Paid Search Marketing – SEO Master บริษัทรับทำ SEO รับดูแลเว็บไซต์ ราคาถูก ครบวงจร https://seomasterth.com SEO MASTER Thu, 21 Dec 2023 14:37:36 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.3.5 https://seomasterth.com/wp-content/uploads/2023/11/cropped-seomaster-icon-32x32.jpg Paid Search Marketing – SEO Master บริษัทรับทำ SEO รับดูแลเว็บไซต์ ราคาถูก ครบวงจร https://seomasterth.com 32 32 Click Through Rate หรือ CTR คืออะไร ทำไมคนยิง Ads ต้องรู้จัก https://seomasterth.com/what-is-click-through-rate/ Thu, 21 Dec 2023 13:49:07 +0000 https://seomasterth.com/?p=26698 เชื่อว่าหลายธุรกิจเมื่อหันมาให้ความสำคัญกับช่องทางการตลาดออนไลน์ต้องเคยศึกษารวมถึงเคยใช้บริการ Google Ads หรือการยิงแอดโฆษณาแน่ ๆ แม้แต่ช่องทาง Social Media อย่าง Facebook Ads ก็ไม่ได้ต่างกัน ซึ่งหนึ่งในคำที่คนยิง Ads จำเป็นต้องรู้จักนั่นคือ “Click Through Rate” หรือมักเรียกกันสั้น ๆ ว่า CTR แล้วคำว่า CTR คืออะไร ทำไมจึงเป็นสิ่งสำคัญต่อการตลาดออนไลน์วิธีดังกล่าว มาศึกษาข้อมูลทั้งหมดกันเลย

Click Through Rate หรือ CTR คืออะไร

Click Through Rate หรือ CTR คือ ค่าสัดส่วนหรืออัตราในการคลิกเข้าชมเว็บไซต์ต่อจำนวนคนที่พบเห็นเว็บนั้น ๆ เพื่อบ่งบอกประสิทธิภาพของการยิงแอดดังกล่าวว่าได้ผลตอบรับดีมากน้อยแค่ไหน เมื่อไหร่ก็ตามที่ค่า CTR สูงนั่นเท่ากับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นน่าพึงพอใจ เพราะมีคนเห็นโฆษณาแล้วกดเข้ามาดู เพิ่มโอกาสต่อยอดในเรื่องอื่น เช่น การซื้อสินค้า / บริการ การสมัครสมาชิก หรือแม้แต่การรู้จักแบรนด์ก็ตาม โดยการเช็กยอด CTR สามารถดูได้จากหน้า Dashboard ที่คุณใช้เป็นบัญชีในการยิงแอดนั่นเอง

สูตรสำหรับใช้คำนวณค่า CTR

ปกติแล้วการประเมินว่าค่า CTR ได้ประสิทธิภาพตามเป้าหมายที่วางเอาไว้หรือไม่จะมีสูตรตามหลักสากลที่นักการตลาดออนไลน์ทั่วโลกใช้งานนั่นคือ

CTR สูตร

*** Total Measured Clicks หรือ Clicks หมายถึง จำนวนการคลิก

*** Total Measured Impressions หรือ Impressions หมายถึง จำนวนการแสดงผล

CTR สำคัญต่อการยิง Ads อย่างไรบ้าง

มาถึงเหตุผลสำคัญที่จำเป็นต้องอธิบายให้กับนักการตลาด หรือเจ้าของธุรกิจที่วางแผนเตรียมยิง Ads โฆษณา ว่าค่า CTR มีความสำคัญในหลายมิติมาก

1. เข้าใจแนวโน้มการทำโฆษณาในครั้งถัดไป

เป็นเรื่องปกติเมื่อค่า CTR สูง นั่นหมายถึงโฆษณาที่คุณยิงออกไปในครั้งนี้ประสบผลสำเร็จ ในอีกมุมหนึ่งหากผลลัพธ์ออกมาตรงข้ามย่อมแสดงให้เห็นถึงความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่ชอบแบบอื่นมากกว่า หรือแม้แต่จากแคมเปญแรกทำออกมาดี พอแคมเปญถัดไปผลลัพธ์เริ่มน้อยลงจนสังเกตได้ นั่นบ่งบอกถึงเทรนด์ที่กำลังเปลี่ยน การรู้ค่า CTR จะช่วยให้คุณเข้าใจแนวโน้มที่เหมาะสมต่อการทำโฆษณาในครั้งถัดไป

2. การใช้ CTA มีประสิทธิภาพมากแค่ไหน

CTA หรือ Call to Action มักเป็นอีกหัวใจที่บ่งบอกในระดับหนึ่งว่าคนทั่วไปอยากคลิกเข้ามายังหน้าเว็บของคุณหรือไม่ วิธีง่าย ๆ สมมุติคุณทำ 2 แคมเปญ ใช้คำแบบเดียวกันหมดทุกอย่างยกเว้นตอนจบท้าย CTA คนละแบบ เมื่อเห็นว่าแบบไหนมีคนคลิกเยอะกว่านั่นบ่งบอกถึงแนวทางและความชอบซึ่งสามารถใช้งานได้แบบระยะยาวไม่ว่าคำโฆษณาอื่นจะเป็นแบบไหนแต่ CTA แบบเดิมยังคงใช้ได้เสมอ

3. เข้าใจจุดประสงค์ของผู้ที่คลิกเข้ามาหน้าเว็บ

ค่า CTR ยังสามารถบ่งบอกจุดประสงค์ของผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้เป็นอย่างดี ยิ่งเมื่อคุณทำ Google Ads ในรูปแบบของ PPC หรือ Pay Per Click ลองนึกภาพว่าคุณต้องจ่ายเงินเยอะจากการที่มีลูกค้าคลิกเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่ Conversion Rate แทบไม่เกิดขึ้นเลย ในมุมของ CTR นี่คือตัวเลขที่ยอดเยี่ยม แต่ในมุมของการทำธุรกิจคุณกำลังขาดทุนอย่างหนัก นั่นแสดงให้เห็นว่าแท้จริงแล้วคนที่คลิกเข้ามาส่วนใหญ่อาจไม่ใช่ลูกค้าจริง แต่ต้องการเข้ามาเปรียบเทียบ หรือค้นหาข้อมูล การยิง Google Ads เพื่อให้อยู่หน้าบนสุดอาจไม่จำเป็น ลองเลือกจ่ายราคาถูกลงแต่ทำอันดับให้อยู่ถัดลงไป หรือใช้คีย์เวิร์ดตัวอื่น แล้วเจอเฉพาะคนที่อยากซื้อแล้วคลิกเข้ามาน่าจะดีกว่า

การเช็กค่า CTR ระหว่าง Google กับ Facebook ต่างกันหรือไม่?

หากมองในมุมของหลักการค่า CTR ของทั้ง 2 แพลตฟอร์มก็มีความหมายไปในทิศทางเดียวกัน ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจและความถนัดของแต่ละคน อย่างไรก็ตามสิ่งที่ควรรู้เพิ่มเติมเอาไว้หากใครเป็นมือใหม่และพึ่งเข้าสู่วงการยิง Ads ปกติแล้วค่าเฉลี่ย CTR ของทาง Google จะสูงกว่า อาจอยู่ระดับประมาณ 2-4% แต่ถ้าช่วงไหนมีคีย์เวิร์ดที่พีค ๆ หรือสิ่งที่กำลังเป็นกระแสค่า CTR ก็อาจพุ่งแตะระดับ 25-30% ได้เลย

ขณะที่ทางฝั่งของ Facebook ส่วนมากมักอยู่ราว 0.5% แถมค่าดังกล่าวก็เป็นการเปิดเผยจากคนที่ทำวิจัยและเก็บข้อมูลตามแคมเปญโฆษณาในเว็บดังกล่าว จากนั้นจึงใช้เครื่องมือเพื่อวิเคราะห์ออกมาให้เป็นตัวเลขเฉลี่ย

ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทั้ง 2 แพลตฟอร์มีตัวเลขต่างกันก็ชัดเจนเรื่องลักษณะการค้นหาและความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย โดย Google จะเน้นคนที่ต้องการข้อมูลเชิงลึก ความน่าเชื่อถือ หรือเปรียบเทียบสินค้าให้เห็นความแตกต่างและความคุ้มค่าชัดเจน ส่วน Facebook จะเน้นการขายสินค้าที่คนรู้จักกันดี หรือทำภาพออกมาแล้วดูสวยงาม ไม่จำเป็นต้องค้นหาข้อมูลอะไรมากนัก

CTR เท่าไรถึงดีสำหรับการลงโฆษณา Google Ads

จากค่า 2023 Google Ads Benchmarks สำหรับธุรกิจทั้งหมด ค่าเฉลี่ย click-through rate อยู่ประมาณ 4-6% ดังนั้นถ้าได้มากกว่านี้ ถือเป็นค่า CTR เป็นการลงโฆษณาที่ดีครับ

เพิ่ม CTR (CLICK THROUGH RATE) ใน SEARCH ของ GOOGLE ADS

1. เพิ่ม CTR ด้วยการลดคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องน้อยออกไป

2. เพิ่ม CTR โดยใช้ Negative Keywords ให้เป็นประโยชน์

3. เพิ่มคอนเทนต์ เปลี่ยนหน้า Landing Page เพื่อเพิ่ม Quality Score

4. ใช้คำสื่อถึงอารมณ์ของลูกค้า (emotional ads)

5. ใช้ Keyword หลักใน url display path ของโฆษณา

6. ใส่ข้อเสนอพิเศษ โปรโมชั่นใน Heading

7. ใส่ข้อความเชื้อเชิญ CTA (Call To Action) เช่น ซื้อเลย, ดาวโหลดวันนี้

8. ใช้ Google Ads extensions โดยใส่ sitelink ให้ครบ

สรุป

การทำความเข้าใจเกี่ยวกับค่า CTR หรือ Click Through Rate จะช่วยให้นักการตลาดออนไลน์ทุกคนสามารถทำผลลัพธ์ของแคมเปญโฆษณาออกมาได้น่าพึงพอใจ ซึ่งในความเป็นจริงค่าดังกล่าวยังสามารถใช้ได้กับทั้ง Social Media ทุกแพลตฟอร์ม ไปจนถึง Email Marketing หรือแม้แต่การทำ SEO ก็ตาม แต่ส่วนใหญ่จะนิยมทำกับ Google Ads เนื่องจากเห็นผลรวดเร็ว น่าเชื่อถือ มีประสิทธิภาพเหมาะกับการนำไปต่อยอดได้จริง ใครที่สนใจเรื่องนี้ก็อย่าลืมศึกษาเทคนิคต่าง ๆ เพื่อโอกาสที่คนจะกดคลิกแล้วเปลี่ยนเป็นลูกค้าซื้อสินค้า / บริการกันด้วย จะช่วยให้ธุรกิจเดินหน้าต่อได้อย่างดีเยี่ยม

 

]]>
Google Adwords คืออะไร ทำไมจึงสำคัญต่อธุรกิจออนไลน์ยุคนี้ https://seomasterth.com/google-adwords-%e0%b8%84%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b0%e0%b9%84%e0%b8%a3/ Tue, 19 Dec 2023 08:51:25 +0000 https://seomasterth.com/?p=26598 สำหรับคนทำธุรกิจในปัจจุบันช่องทางออนไลน์กลายเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยสร้างโอกาสแห่งความสำเร็จ ซึ่งกลยุทธ์ที่นิยมใช้ก็มีตั้งแต่การทำ SEO ช่องทาง Social Media แต่ถ้ามองถึงวิธีที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันเชื่อว่าต้องมีชื่อของ “Google Adwords” รวมอยู่ด้วยแบบไม่ต้องสงสัย มือใหม่ที่ยังสงสัยว่า Google Adwords คืออะไร ใช้งานยังไง แล้วมีความสำคัญต่อธุรกิจมากน้อยแค่ไหน บทความนี้มีคำตอบแบบละเอียดให้ครบถ้วนทุกประเด็น

ตอบข้อสงสัย Google Adwords คืออะไร

Google Adwords หรือ Google Ads คือ รูปแบบการโฆษณาผ่านช่องทางของ Google ในฐานะ Search Engine อันดับ 1 ของเมืองไทยและของโลก หลักการใช้งานเมื่อคุณมีบัญชีกับทาง Google เรียบร้อยก็สามารถเริ่มลงโฆษณาในรูปแบบที่เหมาะกับธุรกิจของตนเองได้ทันที อย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายในการโฆษณาดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับจำนวนของผู้คลิกเข้าชม หรือที่เรียกว่า Pay Per Click (PPC)

ประเภทของ Google Adwords ที่ได้รับความนิยม

1. Google Search

ต้องใช้ Keyword เพื่อสร้างโฆษณาบนหน้าเว็บ Google เมื่อมีคนค้นหาคำดังกล่าวเว็บของคุณจะติดอันดับอยู่ด้านบนหรือด้านล่างในหน้าแรก เหมือนการทำ SEO แต่ผลลัพธ์รวดเร็วมากกว่า

2. Google Display Network

หรือ GDN คือลักษณะของแบนเนอร์ซึ่งมีได้ทั้งภาพและตัวอักษรเพื่อโฆษณาดึงดูดความสนใจ โดยจะถูกนำไปแปะเอาไว้ตามเว็บพันธมิตรของ Google ที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกับธุรกิจของคุณ

3. Video Ads

โฆษณาประเภทนี้จะทำเป็นคลิปวิดีโอแล้วลงผ่านช่องทาง YouTube ซึ่งมีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับความเหมาะสมหรือความพึงพอใจของผู้ลงโฆษณา เช่น Display Ad, Overlay in-video ads, Non-Skipable in-stream ad, Bumper advertising (คลิกเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม)

4. Shopping Ads

ตัวโฆษณาจะถูกทำออกมาในลักษณะของการขายสินค้านั้น ๆ ชัดเจน ต้องมีข้อมูลและราคาพร้อมช่องทางการซื้อระบุเอาไว้ให้ละเอียดครบถ้วน ลูกค้าสามารถคลิกเข้าซื้อได้ทันที

5. Application Ads

เป็นการโฆษณาผ่านช่องทางมือถือโดยมีจุดประสงค์ให้คนดาวน์โหลดแอปพลิเคชันที่คุณสร้างขึ้นมา

ขั้นตอนเบื้องต้นเมื่อตัดสินใจทำ Google Adwords

แม้ Google Adwords จะมีหลายรูปแบบให้เลือก แต่ถ้าพิจารณาจากความง่ายมากสุดก็ต้องยกให้กับ Google Search เพราะคุณไม่จำเป็นต้อมีทักษะด้านการตัดต่อ การสร้างภาพแบนเนอร์ ไม่ต้องเสียเวลาลงรายละเอียดข้อมูลสินค้าใด ๆ ทั้งสิ้น เพียงแค่มีเว็บไซต์หลักที่ต้องการให้ลูกค้าคลิกเข้าไปก็สามารถเริ่มเข้าสู่การยิง Google Ads ได้ทันที ซึ่งขั้นตอนเบื้องต้นให้ทำตามนี้เลย

  1. คลิกเข้าไปบนหน้าเว็บไซต์ Google Ads จากนั้นสมัครสมาชิก สร้าง Account ของตนเองและตั้งค่าพื้นฐานสำหรับการใช้งาน Google Adwords
  2. คัดเลือก Keyword ที่ต้องการใช้ แนะนำให้เลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะกับธุรกิจของตนเอง คู่แข่งไม่จำเป็นต้องสูง เพื่อราคา Bid ไม่รุนแรงมากเกินเหตุ
  3. กำหนดค่าใช้จ่ายงบประมาณรายวันและค่า PPC เมื่อมีคนคลิกเข้ามารับชมเว็บไซต์ของคุณผ่านช่องทางการทำ Google Ads
  4. สร้างข้อความโฆษณาพร้อมใส่ Keyword ที่เลือกลงไป (เน้นเขียนให้สั้น กระชับ แต่ครบถ้วน อ่านแล้วดึงดูดใจให้อยากคลิกเข้ามาซื้อ)
  5. ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยก็รอผลลัพธ์และชำระเงินตามจำนวนคนที่คลิกเข้ามารับชมกันได้เลย

ข้อควรรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการทำ Google Adwords

หากคุณสนใจอยากเริ่มทำ Google Adwords นอกจากการค้นหา Keyword ให้เหมาะสมด้วยการเลือกคำที่คนค้นหาระดับปานกลางไปค่อนทางสูง ไม่เน้นคำทั่วไปที่คนเสิร์ชเยอะเพราะแข่งขันสูงและผลลัพธ์ไม่ค่อยน่าพึงพอใจ ยังมีข้อควรรู้เบื้องต้นอื่น ๆ เพิ่มเติมที่อยากบอกต่อ

  • เมื่อกำหนดค่าโฆษณาที่ต้องเสียผ่าน PPC และมียอดคนคลิกเข้ามาจนคุณต้องจ่ายครบตามจำนวนวันนั้นแล้ว โฆษณา Google Adwords ดังกล่าวจะหยุดแสดงและหายไปจนกว่าจะเริ่มวันใหม่
  • คำโฆษณาที่ใช้ปรับใหม่ได้ตลอด อยากเพิ่มเติมโปรโมชั่นแบบไหน ใช้คำดึงดูดใจ อัปเดตข้อมูลใหม่ล่าสุดสามารถทำได้ตลอดเวลา
  • Google Adwords จะแสดงผลเมื่อคะแนนบนแถบด้านบนเต็ม 10 นั่นหมายถึงเป็นโฆษณาที่มีประสิทธิภาพตามคำนิยมของ Google
  • กำหนดพื้นที่สำหรับยิงโฆษณาได้ เช่น ระบุจังหวัด ประเทศ เพื่อให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของตนเองมากที่สุด
  • ตอนนี้มีระบบที่เรียกว่า Performance Max Campaign ไม่ต้องเสียเวลาตั้งค่าให้ยุ่งยากเพราะสามารถยิง Ads ได้กับทุกช่องทางของ Google เช่น Search, YouTube, Maps, Gmail. Discovery, Display เพียงแค่ทำโฆษณาออกมาแค่ตัวเดียว

ทำไมการทำ Performance Max Campaign จึงสำคัญต่อธุรกิจออนไลน์

1. Google คือ เว็บค้นหาอันดับ 1

อย่างที่บอกไปว่า Google ถือเป็นเว็บ Search Engine อันดับ 1 ของไทยและของโลก คนไทยกว่า 99% ใช้เว็บนี้เพื่อค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ดังนั้นคุณจึงมีโอกาสเป็นที่รู้จัก สามารถสร้างยอดขายได้มากขึ้นเมื่อทำ Google Adwords

2. มีสถิติตัวเลขให้นำไปใช้งาน

ปัจจัยต่อมาการยิงแอดผ่าน Google จะมีสถิติตัวเลขต่าง ๆ เกี่ยวกับโฆษณาที่ลงไป สามารถนำเอาไปใช้เพื่อวางแผนการทำ Ads ครั้งถัดไปได้ง่ายขึ้น รวมถึงยังต่อยอดสู่แผนการตลาดของธุรกิจ

3. ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ชัดเจน

คุณสามารถกำหนดได้ว่าแต่ละวันต้องการตั้งค่าจำนวนเงินที่พร้อมจ่ายกี่บาท ซึ่งเป็นไปตามงบขององค์กรหรือความเหมาะสม งบไม่มีบานปลายให้ต้องกังวลใจ

4. กำหนดพื้นที่กลุ่มเป้าหมายได้จริง

การลง Google Adwords สามารถกำหนดได้ว่าต้องการยิงแอดไปพื้นที่ใด บริเวณไหนของโลก เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายของตนเองเห็นและมีโอกาสเปลี่ยนเป็นลูกค้ามากที่สุด

นี่คือข้อมูลน่าสนใจทั้งหมดของ Google Adwords ซึ่งถือเป็นช่องทางการทำโฆษณาอันทรงพลังผ่านโลกออนไลน์ สร้างโอกาสต่อยอดสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายที่คาดหวังเอาไว้ ได้ผลลัพธ์ดีและยังต่อยอดเพิ่มเติมสู่อนาคตไม่ยากเลย เรามีบริการรับลงโฆษณา Google Ads ติดหน้าแรก Google สำหรับเจ้าของธุรกิจที่ไม่มีเวลาในส่วนนี้ครับ

]]>
Performance Max คืออะไร คนทำ Google Ads ต้องรู้จักสิ่งนี้  https://seomasterth.com/performance-max-google-ads/ Thu, 14 Dec 2023 10:45:25 +0000 https://seomasterth.com/?p=26344 Performance Max คืออะไร คนทำ Google Ads ต้องรู้จักสิ่งนี้ 

 

การตลาดออนไลน์ที่ทรงประสิทธิภาพ อาจต้องอาศัยตัวช่วยหลายอย่าง โดยในบทความนี้จะมาแนะนำตัวช่วยอย่าง Performance Max คือสิ่งที่จะช่วยให้ Google Ads สร้างผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น ดังนั้นนักการตลาดคนไหนที่ต้องใช้งาน Google Ads บ่อยๆ อย่าลืมนำ Performance Max ไปประยุกต์ใช้กับโฆษณา สำหรับผู้ที่สนใจข้อมูลรายละเอียด บทความนี้ก็ได้รวบรวมมาให้แล้ว ดังนี้ 

Performance Max คืออะไร? 

 

Performance Max คือแคมเปญหนึ่งในการทำ Google Ads หรือโฆษณา Google เพื่อให้แสดงบนทุก Placements ของ Google หรือที่เรียกว่าให้แสดงทุกช่องทางที่เป็นบริการของ Google นั่นเอง ซึ่งปัจจุบันบริการของ Google นั้นมีหลากหลายอย่างมาก แม้คนส่วนใหญ่อาจคุ้นเคยกับ Google ในฐานะเว็บ Search Engine เพียงอย่างเดียว แต่ความจริงแล้ว Google นั้นมีบริการหลายอย่าง และบริการของ Google ต่างก็มีพื้นที่สำหรับแสดงโฆษณาที่แบรนด์ทั้งหลายหันมาใช้บริการกันอย่างคึกคัก 

 

ช่องทางแสดงโฆษณาจาก Performance Max คืออะไรบ้าง?

 

ช่องทางแสดงโฆษณาที่เป็นผลจากการใช้งานแคมเปญ Performance Max คือทุก Placements ของ Google จากการตั้งค่าเพียงครั้งเดียว ช่วยให้ผู้ใช้งานสะดวกขึ้น ช่องทางดังกล่าว ได้แก่

 

Google Search

 

ช่องทางแรกที่แคมเปญ Performance Max จะแสดงผลคือช่องทางที่หลายคนคุ้นเคยดีกับ Google Search โดยโฆษณาจะแสดงเมื่อผู้ใช้งานค้นหา (Search) สิ่งที่ต้องการด้วย Keyword และโฆษณาที่ทำการประมูล Keyword นั้นไว้ จะแสดงโฆษณาอยู่บนสุดหรืออันดับ 1 ของหน้าค้นหานั้น 

 

Google Display Network

 

ช่องถัดมาที่แคมเปญ Performance Max จะแสดงผลคือ Google Display Network หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า GDN โดยโฆษณาจะแสดงเมื่อผู้ใช้งานเข้าเว็บไซต์ต่างๆ โดยเฉพาะเว็บข่าวและเว็บบล็อก ที่มักจะมีโฆษณาปรากฏอยู่ในลักษณะของ Banner แปะไว้ตามจุดต่างๆ นั่นเองที่เรียกว่า GDN ที่ทางแบรนด์ต้องซื้อโฆษณาจาก Google 

Google Shopping

 

อีกหนึ่งบริการของ Google ก็คือ Google Shopping ลักษณะของโฆษณาที่ปรากฏคือเมื่อผู้ใช้งานค้นหาอะไรสักอย่าง ที่อาจแสดงถึงความต้องการซื้อสินค้านั้น จะมีรายการสินค้าแสดงขึ้นมา ซึ่งเป็นหน้าสินค้าที่มีระบบตะกร้าสินค้าจาก Merketplace ต่างๆ 

YouTube

 

ถัดมาก็คือโฆษณาบน YouTube ซึ่งการตั้งค่าแคมเปญ Performance Max ก็ทำให้โฆษณาแสดงบนช่องทางนี้ด้วยเช่นกัน โดย YouTube ก็มีผู้ใช้งานจำนวนมหาศาล ได้รับการตอบรับที่ดีเสมอมา ทำให้โฆษณาที่แสดงผ่านช่องทางนี้ มีผู้ใช้งานเข้าถึงจำนวนมาก 

Google Discovery

 

Google Discovery ก็เป็นอีกบริการหนึ่งที่จะแสดงผลโฆษณาที่มาจากแคมเปญ Performance Max ได้เช่นกัน ลักษณะของโฆษณาจะเป็นแบบเนียนไปกับเนื้อหา โดยจะแสดงในแอป Google ซึ่งโฆษณาดังกล่าวจะแสดงในส่วนของ Google Discover feed และใน Youtube Home 

Gmail

 

นอกจากนี้การใช้งานแคมเปญ Performance Max ก็สามารถแสดงผลโฆษณาบน Gmail ได้ด้วย ซึ่งเป็นอีกบริการหนึ่ง Google หากใครเข้าไปตรวจสอบอีเมล์ของตัวเองใน Gmail ก็คงจะเคยผ่านตากับอีเมล์โฆษณา ที่มีคำว่า AD กำกับอยู่ 

 

Google Map

 

ในกรณีที่ค้นหาสถานที่ผ่าน Google Map บนคอมพิวเตอร์แบบไม่เจาะจงชื่อสถานที่ เช่น ค้นคำว่า ที่พัก พัทยา จะมีที่พักบางแห่งที่จ่ายค่าโฆษณาไว้ แสดงขึ้นมาอันดับต้นๆ โดยมีคำว่า Ads กำกับอยู่ โดยการใช้แคมเปญ Performance Max ก็ทำให้แสดงบนช่องทางนี้ด้วย

 

กล่าวโดยสรุปเรื่องช่องทางที่แสดงโฆษณาโดยอาศัยการสนับสนุนจาก Performance Max คือทุก Placements ของ Google 

ข้อดีของ Performance Max คืออะไร?

 

ในการใช้งานแคมเปญนี้มีประโยชน์หลายอย่าง กล่าวโดยสรุปข้อดีของ Performance Max คือ  

 

1.ตั้งค่าโฆษณาให้แสดงทุก Placements ของ Google ในครั้งเดียว

 

เดิมทีสำหรับนักการตลาดหรือ Marketer เวลาจะตั้งค่าให้โฆษณาแสดงบน Placements ไหนของ Google จะต้องตั้งทีละอัน แต่ถ้าใช้แคมเปญ Performance Max โฆษณาจะแสดงทุก Placements ของ Google ในการตั้งโฆษณาเพียงครั้งเดียว

 

2.เข้าถึงกลุ่มคนที่กว้างขึ้น 

 

จากที่ได้กล่าวไปว่าแคมเปญ Performance Max จะแสดงผลโฆษณาทุก Placements ของ Google จึงเข้าถึงกลุ่มคนได้กว้างขึ้น ไม่ว่ากลุ่มเป้าหมายจะชอบใช้งาน Platform ไหน แต่ถ้าหากเป็นของ Google ก็มีโอกาสที่จะได้เจอกับเนื้อหาโฆษณาของแบรนด์ที่เลือกใช้แคมเปญ Performance Max

 

3.บริหารงบได้คุ้มค่ามากขึ้น

 

นอกจากการเข้าถึงคนจำนวนมากและกว้างขวาง Performance Max ยังช่วยบริหารงบโฆษณาได้อย่างคุ้มค่า จากการเก็บผลลัพธ์มาวิเคราะห์และแสดงผลให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายแบรนด์ เช่น ถ้าหากโฆษณาของแบรนด์หนึ่งแสดงทุก Placements ไหนของ Google หลังจากนั้นได้มีการเก็บข้อมูลและพบว่า การโฆษณาบน Gmail ไม่ค่อยเกิดผลลัพธ์ที่ดี กลุ่มเป้าหมายอาจไม่ค่อยคลิกดูโฆษณา ก็จะลดการแสดงโฆษณาบน Gmail ลงและไปแสดงบน Placements อื่นที่มีประสิทธิภาพมากกว่าแทน จึงเป็นการใช้งบโฆษณาได้คุ้มค่ามากกว่า

 

4.เน้นที่เป้าหมายหรือ Conversion

 

นอกจากเรื่องของการแสดง Placements ของ Google ข้อดีอีกหนึ่งเรื่องที่โดดเด่นก็คือการเน้นที่เป้าหมายหรือ Conversion เพราะไม่ใช่แค่แสดงให้เห็นเท่านั้น แต่ Performance Max ยังกระตุ้นให้เกิด Conversion ด้วย ในส่วนนี้ ได้แก่ ยอดขาย (Sales), ความสนใจของกลุ่มที่แสดงถึงโอกาสการขายของแบรนด์ (Leads), การเข้าชมเว็บไซต์ (Website Traffic) เป็นต้น เมื่อเกิด Conversion ก็จะนำมาสู่การเพิ่มยอดขายในที่สุด

 

กล่าวโดยสรุป Performance Max คืออะไร ก็คือแคมเปญหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมโฆษณา Google ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพิ่มโอกาสการขายให้กับแบรนด์ในระยะยาว ทั้งยังอำนวยความสะดวกให้กับนักการตลาดที่ใช้เครื่องมือ Google Ads ให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น 

]]>
SEM คืออะไร สำคัญอย่างไรกับการตลาดออนไลน์ https://seomasterth.com/what-is-sem/ Thu, 07 Dec 2023 16:07:53 +0000 https://seomasterth.com/?p=25959 SEM คืออะไร สำคัญอย่างไรกับการตลาดออนไลน์

การทำ SEM คืออะไร เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งข้อสงสัยสำหรับนักการตลาดออนไลน์หน้าใหม่ ที่กำลังก้าวเข้าสู่การโปรโมทสินค้าและบริการผ่านช่องทางออนไลน์ รวมถึงการขายสินค้าออนไลน์ ซึ่ง SEM มีความสำคัญอย่างมากในการโปรโมทผ่านช่องทางนี้ สำหรับใครก็ตามที่กำลังหาคำตอบอยู่ว่า SEM คืออะไร ครั้งนี้ทางบทความจะมาอธิบายให้เข้าใจกัน

SEM คืออะไร?

SEM แปลว่า Search Engine Marketing คือการทำการตลาดออนไลน์วิธีหนึ่ง เพื่อโปรโมทเนื้อหาหรือหน้าเว็บไซต์ โดยอาศัยพฤติกรรมการค้นหาบนออนไลน์เป็นหลัก การทำ SEM ต้องจ่ายเงินให้กับเว็บ Search Engine เช่น Google, Yahoo, Bing เป็นต้น เพื่อประมูล Keyword ให้เนื้อหาติดอันดับแรกหรือหน้าแรก เมื่อกลุ่มเป้าหมายค้นหาคำนั้นที่ตรงกับ Keyword ที่แบรนด์ประมูล ก็จะได้เจอเนื้อหาของแบรนด์ก่อนใคร จึงเพิ่มโอกาสให้คนเข้าถึงเนื้อหานั้นมากขึ้น หากเนื้อหานั้นคือหน้าขายสินค้าก็จะมีโอกาสเพิ่มยอดขายได้ หรือถ้าหากเนื้อหานั้นไม่ใช่หน้าขาย แต่เป็นหน้าประชาสัมพันธ์สินค้า ก็จะทำให้กลุ่มเป้าหมายรับรู้ข้อมูลและการมีอยู่ของสินค้านั้นๆ ได้

ประเภทของการทำ SEM คืออะไรบ้าง?

การทำ SEM มีอยู่ 2 แบบ คือ

  • Pay per Click (PPC) หรือ Paid Search
  • SEO (Search Engine Optimization) หรือ Organic Search

 

 

Pay per Click (PPC)

หนึ่งในการทำ SEM คือ Pay per Click (PPC) แปลตรงตัวก็คือ จ่ายต่อคลิก คือนักการตลาดต้องเข้าไปทำการประมูล Keyword ไว้บนเว็บ Search Engine เว็บใดเว็บหนึ่งหรือหลายเว็บก็ได้ เพื่อให้เนื้อหาของแบรนด์ขึ้นหน้าแรกหรืออันดับแรกของเว็บ Search Engine นั้นๆ และเมื่อมีการคลิกเกิดขึ้น แบรนด์จะต้องเสียเงินให้กับเว็บ Search Engine เช่น ประมูลไว้ให้อยู่บนสุดของเว็บ Search Engine คลิกละ 11 บาท เมื่อเกิดการคลิก 1 ครั้งแบรนด์ก็ต้องจ่าย 11 บาท หากเกิดการคลิก 100 ครั้ง แบรนด์ก็ต้องจ่าย 1,100 บาท

สื่อโฆษณาที่เกิดจากการทำ SEM คือลิงค์บนเว็บ Search Engine ที่ถูกกำกับข้อความเล็กๆ ไว้ว่า “โฆษณา” หรือ “Sponsored” หรือ “ได้รับการสนับสนุน” (แล้วแต่การตั้งค่าภาษาของผู้ใช้งานและเว็บ Search Engine ต่างๆ ที่อาจใช้คำแตกต่างกันออกไป) ซึ่งสื่อโฆษณานี้จะอยู่ในอันดับแรกของเว็บ Search Engine

เทคนิคการทำ Pay per Click

  1. “เลือก Keyword ที่ใช้เงินประมูลคุ้มค่า” โดยในเว็บที่มี Keyword Planner จะปรากฏราคาประมูลของ Keyword แต่ละคำเอาไว้ เมื่อแบรนด์ต้องการประมูลก็ลองพิจาณาดูว่าราคาประมูลนั้นคุ้มค่าหรือไม่ โดยเปรียบเทียบกับราคาขายสินค้าหรือบริการ หากสินค้าหรือบริการไม่ได้ราคาสูง แต่ราคาประมูล Keyword ค่อนข้างสูง เช่น คลิกละ 11 บาท คนคลิก 100 ครั้งก็ต้องจ่าย 1,100 บาท แต่ราคาสินค้าแค่ชิ้นละ 100 บาท ประเมินโอกาสที่คนคลิก 100 ครั้ง อาจจะซื้อแค่ 2 ชิ้น ได้เงินกลับมาแค่ 200 บาท แบบนี้ถือว่าไม่คุ้มค่าเท่าไร
  2. “เลือก Keyword จากอัตราความเปลี่ยนแปลงในช่วง 3 เดือน” หากสินค้าหรือบริการที่ต้องการขายระยะยาว ควรหลีกเลี่ยง Keyword ที่มีอัตราความเปลี่ยนแปลงในช่วง 3 เดือนสูง คือยิ่งมีค่า % สูงเท่าไร หมายความว่าจำนวนการค้นหาเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น หากขึ้นว่ามีการค้นหา 2,000 ครั้งต่อเดือน อาจเกิดขึ้นแค่ช่วงเวลานั้น ต่อไปอีก 3 เดือนข้างหน้าอาจเหลือการค้นหาเพียง 10 ครั้งต่อเดือนเท่านั้น แปลว่าคนก็ไม่ค้นหาคำนั้นแล้ว จึงควรหลีกเลี่ยง หรือถ้าไม่เลี่ยงก็ต้องประมูล Keyword นั้นแค่ช่วงเวลาเดียวที่มีการค้นหาเยอะ อย่าประมูลระยะยาว แต่ส่วนมาก Keyword ที่มีอัตราความเปลี่ยนแปลงในช่วง 3 เดือนสูง มักเป็นการโปรโมทระยะสั้น เช่นการโปรโมทในช่วงเทศกาลต่างๆ
  3. “เลือก Keyword ที่มีการค้นหาสูง คู่แข่งต่ำ” ถ้าเป็นไปได้ ควรเลือกประมูล Keyword ที่มีจำนวนการค้นหาสูง นั่นหมายความว่ามีคนต้องการสิ่งนั้นหรือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสิ่งนั้นค่อนข้างมาก แต่มีคู่แข่งที่จะทำการประมูล Keyword น้อย ทำให้ราคาประมูลไม่สูงนัก จึงคุ้มค่าต่อการจ่ายค่าโฆษณามากที่สุด

 

 

SEO (Search Engine Optimization)

ถัดมากับการทำ SEM คือ SEO แม้ว่าการทำ SEO มักจะถูกนำมาเปรียบเทียบกับการทำ SEM อยู่เสมอ แต่ถึงอย่างนั้น การทำ SEO ก็เป็นส่วนหนึ่งในการทำ SEM ด้วยเช่นกัน เนื่องจากการทำ SEM เป็นการทำการตลาดบนเว็บ Search Engine การทำ SEO ก็เป็นการทำการตลาดบนเว็บ Search Engine ด้วย โดยจะต้องอาศัยการค้นหาเพื่อเข้ามาเจอกับเนื้อหาของแบรนด์ แต่การทำ SEO ไม่ต้องจ่ายเงินเพื่อให้เนื้อหาอยู่บนสุด ไม่ต้องประมูล Keyword ไม่ต้องเสียเงินให้กับเว็บ Search Engine แต่ต้องใช้เทคนิคการทำ SEO ด้วยเนื้อหาคุณภาพ เชื่อมโยงกับ Keyword เพื่อให้เนื้อหาติดอันดับสูงๆ บนเว็บ Search Engine

เทคนิคการทำ SEO

  1. “จัดทำเนื้อหาที่เชื่อมโยง Keyword ยอดนิยม” โดยการทำเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับ Keyword ที่มีคนค้นหาเยอะๆ (หากต้องการรู้ว่าคำไหนคนค้นหาเยอะ ให้ใช้เครื่องมือช่วย เช่น Google trend, Google ads, Ubersuggest เป็นต้น) และมีการจัดวาง Keyword ที่เหมาะสม ตามเทคนิคการทำ SEO
  2. “ใส่ Keyword ใน Heading” ในการทำเนื้อหาควรใส่ Keyword เอาไว้ใน Heading จุดต่างๆ เพื่อให้เว็บ Search Engine รับรู้ว่าเนื้อหานั้นมีความเกี่ยวข้องกับ Keyword นั้นอย่างเข้มข้น เมื่อมีคนค้นคำนั้น จะได้แสดงในอันดับต้นๆ บนเว็บ Search Engine
  3. “ใส่ Keyword ไว้ 1-2% ในบทความ” นั่นคืออัตราที่เหมาะสมในการทำ SEO ควรมี Keyword ไว้ 1-2% ในบทความ เช่น บทความความยาว 1,000 คำ ก็ควรมี Keyword 10-20 คำในบทความนั้น

ทั้งหมดนี้ก็คือนิยามของการทำ SEM กล่าวโดยสรุปในเรื่องของเทคนิคการทำ SEM คือความคุ้มค่า เพราะเป็นการใช้งบค่าโฆษณา และจะต้องประเมินรอบด้าน เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด อิงตามพฤติกรรมการค้นหาบนออนไลน์ผ่านเว็บ Search Engine เป็นหลัก หากต้องการที่ปรึกษารับลงโฆษณา google ติดต่อเราได้เลยครับ

]]>