างเช่น Content บน Facebook ที่สามารถติดปุ่มส่งข้อความได้ ซึ่งถ้าหากเป็นเนื้อหาขายสินค้า มักชวนให้คนเข้ามาซื้อทาง Inbox และการที่คนกดปุ่มส่งข้อความก็แปลว่ากำลังสนใจซื้อสินค้านั้นอยู่ด้วย อีกทั้งยังมีโอกาสปิดการขายได้ ซึ่ง Engagement นี้ก็ถือว่ามีประโยชน์ต่อการขายอย่างมาก

Engagement จำเป็นกับธุรกิจมากแค่ไหน

 

จากที่ได้กล่าวไปว่า Engagement คือการมีส่วนร่วม ก็คงมีหลายคนสงสัยว่าแล้วการมีส่วนร่วมนั้นจะสำคัญกับธุรกิจแค่ไหนกัน คำตอบนั้นไม่ตายตัว เพราะ Engagement บางรูปแบบสำคัญกับธุรกิจบางประเภท แต่ไม่ได้สำคัญกับธุรกิจทุกประเภท หรืออาจสำคัญกับวัตถุประสงค์บางอย่างกับธุรกิจเท่านั้น อย่างเช่นการกดปุ่ม Reaction นั้นอาจสำคัญค่อนข้างต่ำกับการขายสินค้า แต่สำคัญกับการสร้างการรับรู้ และตรวจสอบกระแสตอบรับต่อสินค้าในเบื้องต้น นอกจากนี้ยังสำคัญกับธุรกิจสื่อที่ขาย Content เป็นหลัก เช่น เพจข่าว เพจนิตยสารออนไลน์ เป็นต้น

 

ขณะที่บาง Engagement ก็สำคัญกับธุรกิจขายสินค้ามาก เช่น การกดปุ่มส่งข้อความ หากโพสต์นั้นได้ระบุไว้แล้วว่าให้สั่งซื้อผ่านข้อความ หรือการกดลิงค์ไปยังหน้าขายสินค้าที่มีระบบสั่งซื้อรองรับ

 

ดังนั้นสิ่งที่แบรนด์ควรให้ความสำคัญกับ Engagement คือรูปแบบการมีส่วนร่วมที่ตอบวัตถุประสงค์หลัก ในการโพสต์เนื้อหาแต่ละครั้งต้องตั้งวัตถุประสงค์เอาไว้ให้ชัด และโฟกัสกับ Engagement ให้ถูกจุด เมื่อเก็บข้อมูลหลังโพสต์ ก็ควรประเมิน Engegement ที่แบรนด์โฟกัสว่าสามารถสร้างสถิติได้น่าพอใจมากน้อยแค่ไหน ในภาพรวม Engagement ยังมีความสำคัญกับธุรกิจอยู่ เพียงแต่แบรนด์เองต้องนำไปวิเคราะห์ให้เหมาะสม 

 

Engagement คือการแสดงถึงการมีส่วนร่วม ยิ่งมีตัวเลขที่สูงเท่าไร ก็หมายความว่าเนื้อหาที่เผยแพร่ออกไป สร้างการมีส่วนร่วมได้มากเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาที่มีประโยชน์หรือเป็นเนื้อหาที่ไร้สาระแค่ไหนก็ตาม หากสร้างการมีส่วนร่วมได้ ก็สามารถนำข้อมูลไปวิเคราะห์ต่อและวางแผน เพื่อพัฒนาเนื้อหาต่อไปได้ 

]]>
Segmentation คืออะไร นักการตลาดต้องรู้ เพื่อประสิทธิภาพการขาย https://seomasterth.com/what-is-marketing-segmentation/ Sun, 24 Dec 2023 13:37:32 +0000 https://seomasterth.com/?p=26848 Segmentation คืออะไร นักการตลาดต้องรู้ เพื่อประสิทธิภาพการขาย

 

Segmentation คือตัวช่วยหนึ่งที่นักการตลาดต้องใช้ ถ้าต้องการให้การขายมีสภาพคล่อง ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด ก่อนเริ่มขายจะต้องมีการวาง Segmentation ที่ชัดเจนและกำหนดตำแหน่งสินค้าของตัวเองให้เหมาะสมที่สุด เพื่อวางแผนการตลาดและสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำมาซึ่งยอดขายที่ประสบความสำเร็จ 

 

Segmentation คืออะไร?

 

Segmentation คือ การแบ่งส่วนการตลาด เพื่อนำไปสู่การวัดผลลัพธ์ที่ละเอียดมากขึ้น หากไม่มีการแบ่งส่วนตลาด จะสื่อสารกับคนในวงกว้างเกินไป สารที่สื่อออกไปไม่ได้เจาะจงกลุ่มมากนัก อาจไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมและความต้องการของกลุ่มเป้าหมายเท่าที่ควร แต่การแบ่งส่วนตลาดได้แบ่งกลุ่มเป้าหมายที่มีขนาดใหญ่ออกเป็นกลุ่มๆ แล้ว จะทำให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพมากขึ้น กระตุ้นการซื้อได้ตรงกลุ่มขึ้น

ประเภทของ Segmentation คืออะไรบ้าง?

 

ในการแบ่งส่วนการตลาดจะแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 

 

  • Behavioral (พฤติกรรม)
  • Geographic (ภูมิศาสตร์/พื้นที่)
  • Demographic (ข้อมูลประชากร)
  • Psychographic (ข้อมูลด้านจิตวิทยา)

 

การแบ่งส่วนตลาดแบบ Behavioral

 

นักการตลาดจะต้องรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายของตัวเอง มีพฤติกรรมแบบไหน โดยเฉพาะพฤติกรรมการบริโภคสินค้าและการเปิดรับสื่อ เพื่อวางแผนการตลาดให้สอดคล้องกับพฤติกรรมเหล่านั้น เช่น ชอบซื้อของออนไลน์ ชอบซื้อของออฟไลน์ ชอบส่วนลด ชอบของแถม ชอบค้นหาสินค้าผ่านเว็บไซต์ ชอบใช้แพลตฟอร์ม Marketplace มีพฤติกรรมการซื้อของสิ่งนั้นเป็นรายปีหรือรายเดือน เป็นต้น 

 

การแบ่งส่วนตลาดแบบ Geographic 

 

ถัดมาเป็นการแบ่งส่วนการตลาดหรือการจัด Segmentation แบบ Geographic คือข้อมูลพื้นที่ของกลุ่มเป้าหมาย เช่น กลุ่มเป้าหมายอาศัยอยู่ในกรุงเทพ  กลุ่มเป้าหมายอาศัยอยู่ในต่างจังหวัด กลุ่มเป้าหมายอาศัยอยู่ในต่างประเทศ รวมถึงพื้นที่ของกลุ่มเป้าหมายมีจำนวนประชากรเท่าไร สภาพอากาศเป็นอย่างไร เป็นต้น เพื่อการวางทิศทางการตลาดให้สอดคล้องกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด 

การแบ่งส่วนตลาดแบบ Demographic

 

การแบ่งส่วนการตลาดหรือการจัด Segmentation แบบ Demographic คือข้อมูลประชากรของกลุ่มเป้าหมาย หรือตัวตนของกลุ่มเป้าหมาย ว่ากลุ่มเป้าหมายของแบรนด์เป็นใคร อายุเท่าไร เพศอะไร ทำอาชีพอะไร เป็นกลุ่มผู้มีรายได้สูงหรือรายได้ปานกลางหรือรายได้ต่ำ สถานะครอบครัวเป็นอย่างไร โสด มีแฟนแล้ว แต่งงานแล้ว มีลูกแล้ว ฯลฯ 

การแบ่งส่วนตลาดแบบ Psychographic

 

การแบ่งส่วนการตลาดหรือการจัด Segmentation แบบ Psychographic คือข้อมูลด้านจิตวิทยาของกลุ่มเป้าหมาย ว่ากลุ่มเป้าหมายมีไลฟ์สไตล์เป็นแบบไหน ชื่นชอบอะไร มีความสนใจด้านไหนเป็นพิเศษ มีปัญหาด้านไหน มีความต้องการอะไร เป็นต้น

 

ขั้นตอนการทำ Marketing Segmentation คืออะไรบ้าง

 

ขั้นตอนการแบ่งส่วนตลาดหรือการทำ Marketing Segmentation  ประกอบไปด้วยขั้นตอน ดังนี้ 

 

  1. ทำการแบ่งส่วนการตลาดตามรูปแบบที่กล่าวไปในข้างต้น ออกเป็นกลุ่มๆ เช่น แบ่งตามเพศ อายุ ความสนใจ พฤติกรรมการซื้อ ที่อยู่อาศัย เป็นต้น
  2. หลังจากแบ่งกลุ่มออกเรียบร้อยแล้ว แบรนด์จะต้องทำการเลือกกลุ่มที่น่าสนใจที่สุด กลุ่มที่มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้าของแบรนด์มากที่สุด เพื่อกำหนดเป็นกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ 
  3. ศึกษากลุ่มเป้าหมายถึงรายละเอียดต่างๆ แล้วสรุปออกมาเป็นข้อมูล ว่ากลุ่มเป้าหมาย ชอบอะไร ต้องการอะไร 
  4. วางแผนการตลาดเพื่อให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย ตั้งแต่การวางแผนสื่อสาร การเลือกช่องทางการโฆษณา การตั้งราคาขาย ไปจนถึงการเลือกช่องทางการจำหน่ายสินค้า

ยกตัวอย่างการทำ Marketing Segmentation

 

เพื่อให้เข้าใจมากขึ้นว่า Segmentation คืออะไร จึงขอยกตัวอย่าง ดังนี้

ธุรกิจ A จะทำสบู่ขาย ก่อนอื่นต้องแบ่งส่วนการตลาดออกเป็นกลุ่มๆ ก่อน อาจแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่

 

  1. กลุ่ม 1 เป็นคนทุกเพศ ทุกวัย อาศัยอยู่ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด มีพฤติกรรมใช้จ่ายอย่างประหยัด
  2. กลุ่ม 2 เป็นผู้หญิง วัยรุ่น อาศัยอยู่ในกรุงเทพ ชอบเดินสยาม มีพฤติกรรมจ่ายง่าย
  3. กลุ่ม 3 เป็นผู้ชาย วัยรุ่น อาศัยอยู่ในกรุงเทพ ชอบเล่นกีฬา มีพฤติกรรมจ่ายง่าย
  4. กลุ่ม 4 เป็นคนวัยทำงานทุกเพศทุกวัย อาศัยในกรุงเทพ มีพฤติกรรมใช้จ่ายอย่างประหยัด

 

(การแบ่งกลุ่มอาจมีจำนวนกลุ่มแตกต่างกันออกไปในแต่ละแบรนด์ ขึ้นอยู่กับแผนการตลาดของแบรนด์นั้นๆ)

 

เมื่อแบ่งกลุ่มได้แล้ว ธุรกิจ A ก็ต้องลองพิจารณาดูว่ากลุ่มไหนที่พอจะมีช่องว่างให้ตัวเองเข้าไปอยู่ตรงนั้นได้ และพอจะทำการแข่งขันได้ ซึ่งต้องพิจารณาจำนวนคู่แข่งในกลุ่มนั้นๆ ประกอบด้วยว่ามีปริมาณมากน้อยแค่ไหน และธุรกิจ A พอจะสู้ได้ไหม หรือมีกลยุทธ์อะไรไปสู้

สมมติว่าถ้าหากเลือกกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่ม 3 สิ่งที่ธุรกิจ A ต้องทำต่อไปก็คือการเก็บข้อมูลเชิงลึก เกี่ยวกับพฤติกรรม ความชอบ ความสนใจ พฤติกรรมการใช้จ่ายของคนกลุ่ม 3 เช่น เป็นผู้ชาย วัยรุ่น อาศัยอยู่ในกรุงเทพ ชอบเล่นกีฬา มีพฤติกรรมจ่ายง่าย แล้วชอบซื้อของผ่านช่องทางไหน มีความถี่ในการซื้อสบู่อยู่ที่เท่าไร มีปัญหาเรื่องกลิ่นกายไหม เป็นต้น กระทั่งได้คำตอบทั้งหมดแล้ว ก็ตัดสินใจว่าจะผลิตสินค้าแบบไหนออกมา

ธุรกิจ A อาจเลือกผลิตสบู่ระงับกลิ่นกาย สำหรับคนเล่นกีฬาหรือนักกิจกรรมโดยเฉพาะ และมีกลิ่นหอมแบบผู้ชาย พร้อมออกแบบแพ็คเกจจิ้งที่ดึงดูดกลุ่มวัยรุ่น มีช่องทางจำหน่ายทั้งออฟไลน์และออฟไลน์ ได้แก่ Instagram Facebook ร้านสะดวกซื้อชั้นนำ และซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ มีราคาขายอยู่ที่ก้อนละ 60 บาท มีการสื่อสารด้วย Massage หลักคือการะงับกลิ่นกาย Massage รองคือเสริมเสน่ห์ เสริมบุคลิกภาพ ผ่านวิดีโอโฆษณาที่ถ่ายทอดเรื่องราวของเด็กนักเรียนที่มีกลิ่นกายรุนแรงหลังเล่นบาสเก็ตบอลเสร็จ และมีเด็กนักเรียนหญิงมานั่งดูอยู่ริมสนาม จนทำให้เขารู้สึกไม่มั่นใจ กระทั่งสบู่ของธุรกิจ A ที่เข้ามาแก้ไขปัญหากลิ่นกายนี้ได้ และทำให้เขารู้สึกมั่นใจขึ้นในตอนจบ เป็นต้น  

 

เป้าหมายสำคัญของการทำ Marketing Segmentation คืออะไร

เป้าหมายในการทำ Marketing Segmentation คือการวางแผนการตลาดที่สามารถต่อสู้กับคู่แข่งทางการตลาดได้ ท่ามกลางสินค้าประเภทเดียวกัน นำมาซึ่งความแข็งแกร่งของแบรนด์ สามารถสรุปเป้าหมายสำคัญในการแบ่งส่วนการตลาดได้ ดังนี้

  1. สามารถต่อสู้กับคู่แข่งในตลาดได้
  2. สามารถวิจัยข้อมูลกลุ่มเป้าหมายได้ละเอียดขึ้น
  3. สร้างผลลัพธ์ทางการตลาดที่ดีขึ้น 
  4. สร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ชัดขึ้น

Segmentation คือการแบ่งส่วนการตลาด ที่ช่วยให้แบรนด์วิเคราะห์รายละเอียดกลุ่มเป้าหมายได้ในเชิงลึก และวางแผนการตลาดที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายมากขึ้น เกี่ยวข้องกับการแข่งขันทางการตลาด โดยเฉพาะสินค้าหรือบริการที่มีคู่แข่งจำนวนมาก ซึ่งการแบ่งส่วนการตลาด มักอยู่ในขั้นตอนก่อนผลิตสินค้าออกมา เป็นช่วงวิจัยตลาดเพื่อนำไปสู่การออกผลิตภัณฑ์ในลำดับถัดไป 

]]>
Digital Marketing คืออะไร? การตลาดดิจิทัล สำคัญยังไง https://seomasterth.com/what-is-digital-marketing/ Thu, 21 Dec 2023 15:07:15 +0000 https://seomasterth.com/?p=26723 Digital Marketing คืออะไร ?

          “การตลาด” (Marketing) คือ กระบวนการวางแผนและสร้างสรรค์สินค้า/ บริการ ราคา การจัดจำหน่าย และการส่งเสริมการตลาดเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนที่ทำให้เกิดความพอใจต่อบุคคลทั่วไปและหน่วยงาน

          ดังนั้น ‘Digital Marketing’ คือ การทำการตลาดรูปแบบใหม่บน Platform ดิจิทัลต่างๆ ไว้โฆษณาประชาสัมพันธ์ ทำแคมเปญทางการตลาด ไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย โดยรูปแบบของการตลาดลักษณะนี้ สามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ ดังจะเห็นได้จากสื่อโซเชียลช่องทางต่างๆ

Digital marketing สำคัญกับธุรกิจของคุณอย่างไร ?

           Digital Marketing จะช่วยโปรโมทสินค้าหรือบริการของคุณได้อย่างง่ายดาย สามารถเข้าหาลูกค้าได้ตรงตามกลุ่มเป้าหมาย ทำให้ลูกค้าของคุณมีส่วนร่วมกับแบรนด์ได้ง่ายมากกว่าเดิม เพิ่มการรู้จักของสินค้าได้ในวงกว้าง และสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา

  1. Digital Marketing จะช่วยทำให้ธุรกิจของคุณเป็นที่รู้จัก มีลูกค้าประจำและแนะนำต่อให้ผู้อื่น
  2. Digital Marketing จะชี้เป้าให้ถูกคน เน้นกลยุทธ์ให้ถูกกลุ่ม เพื่อผลลัพธ์ที่คุ้มกับที่ลงทุน
  3. Digital Marketing มีทั้งเครื่องมือและข้อมูล ที่พร้อมช่วยให้เพิ่มการเข้าถึงลูกค้าได้ดีกว่าการตลาดแบบดั้งเดิม

 

ทำไมถึงต้องเป็น Digital Marketing? 

           เพราะปัจจุบันยุคสมัยในเปลี่ยนไป การทำตลาดแบบดั้งเดิมก็เริ่มจะไม่มีผลต่อผู้บริโภคแล้ว เพราะเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทกับการตลาดแล้ว ดังนั้นการทำ Digita Marketing จะช่วยดึงดูดผู้คนมากหน้าหลายตาเข้ามาเจอกันบนโลกเสมือนจริง โลกดิจิทัลเป็นพื้นที่ที่นักการตลาดสามารถใช้ประโยชน์ในการโฆษณาสินค้า บริการ หรือโปรโมตแบรนด์ผ่านช่องทางนี้ได้ 

 

ช่องทางการทำ Digital Marketing 

 

1. Paid Search  

          Paid Searching คือ การทำ Digital Marketing บนช่องทางค้นหาหรืออีกชื่อคือ PPC (Paid-Per-Click) ซึ่งพูดง่ายๆ ก็คือการที่เราจ่ายเงินให้เว็บไซต์หรือโพสต์ของเรา

2. SEO

          Search Engine Optimization (SEO) คือ การทำอันดับให้เว็บไซต์ของลูกค้าอยู่ในตำแหน่งที่สูงในการค้นหาในเว็บไซต์ หรือ Search engine ต่างๆ เช่น Google และ Bing ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่

3. Influencer Marketing

          Influencer Marketing คือ คนดัง หรือ อินฟลูเอนเซอร์ที่อยู่บนโลกออนไลน์ ที่จะช่วยมาโปรโมตสินค้าให้กับเจ้าของธุรกิจ ซึ่งถือเป็น Soft Power อย่างหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มยอดขายได้ โดยเจ้าของธุรกิจไม่จำเป็นต้องไปติดต่ออินฟลูเอนเซอร์เหล่านั้นด้วยตัวเอง แต่จะเป็น Digital Agency ที่จะหาคนที่เหมาะสมกับธุรกิจของเรามากที่สุด ตลอดจนติดต่ออินฟลูเอนเซอร์คนนั้น ๆ ให้อย่างรวดเร็วด้วยเรตราคาที่ได้เฉพาะ Digital Agency เท่านั้น อันจะช่วยให้เจ้าของธุรกิจลดต้นทุนลงได้

4. Social Media Marketing

          Social Media Marketing คือ การทำการตลาดโซเชียลมีเดียให้กับลูกค้า โดยการสร้างและจัดการเนื้อหาบนโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่น Facebook, Instagram, Twitter เพื่อสร้างความสนใจและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ

5. Email Marketing

          Email Marketing วิธีการที่คลาสสิกแต่ไม่เคยตายของ Digital Marketing คือการส่งจดหมายผ่านทางอีเมล การทำ Marketing วิธีนี้เป็น Owned Channel ที่เราครอบครองข้อมูลและ Contact ของลูกค้าเอาไว้เอง และสามารถทำการตลาดแบบอัตโนมัติได้อีกด้วย

Online Marketing & Digital Marketing ต่างกันอย่างไร ?

          Online Marketing หรือ การตลาดออนไลน์ เป็น วิธีการหนึ่งของ Digital Marketing โดย Online Marketing จะอาศัยอินเทอร์เน็ตในการสื่อสารเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของแบรนด์ให้เข้าถึงลูกค้าผ่านทางช่องทางต่างๆทั้ง เว็บไซต์ หรือ Social Media Platform เป็นต้น

 

Digital Marketing สำคัญอย่างไร ?

           Digital Marketing สำคัญอย่างมากต่อธุรกิจต่างๆในปัจจุบันที่เข้าสู่ยุคดิจิทัล ผู้คนต่างเข้าถึงอินเทอร์เน็ตกันได้อย่างง่ายดาย การตลาดบนโลกดิจิทัลจึงทำให้สามารถเข้าถึงคนจำนวนมากได้จากหลากหลายช่อทาง ช่วยเพิ่มช่องทางในการโฆษณา เพิ่มโอกาสในการขาย และสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น

 

ตัวอย่าง Martech ยอดนิยมที่ใช้ในการทำ Digital Marketing

  1. HubSpot 
  2. ActiveCampaign
  3. Google Tag Manager
  4. Canva
  5. Figma
  6. Zapier
  7. ระบบ CRM
  8. WordPress
  9. Pipedrive
  10. Buffer

 

          สรุปได้ว่า Digital Marketing ก็คือ การทำการตลาดเพื่อกระจายแบรนด์ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าผ่านสื่อกลาง Digital Marketing ก็คือการทำการตลาดรูปแบบใหม่บน Platform ดิจิทัลต่างๆ เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่โลดแล่นอยู่บนโลกดิจิทัลที่มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic) เป็นสื่อกลาง

]]>
Ahrefs คืออะไร เครื่องมือทำ SEO มืออาชีพ https://seomasterth.com/ahrefs-seo-tool/ Thu, 21 Dec 2023 14:33:20 +0000 https://seomasterth.com/?p=26702 Ahrefs คืออะไร

Ahrefs คือ เครื่องมือสำหรับนักทำ SEO ใช้วิเคราะห์ข้อมูลเว็บไซต์ วิเคราะห์คีย์เวิร์ด Keyword Analysis วิเคราะห์แบ็คลิงค์ Backlink Analysis วิเคราะห์คู่แข่ง Competitor Analysis และตรวจสอบ Website Audit ซึ่งเมนูสำคัญๆที่ขอแนะนำ ของ Ahrefs มี 4 เรื่อง ดังนี้

  1. Site Explorer
  2. Keyword Explorer
  3. Site Audit
  4. Rank Tracker

Site Explorer เครื่องมือใช้วิเคราะห์เว็บไซต์เพียงใส่ URL ที่เราสนใจ จะเป็นเว็บตัวเองหรือเว็บไซต์ของคู่แข่งก็ดี โดยรายงานข้อมูล เช่น ค่า DR (Domain Rating), ค่า URL (URL Rating), จำนวน Backlink, จำนวน Referring Domain, จำนวน Keywords และจำนวน Traffic เป็นต้น

Keyword Explorer เป็นเครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์เกี่ยวกับ Keyword ที่เราสนใจ บอกถึงปริมาณการค้นหาของคำนั้น แสดงตัวเลข KD (Keyword Difficulty) ความยากของคีย์เวิร์ดในการทำ SEO แสดงราคาค่าลงโฆษณา (CPC) แนะนำ Keyword อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องและใกล้เคียงกับคำที่เราสนใจ เครื่องมือนี้เหมาะมากๆ สำหรับการวางแผน Keyword และ Topic Idea ในการวาง Content Strategy คล้ายๆกับเครื่องมือ Google Keyword Planner

Site Audit ฟีเจอร์นี้เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ฟีเจอร์สำคัญที่เป็นความสามารถเด่นของ Tool นี้ รีพอร์ทกลุ่มนี้ถูกสร้างขึ้นจากการที่ Ahrefs ส่ง Bot เข้ามา Crawl เว็บไซต์ของเรา แล้วสรุปปัญหาต่างๆ ออกมาให้เราสามารถนำไปแอคชั่นต่อได้ทันที เช่น หน้าไหนบ้างที่ไม่มีการเขียน Title Description เอาไว้ หน้าไหนบ้างที่ Title และ Descrition มีการซ้ำกัน โดยตั้งค่าเป็น Schedule ให้ทำ Site Audit ได้ เช่น ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน

Rank Tracker รีพอร์ทนี้ใช้สำหรับการติดตาม Track อันดับของ Keywords ทั้งหมดที่เราสนใจ ว่าอันดับมีการเพิ่มขึ้นหรือลดลงเท่าไรจากวันก่อนหน้า 1 วัน 7 วัน 30 เป็นต้น ทำให้เราเห็น Performance ของการทำ SEO แบบย้อนหลัง โดยรีพอร์ทจะแยกอันดับออกจากกันระหว่างการแสดงผลบน Desktop และ Mobile ไว้ด้วย โดยจะมีสรุปรายงานอันดับ ส่งอีเมล์มาบอกเราด้วย

Ahrefs ฟรีหรือไม่?

ราคาเครื่องมือ Ahrefs ไม่ฟรีนะครับ อัพเดทล่าสุด 2023-2024 (อาจจะมีเวอร์ชั่นฟรี ทดลองใช้งาน 7 วัน)

Ahrefs ฟีเจอร์สำคัญ ที่มักใช้บ่อย

Organic keywords

เครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ด รายงานอันดับของ Keywords ทั้งหมดของเว็บไซต์ เรียงตาม Traffic ที่ติดอันดับบน Google เห็นความเคลื่อนไหวอันดับว่าพบใหม่อันดับขึ้น หรือ อันดับตก (New, Improve, Declined) และเราสามารถ Sorting เรียงตาม Column ที่สนใจได้ ใช้วิเคราะห์คู่แข่ง ใช้หา Content มาทำตามลำดับความสำคัญได้

Referring domains

รายงานจำนวน Backlink จากเว็บไซต์ต่างๆที่อ้างอิงถึงเว็บไซต์เรา ความเคลื่อนไหวจำนวน Backlink ได้มาใหม่ (New) หรือ สูญหาย (Lost) ค่า DR, Traffic ของเว็บไซต์เหล่านั้น

Organic competitors

ใช้วิเคราะห์คู่แข่งว่ามีใครบ้างในเว็บประเภทเดียวกัน และเราค่อยลงลึกไปวิเคราะห์คู่แข่งทีละเว็บได้ อย่างเช่น Keyword Gap ที่จะช่วยหาคีย์เวิร์ดจากคู่แข่งมาแนะนำ โดยเป็นคีย์เวิร์ดที่เรายังไม่ทำและมีโอกาสติด SEO

Outgoing links

รายงานจำนวน Link ที่วิ่งออกจากเว็บเรา ในบางครั้งเราอาจไม่ตั้งใจทำอ้างอิงไปหาเว็บคนอื่น หรือเว็บเราอาจโดนแฮ็กทำลิ้งวิ่งออกเหล่านั้น

อื่นๆอีกมากมาย

สรุป

ทั้งหมดนี้เป็นความสามารถของเครื่องมือ Ahrefs ที่น่าสนใจเป็นอย่างมากหากจะเลือกเครื่องมือเพื่อใช้ในการทำแผน SEO อย่างถูกต้องและเกิดประสิทธิภาพสูง เป็นเครื่องมือที่มีรายละเอียดค่อนข้างมากต้องใช้ความเข้าใจในการใช้งานจึงจำเป็นต้องใช้เวลาศึกษาพอสมควร แต่หากคุณใช้เป็นตัวช่วยในการทำการกลยุทธ์การตลาดออนไลน์มันจะเพิ่มความง่ายให้แก่คุณได้เป็นอย่างดี

]]>