seo – SEO Master บริษัทรับทำ SEO รับดูแลเว็บไซต์ ราคาถูก ครบวงจร https://seomasterth.com SEO MASTER Mon, 15 Jan 2024 15:47:08 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.3.5 https://seomasterth.com/wp-content/uploads/2023/11/cropped-seomaster-icon-32x32.jpg seo – SEO Master บริษัทรับทำ SEO รับดูแลเว็บไซต์ ราคาถูก ครบวงจร https://seomasterth.com 32 32 วิธีทำ SEO ให้ติดหน้าแรก Google ปี 2024 สอนฟรีฉบับเต็มทำเองได้ https://seomasterth.com/how-to-do-seo/ Tue, 02 Jan 2024 19:26:49 +0000 https://seomasterth.com/?p=26740 สอนทำ SEO ฟรี ปี 2024 เรียนทำ SEO ทาง Google จะนำเทคโนโลยี AI, machine learning มาช่วย Search engines ให้ฉลาดยิ่งขึ้น เพื่อแสดงผล SERP ให้ตรงความต้องการของ User Intent เราต้องทำ Content ให้มีคุณภาพ ตอบโจทย์ผู้ใช้ค้นหา ใช้ภาษาที่ถูกต้อง User Experience (UX) เข้ามาเป็นหนึ่งปัจจัยใน ranking factor  ความเร็วเว็บไซต์ รองรับมือถือ ซึ่งในบทความนี้ เราจะเจาะลึกวิธีทำ SEO ให้ตอบโจทย์ Google SEO Algortithm 2024

SEO คืออะไร?

ก่อนจะไปรู้กันว่า SEO ทำอย่างไร มาปูพื้นฐาน (SEO Basic) กันก่อนว่า SEO คืออะไร?

SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization คือ การปรับปรุงเว็บไซต์ตามหลักสูตร เพื่อทำให้เว็บไซต์ติดอันดับใน Google เช่น ชื่อโดเมน การใช้ HTML Tag ทั้ง Heading, ahref, image, URL ทำคอนเทนต์ตามหลัก SEO On-Page โครงสร้างเว็บไซต์ เมนู แท็ก Social Profile การปรับแต่งความเร็วเว็บไซต์ ในส่วน SEO Off-Page เช่น การทำ Backlink การทำ Local SEO เช่น Google My Business

>> อ่านเพิ่มเติมว่า SEO คืออะไร

คำศัพท์ SEO ที่สำคัญ มีอะไรบ้าง?

มีคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับ SEO ที่มักเจอบ่อย เราควรศึกษา ให้มีความรู้ความเข้าใจก่อน

>> อ่านเพิ่มเติมว่า คำศัพท์ SEO

วิธีทํา SEO มีอะไรบ้าง อัปเดต 2024

เรารวบรวม ขั้นตอนและวิธีทำ SEO อย่างละเอียด อัพเดต 2024 สอนทำ SEO ฟรี แบบ Step by Step ขั้นตอนทั้งหมด SEO Fundamentals หรือ เรียนทำ SEO ด้วยหลักการพื้นฐานการทำ SEO มีอะไรบ้าง SEO How To มือใหม่ทำเอสอีโอ แบ่งเป็น 10 บทเรียน ดังนี้ครับ

1. วางแผนวิเคราะห์คีย์เวิร์ด (Keyword Research)

บทเรียนแรก สอนทำ SEO การทำ Keyword Research คือการสืบค้นว่ากลุ่มเป้าหมายของเราใช้คำหลัก (Keyword) อะไรในการค้นหา และคำเหล่านั้นมีปริมาณการค้นหา (Search Volume) เป็นจำนวนเท่าไร เป็นกลยุทธ์ขั้นตอนที่สำคัญ เพื่อจะได้นำมาวางแผนสร้างคอนเทนต์ที่ลูกค้าจะค้นเจอในหน้า Google ได้มากที่สุด และยังใช้ติดตามผล วัดผลลัพธ์ได้ด้วย

Keyword สำหรับการทำ SEO นั้น โดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

  • Head Keyword หรือ Seed Keyword มักเรียกกันว่า คีย์เวิร์ดหลัก (Main Keywords) โดยจะเป็นคำกว้างๆ หรือคำโดดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจต่างๆ สินค้า บริการ เช่น SEO, SEM, Agency, Marketing, รับทำเว็บไซต์, เอเจนซี่, การตลาด,  เป็นต้น
  • Niche Keyword : คือ Head Keyword ที่เพิ่มคำที่เฉพาะเจาะจงเข้าไป เช่น SEO คืออะไร, SEM คืออะไร, รับทำเว็บไซต์ WordPress
  • Long Tail Keyword  : วลีหรือประโยคยาว ๆ มีปริมาณการค้นหาต่ำ แต่ Conversion สูง แสดงรายละเอียดเฉพาะเจาะจงและสะท้อนสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการได้ดีที่สุด เช่น บริษัทรับทำเว็บไซต์ ลาดพร้าว 101, รับทำเว็บไซต์ WordPress ราคาถูก, รับทำ seo ประเทศไทย, ทำ seo กรุงเทพ,

โดยหลักการเลือก Keyword ทำ SEO ควรเลือกคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในเว็บไซต์ คำมีศักยภาพในการเอาชนะคู่แข่ง และสามารถทำให้เว็บไซต์ ติดอันดับได้ ควรเลือกคำหลักที่มี Search Volume ปริมาณสูง และคำรองต่างๆจะลดหลั่นกันลงมา ต้องมีวินัยกับความอดทน ในการจัดทำ SEO จนติดหน้าแรก Google และมีอันดับ Ranking ได้ในที่สุด

โดยการทำ Keyword Research โดยเครื่องมือ (SEO Tool) สำคัญมากๆ จะทำให้เราเห็นแนวโน้มของเว็บไซต์ การวิเคราะห์ Keyword ยังช่วยในการปรับปรุง SEO ด้านอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการปรับแต่ง On-Page SEO, การวางโครงสร้างเว็บไซต์ (Site Structure), การใช้ Backlink เป็นต้น

>> อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Keyword Research

สำหรับโปรแกรมทำ Keyword Research ที่เราอยากแนะนำ จะมีอยู่หลายโปรแกรมด้วยกัน มีทั้งเครื่องมือฟรีและเสียเงินรายเดือน ซึ่งเรามีสอนใช้เครื่องมือ SEO เช่น ahrefs, SEMRush, Google Keyword Planner

>> อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ 10 โปรแกรมทำ Keyword Research

2. ออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ (Site Structure)

บทเรียนที่สอง สอนทำ SEO เกี่ยวกับ Site Structure คือ โครงสร้างเว็บไซต์ที่ประกอบไปด้วย Header , Content และ Footer เป็นการจัดระเบียบนำเสนอให้รู้ว่าเว็บเรา มีเนื้อหาหลักอะไรบ้าง เมนูมีหมวดหมู่ใดบ้าง วางแผน Keyword กับหน้าเพจให้สอดคล้องกัน ลึกที่สุดจากหน้าแรกไม่ควรเกิน 4 ชั้น

ถ้าออกแบบ Site Structure ได้ดีและเป็นระบบ ก็จะช่วยให้อัลกอริทึมของ Google เข้าใจและหาสิ่งต่าง ๆ ภายในเว็บฯ เจอได้เร็ว ผู้เข้าชมเว็บไซต์ ได้รับประสบการณ์ที่ดี รวมถึงทำให้อันดับ SEO ในหน้าค้นหาดีขึ้นด้วย

โดยโครงสร้างเว็บไซต์ (Site Structure) แบ่งเป็น 5 รูปแบบ ตามการจัดรูปแบบของเนื้อหา

  • โครงสร้างแบบเส้นตรง (Linear Structure) โครงสร้างเว็บไซต์ที่นำเสนอเนื้อหาตามลำดับ
  • โครงสร้างแบบต้นไม้ (Hierarchical Structure) โครงสร้างเว็บไซต์คล้ายแผนผังต้นไม้ มีการจัดแบ่งหน้าต่าง ๆ เป็นหมวดหมู่ เริ่มจากหน้าแรกที่อยู่ด้านบนสุด ไล่หน้ารองหรือย่อยลงมาเรื่อย ๆ
  • โครงสร้างแบบอิสระ (Web Linked Structure) โครงสร้างเว็บไซต์รูปแบบไม่ตายตัว แค่มีหลักการว่าทุกหน้าเว็บฯ ต้องเชื่อมโยงถึงกัน
  • โครงสร้างเว็บไซต์แบบฐานข้อมูล (Database Structure) โครงสร้างเว็บไซต์ตรงข้ามกับรูปแบบแผนผังต้นไม้ เพียงแต่เรียงจากล่างขึ้นบน

โครงสร้างแบบผสม (Hybrid Structure) โครงสร้างเว็บไซต์รูปแบบผสมระหว่างโครงสร้างแบบต้นไม้ (Hierarchy Structure) กับโครงสร้างรูปแบบอื่น ๆ เข้าด้วยกัน

Site Structure ก็เหมือนเป็น Fundamental หรือ หลักการที่ใช้ทำโครงสร้างเว็บไซต์ เว็บสำเร็จรูปอย่าง WordPress ใน Theme ต่างๆก็มีโครงสร้างเว็บไซต์ตั้งต้นมาให้เราแล้ว เพียงเราวางแผน วิเคราะห์ ว่าเว็บไซต์เราจะมี หมวดหมู่อะไรบ้าง หน้าเพจ อะไรบ้าง จัดกรุ๊ปต่างๆให้ถูกต้อง

>> อ่านรายละเอียด Site Structureเพิ่มเติม

3. ปรับแต่งหน้าเว็บไซต์ (On-Page SEO)

บทเรียนสาม สอนทำ SEO เกี่ยวกับเรื่อง On-Page SEO คือการปรับแต่ง แก้ไข และจัดการเว็บไซต์เพื่อให้ได้ตามมาตรฐานที่กำหนด รวมถึงเพื่อช่วยให้ Google Bot ทำความเข้าใจเนื้อหาภายในเว็บไซต์ของเราได้ดีขึ้นด้วย จึงต้องพอเข้าใจภาษา HTML เบื้องต้น โดยหลัก ๆ ที่เราอยากแนะนำ ก็คือการปรับแต่ง URL , บทความ และความเร็วในเว็บไซต์

ปรับแต่ง URL (Friendly URL)

  • ตั้งชื่อ URL ด้วยคีย์เวิร์ด : ช่วยให้เว็บไซต์ถูกค้นพบได้ง่ายขึ้น เช่น /how-to-do-seo ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายว่าหน้านี้จะให้ข้อมูลเรื่องอะไร และเพื่อให้ รวมถึง Google Bot จะเรียนรู้ได้ง่ายเช่นกัน
  • ตั้งชื่อ URL สั้น กระชับ เข้าใจง่าย : เพื่อให้ผู้ใช้เข้าใจได้ทันทีว่ากำลังเข้าชมเว็บฯ ของใคร/สินค้าอะไร เป็นการเพิ่ม Traffic ที่ทำให้อันดับ SEO ดีขึ้นอีกทางหนึ่ง (โดยทั่วไปห้ามเกิน 255 ตัวอักษร)
  • ตั้งชื่อ URL โดยระบุคำที่เป็นข้อมูลของสินค้าหรือบริการ  เช่น /ยี่ห้อ-รุ่น เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น และสะดวกต่อ Google Bot ในการเข้ามาเก็บข้อมูล
  • ตั้งชื่อ URL ให้มีเลขปีต่อท้ายในบางธุรกิจ เช่น /review-…-2024 เพื่อบอกบริการถึงปีไหน เนื่องจาก เลขปี ถือเป็น keyword ที่ผู้คนมักใช้ค้นหา

ปรับแต่ง Content ในเว็บไซต์

  • ใส่คีย์เวิร์ดใน Title Tag และวางคีย์เวิร์ดไว้ในคำแรก ๆ ของชื่อเรื่อง
  • ใส่คีย์เวิร์ดในช่วง 1–150 คำแรกของคอนเทนต์
  • ใส่คีย์เวิร์ดใน H1, H2 หรือ H3
  • ใส่ Alt tags สำหรับรูปภาพและไฟล์ เพื่อช่วยให้กูเกิลเข้าใจได้ว่ารูปภาพหรือไฟล์นั้นคืออะไร
  • ใส่คำพ้องหรือคำที่ใกล้เคียง (Synonyms) กับคีย์เวิร์ดลงไปด้วย เช่น ทำ SEO, รับทำ SEO, บริการจ้างทำ SEO, รับทำเอสอีโอ
  • จำนวน Keyword Density ความหนาแน่นของคีย์เวิร์ด
  • ใส่ External Links (ลิงก์จากเว็บฯ ข้างนอก) เข้าไปในบทความ เนื่องจากจะช่วยสร้างการอ้างอิงที่น่าเชื่อถือให้กับบทความมากขึ้น
  • ใส่ Internal Links (ลิงก์ภายในเว็บไซต์) เพื่อให้ผู้อ่านสามารถกดลิงก์ไปดูบทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกัน

ปรับแต่งความเร็วเว็บไซต์

  • ปรับแต่งโค้ดให้ตรงตามหลัก Google PageSpeed
  • ปรับแต่งโค้ดให้ตรงตามหลัก Core Web Vital

>> อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ SEO On-Page

4. ทำ Content คุณภาพ

บทเรียนสี่ เคยได้ยินคำนี้ไหมครับ “Content is King” นักทำ SEO สร้างเนื้อหาที่เน้นประโยชน์กับคนอ่านเป็นหลัก อีกทั้งยังควรทำให้เนื้อหาแต่ละหน้าเพจมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน โดยยึดหลัก E-E-A-T Factorหรือกฎเกณฑ์ใหม่ล่าสุดที่ Google ทำการอัปเดตจาก E-A-T Factor เดิม อันเป็นเกณฑ์ที่อัลกอริทึมจะใช้ในการพิจารณาคุณภาพของเนื้อหาบนเว็บไซต์ อันประกอบไปด้วย

  • Experience (ประสบการณ์) – เนื้อหาที่มาจากประสบการณ์ตรงของผู้เขียน
  • Expertise (ความเชี่ยวชาญ) – เนื้อหาเขียนโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีข้อมูลเชิงลึก
  • Authoritativeness (ความมีอิทธิพล) – เว็บไซต์ได้รับการอ้างอิงจากเว็บฯ ต่าง ๆ ที่น่าเชื่อถือ (Backlink)
  • Trustworthiness (ความน่าเชื่อถือ) – เว็บไซต์มีช่องทางการติดต่อ ความสดใหม่ ที่น่าเชื่อถือจากตัวเว็บไซต์เอง

สิ่งสำคัญคือ เนื้อหา Content ควรตรงตามความต้องการของผู้ใช้หรือที่เรียกว่า Search Intent อีกทั้งยังจะต้องเป็นเนื้อหาที่เขียนและเรียบเรียงด้วยตนเอง ไม่ได้คัดลอกมาจากแหล่งอื่น นอกจากนี้ ยังควรแบ่งเป็นหัวข้อหลัก หัวข้อย่อย เพื่อให้ง่ายต่อการอ่านของผู้ใช้ด้วย

5. ทำ Backlink จากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ (Off-Page SEO)

บทเรียนห้า เนื่องจาก Authoritativeness (A) ใน E-E-A-T เป็นเกณฑ์หนึ่งที่ Google ใช้พิจารณาการจัดอันดับเว็บไซต์ สิ่งนี้จึงเป็นเหตุผลที่การทำ Backlink เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยในการไต่อันดับเช่นกัน

Backlink คือ การที่เว็บไซต์อื่นลิงก์กลับมาหาเว็บไซต์ของเรา ซึ่ง Google จะใช้การทำ Backlink เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดว่าเว็บไซต์ของเรามีคนพูดถึงและมีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน เพราะหากมีคนพูดถึงเรามาก ดังนั้นจากข้อ 4. ก็หมายความว่าถ้าเว็บไซต์ของเรามีคอนเทนต์ที่ดีและตอบโจทย์ตามความต้องการของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่ ก็จะมี Backlink ที่ดี ธรรมชาติ อ้างอิงถึงเราเอง ทำให้มีโอกาสติดอันดับ SEO ได้ง่ายขึ้น แต่ก็ยังมีบางเว็บที่ไม่มี Backlink เท่าไหร่แต่ก็มี Traffic ที่ดีได้

การทำ Backlink ที่ดีควรจะมีลักษณะดังต่อไปนี้

  • ควรทำกับเว็บไซต์มี Authority สูง (ค่า DR) หมายถึง มีความน่าเชื่อถือ มีผู้อ่านเยอะ ได้รับการอ้างอิงถึงบ่อย อาจดูจากเครื่องมือต่าง ๆ  เช่น Ahrefs
  • ควรทำกับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา เช่น หากเป็นเอเจนซีรับทำ SEO การทำ Backlink ก็ควรมาจากเว็บฯ การตลาด หรือ เทคโนโลยี
  • ควรทำกับเว็บไซต์มีผู้ใช้งานจริง ถูกคลิกเข้ามาใช้งานเรื่อย ๆ (Organic Traffic)
  • ควรทำเป็น Do Follow ซึ่งสามารถส่งคะแนน SEO มายังเว็บไซต์ของเราได้
  • ควรเขียนเนื้อหาบทความในการทำ Backlink ให้น่าสนใจ เพื่อให้ Traffic กลับมายังเว็บไซต์มีปริมาณเยอะขึ้น
  • ควรทำ Backlink อย่างค่อยเป็นค่อยไปและเป็นธรรมชาติ ไม่ควรทำจำนวนมากในระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อป้องกันการโดน Google แบน

>> อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ วิธีการทำ Backlink

6. ปรับ User Experience

บทเรียนหก สอนทำ SEO เกี่ยวกับ UX ย่อมาจาก User Experience คือ ประสบการณ์ของผู้ใช้งานต่อการใช้งาน (Usability) และการเข้าถึง (Accessibility) เว็บไซต์ ๆ ว่าผู้ใช้งานเกิดความพึงพอใจและมีประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์มากน้อยแค่ไหน โดย User Experience จะมีผลมาจาก UI หรือ User Interface

การวัด UX หลัก ๆ ก็จะวัดได้จาก :

  • Bounce Rate คือค่าที่บอกว่ามีคนที่เข้าเว็บไซต์แล้วออกทันทีทั้งหมดกี่เปอร์เซ็นต์ หาก Bounce Rate ยิ่งต่ำคือยิ่งดี ขึ้นอยู่กับเนื้อหานั้น ๆ ด้วย เช่น หน้า บทความ (Blog) อาจมีค่า Bounce Rate ที่สูงกว่าหน้า บริการ (Service) หรือหน้า สินค้า (Product) เป็นต้น
  • Page per Session คือ จำนวนหน้าที่ผู้ใช้งานเข้าไปชมต่อการเข้ามาที่เว็บไซต์ของเราหนึ่งครั้ง โดยปกติแล้ว ยิ่งจำนวนมากจะยิ่งดี แต่ก็ต้องระมัดระวังในการทำ CTA ที่ไม่ชัดเจนพอ ซึ่งอาจส่งผลให้ Google Bot เข้าใจว่าเราดึงดูดคนให้เข้ามาที่เว็บไซต์ของเราผิดหน้าได้
  • Dwell Time (Session Duration, Time on Page) คือ ค่าที่บอกถึงเวลาที่ผู้ใช้งานใช้ไปในแต่ละหน้า (Time on Page) หรือแต่ละครั้ง (Session Duration) ซึ่งหากยิ่งมากก็ยิ่งดี เพราะนั่นหมายความว่าเนื้อหาบนเว็บไซต์เรามีประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน Online
  • Page Speed คือ ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์ หากโหลดได้เร็วก็มีโอกาสสูงมากที่ผู้ใช้งานจะเข้าถึงเว็บไซต์ของเราได้เร็ว ดังนั้น ยิ่งเวลาในส่วนนี้ใช้น้อยเท่าไรก็จะถือว่าเว็บไซต์มี UX ที่ดี

โดยการจะทำให้ค่าเหล่านี้ดี สามารถทำได้จากการปรับแต่ง UX ในเว็บไซต์ให้ใช้งานได้ง่ายแบบไหลลื่น ไม่มีสะดุด อันได้แก่

  • ออกแบบเว็บไซต์ ให้สวยงาม น่าใช้ รองรับมือถือ ปัจจุบัน Theme ส่วนมากก็ถูกหลักหมดแล้วครับ
  • ออกแบบเมนูบนเว็บไซต์ให้เป็นระบบ เพื่อให้ผู้ใช้หาง่าย เพิ่มโอกาสการท่องเว็บ เป็นระยะเวลานาน
  • ใช้ชื่อเมนูเป็นสากล เช่น Home, Product, Service, Contact us เพื่อให้ผู้ใช้เข้าใจเมนูได้ง่าย หากใช้คำที่เฉพาะตัวและยากจนเกินไปก็มีโอกาสที่เว็บไซต์จะไม่สร้างความประทับใจให้แก่ผู้ใช้งาน
  • เลือก Hosting ที่มีประสิทธิภาพ ปรับจูนค่าทางเทคนิคต่างๆ เพื่อให้เว็บไซต์ เสถียร ไม่ล่มง่าย ไม่ใช้แชร์โฮสต์กับผู้อื่น
  • ใช้ระบบการเก็บ Cache เช่น Leverage Caching , ย่อขนาดไฟล์รูปภาพและวิดีโอ (Image Optimization) เพื่อเพิ่มความเร็วดาวน์โหลดเว็บไซต์
  • คำนึงถึง ระยะห่างระหว่างปุ่ม รวมถึงขนาดตัวอักษร สีปุ่มที่ตัดกับสีแบ็คกราวด์ (Color Contrast)
  • ออกแบบ User Signal เพื่อให้ผู้ใช้งานอยู่บนเว็บไซต์นานขึ้น
  • จัดรูปแบบเนื้อหาให้อ่านง่าย ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบเลย์เอาต์ ฟอนต์ หรือลำดับความสำคัญของเนื้อหาที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้ใช้งานได้ประสบการณ์ที่ดีจากการเข้าชมเว็บไซต์ของเรามากที่สุด
  • มี Call-to-Action ชัดเจน ทั้งลิงก์และปุ่ม Button เพื่อให้ผู้ใช้รู้ว่าควรกดไปที่ใดต่อ
  • หลีกเลี่ยงการใช้โฆษณา Pop-up ที่เด้งแล้วรบกวนการใช้งานของผู้ใช้

>> อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำ UX

7. ปรับแต่ง Technical SEO

บทเรียนเจ็ด Technical SEO คือ การปรับแต่ง SEO ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเทคนิคเป็นส่วนใหญ่ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกแก่บอตของ Google ให้รวบรวมข้อมูลและจัดทำดัชนีหน้าเพจทั้งหมดบนเว็บไซต์ได้ง่ายยิ่งขึ้น จึงต้องรู้จักเครื่องมือ Google Search Console

Technical SEO ปรับแต่งได้ตั้งแต่

  • เพิ่มความเร็วเว็บไซต์ (Page Speed)
  • เว็บไซต์รองรับการแสดงผลบนอุปกรณ์มือถือ (Mobile-Friendly Website)
  • ทำ Lazy Load ให้รูปภาพและ iframe แสดงผลโหลดขึ้นมาในส่วนที่ผู้ใช้เลื่อนเมาส์มาถึงเท่านั้น (offscreen images)
  • ปรับแต่งขนาดรูปภาพ (Image Optimization) และใช้สกุลรูปภาพที่ทันสมัย (WebP Image)
  • จัดการในเรื่อง Above the fold หรือ content ที่จะแสดงในส่วนหน้าจอในตอนหน้าเว็บถูกโหลด
  • จัดการ Critical CSS Path
  • จัดการ defer javascript , delay javascript ตามความสำคัญการใช้งาน
  • บีบอัดขนาดไฟล์สคิปต์ (Minify CSS, Minify JS) ให้ขนาดไฟล์เล็กลง
  • ปรับแต่งเรื่อง Cache เช่น Leverage Caching, html page caching, database caching
  • DOM Size ขนาดโค้ด HTML ของหน้าเว็บ เพื่อเพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บไซต์
  • ปรับแต่งให้ URL เป็นมิตรกับผู้ใช้และ Google
  • ทำเว็บไซต์ให้เป็น https:// หรือ SSL Certificate
  • จัดทำแผนผังเว็บไซต์ Sitemap.xml
  • ทำ Robots.txt ให้ Google Bot เข้ามา Crawl เก็บข้อมูลได้ง่ายขึ้น
  • จัดทำ Google Rich Snippets การทำ Data Structure ตามหลักของ schema.org เพื่อแสดงข้อมูลบน SERP
  • ทำ Canonical URL สำหรับเพจที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกัน
  • แก้ไขหน้าเพจ Error ที่ขึ้น เช่น 404 Not Found หรือ 500 Internal Server Error
  • ทำ 301 Redirection หน้าที่มีการเปลี่ยนแปลง URL
  • Disavow links ลิงก์ที่ไม่เป็นธรรมชาติ ผิดปกติ (Unnatural links) เพราะส่งผลเสียต่อ SEO และอาจถูก Google Ban ได้
  • ตรวจสอบลิงก์ออก (Outbound Link) ที่ผิดปกติ อาจถูก hack หรือช่อง Comment เปิดการใส่ link ทำให้มีคนมาแอบใส่ลิงก์ออกได้
  • อื่นๆ อีกมากมาย

8.  ทำ SEO บน Social

บทเรียนแปด ในยุคดิจิทัล Digital Marketing การทำ SEO บนโลก Social เช่น Facebook หมายถึงการทำหน้าแฟนเพจ Facebook ให้ติดอันดับในหน้าค้นหา โดย Google จะแบ่งพื้นที่การติดอันดับให้ Facebook เพียง 3 อันดับต่อการติดหน้าแรก 1 หน้าเท่านั้น ดังนั้น หากคุณสามารถปั้นให้ทั้งเว็บไซต์และ Facebook ติดอันดับได้ ก็จะเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจถูกลูกค้ามองเห็นเพิ่มขึ้นด้วย และใช้ในการโปรโมทแบรนด์ (Branding)

หรือจะเป็นแพลตฟอร์มอื่นๆ เช่น Youtube, Tiktok จะสามารถส่งทั้ง Organic Traffic และ Backlink ส่งคะแนน SEO มาเพิ่มให้ Web เราได้

9.  ดูสถิติการเข้าใช้งานเว็บไซต์

บทเรียนเก้า การเห็นแนวโน้มเว็บไซต์ ทำธุรกิจแบบไม่ตาบอด เป็นเคล็ดลับที่สำคัญ ในยุคสมัยนี้เรียกว่าขาดเครื่องมือนี้ไม่ได้เลย หากคุณยังไม่รู้จัก ทำความรู้จักเดี๋ยวนี้เลยครับ >> Google Analytic คืออะไร

10. อัปเดตเทรนด์ SEO ให้ทันอัลกอริทีมของ Google

บทเรียนสุดท้าย คอยคิดเสมอว่าถ้าเราเป็นกูเกิลเราจะพัฒนาการจัดอันดับระบบค้นหาให้ฉลาดขึ้นได้ยังไง เราจึงต้องคอยติดตามข่าวสาร การอัพเดท seo algorithm update จาก Google Search Status Dashboard อัลกอริทึม Google มีอัพเดทแทบทุกเดือน ดังนั้น การทำ SEO จะต้องพร้อมจะอัปเดตให้ทันกับทุกการเปลี่ยนแปลง และตามฟีเจอร์ใหม่ๆ เกี่ยวกับ SEO โดยในปี 2024 นี้เทรนด์ SEO ที่ควรอัปเดตก็มีมากมาย เช่น

เครื่องมือ SEO อัปเดตฟีเจอร์ใหม่

ปี 2024 เครื่องมือ SEO ต่างก็อัปเดตฟีเจอร์ใหม่เพื่อให้ตอบโจทย์โลกยุค AI มากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น Ahrefs ที่ออกฟีเจอร์ AI-Driven Content Optimization AI ช่วยแนะนำการปรับปรุงคอนเทนต์  Competitor AI Analysis ที่ให้ AI วิเคราะห์เว็บฯ คู่แข่ง รวมถึงทำ Content Gap วิเคราะห์คีย์เวิร์ดคู่แข่งด้วย

นอกจากนี้ Generative AI ต่างก็ประชันกันอัปเดตเวอร์ชันและฟีเจอร์ ไม่ว่าจะเป็น ChatGPT หรือ Bard จาก Google เอง ซึ่งนักทำ SEO ก็สามารถใช้เครื่องมือเหล่านี้ปรับปรุงการทำ SEO ให้ดีขึ้นได้

การเปิดตัวของ Google’s SGE (Search Generative Experience)

Google’s SGE คือฟีเจอร์ใหม่จาก Google ที่ผสมระหว่างการ Search กับ Generative AI เพื่อช่วยตอบคำถามผู้ใช้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องกดเข้าไปดูลิงก์รายการค้นหาเหมือนการ Search ทั่วไป

ดังนั้น นักทำ SEO จึงควรปรับปรุงคุณภาพเนื้อหา ประสิทธิภาพเว็บไซต์ และความน่าเชื่อถือของข้อมูล เพื่อให้ได้รับความสนใจจากผู้ใช้ แม้เว็บฯ ของเราจะแสดงถัดจากการแสดงผลของ Google’s SGE

เน้นเนื้อหา People-first ไม่ใช่ Search Engine First

ปี 2024 Google จะเน้นให้คอนเทนต์ที่ดีและมีประโยชน์กับผู้อ่านถูกมองเห็นมากขึ้นบนเว็บไซต์ ดังนั้น นักทำ SEO จึงควรผลิตคอนเทนต์ที่เป็นประโยชน์กับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อเน้นการมองเห็นแบบ People-first ไม่ใช่ Search Engine First และลบเนื้อหาที่ไม่มีคุณภาพออกจากเว็บฯ ไป ก็จะทำให้อัลกอริทึมทำงานได้ดีมากยิ่งขึ้น

ศึกษาข้อมูล SEO ใหม่ๆจากเว็บไซต์ต่างประเทศ

เราต้องพัฒนาตนเองอยู่เสมอ การหาความรู้อยู่เรื่อยๆ จะทำให้เราเป็นผู้เชี่ยวชาญ แล้วเราจะทิ้งห่างคนอื่นไปเรื่อยๆ ดังนั้น อย่าหยุดเรียนรู้ครับ

ทำ SEO ยากไหม?

การทำ SEO จะต้องอาศัยองค์ความรู้ต่าง ๆ ที่เราได้บอกไปตั้งแต่ต้นบทความ ซึ่งเรื่องเหล่านี้คุณสามารถศึกษาด้วยตัวเอง ทำ SEO ยากหรือไม่ขึ้นอยู่กับธุรกิจ Keyword มีการแข่งขันกันสูงหรือไม่

ดังนั้นก่อนจะเริ่มทำ SEO ด้วยตัวเองคุณควรจะศึกษาคู่แข่งว่าเขาทำอย่างไรเว็บไซต์ถึงอยู่ในหน้าแรก Google ได้ แล้วเราก็นำมาปรับใช้กับเว็บไซต์ของเรา ทั้งเนื้อหาคอนเทนต์บนหน้าเว็บไซต์ ต้องเน้นตอบโจทย์อ่านง่าย เว็บไซต์ใช้งานง่าย ดึงให้คนอยู่บนเว็บไซต์ของเราให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราไม่ได้บอกให้คุณลอกสิ่งที่คู่แข่งของคุณทำอยู่ แต่ให้ศึกษาและนำมาพลิกแพลงปรับใช้ (Reverse Engineering)

SEO ใช้เวลานานไหม?

การทำ SEO ให้อันดับขึ้นตำแหน่งแรก Google จะต้องให้เวลาปรับโครงสร้างเว็บไซต์ ปรับปรุงคอนเทนต์ ประมาณ 3-12 เดือน เพื่อให้ Google เห็นว่าเว็บไซต์ ของเรามีการอัพเดท และมีความเชี่ยวชาญธุรกิจนั้นๆ ผู้เข้าชมและสามารถตอบโจทย์ผู้ใช้ได้ดีมากกว่า Website อื่น

SEO สำคัญอย่างไร? มีประโยชน์อย่างไร

SEO สำคัญสำหรับธุรกิจออนไลน์ เพราะหากทำให้เว็บไซต์ ติดอันดับในหน้าแรก Google จะมีจำนวนคนเข้าเว็บไซต์ (Traffic) เพิ่มสูงขึ้นได้ โอกาสปิดการขายและทำยอดขายและกำไรก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย

จากรายงาน SEO ส่วนแบ่งการคลิก โดยทั่วไป อันดับ 1 ในหน้า Google (แสดงผลบนสุด) จะมี Traffic ของคนคลิกเข้าเว็บไซต์ มากกว่าอันดับ 10 ถึง 10 เท่า อีกทั้งการเข้าชมเว็บไซต์มักจะเริ่มมาจากการที่ลูกค้าค้นหาสินค้าผ่านแพลตฟอร์ม Search Engine ดังนั้น นี่จึงเป็นเหตุผลว่าการทำ SEO จึงเป็นสิ่งสำคัญ

อีกทั้งการทำ SEO จะช่วยให้ Keyword ติดถาวรอยู่นานขึ้นกับวินัย ความอดทน คุณภาพของการหมั่นทำ SEO ของเรา และเมื่อทำจนเว็บไซต์ติดหน้าแรกได้แล้ว ก็ยังจะช่วยลดต้นทุนการซื้อโฆษณาได้ด้วย เพราะปกติถ้าเว็บไซต์ยังไม่ขึ้นหน้าแรก คุณสามารถทำให้เว็บไซต์แสดงอยู่บนหน้าแรกได้เร็วที่สุดคือการทำ SEM หรือ ซื้อโฆษณา Google Ads กับ Google แต่ก็จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการทำโฆษณาเช่นกัน

ทำ SEO กับที่ไหนดี?

ท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ ยินดีด้วยครับ เรารับรองว่าท่านมีความรู้ SEO เพียงพอที่จะลุยธุรกิจได้แล้ว จากขั้นตอนการทำ SEO ทั้งหมด จะเห็นได้เลยว่าการที่เว็บ จะขึ้นหน้าแรก Google ได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ อย่างที่หลายคนคิด ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ และการวางแผนกลยุทธ์เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ดี หากคุณต้องการทำ SEO แต่ยังไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร SEO MASTER ของเรายินดีให้คำปรึกษา เราคือบริษัทรับทำ SEO ชั้นนำที่มีประสบการณ์ทำ SEO กว่า 10 ปี ด้วยทีมงาน Tech คุณภาพ ดูแลเหมือนเป็นเว็บของเราเอง ทักปรึกษาฟรี เราขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านครับ

]]>
Press Release คืออะไร? มีประโยชน์ต่อ SEO ยังไง https://seomasterth.com/what-is-press-release/ Fri, 29 Dec 2023 19:04:49 +0000 https://seomasterth.com/?p=27013 Press Release คืออะไร?

Press Release คือ ข่าวประชาสัมพันธ์ ข้อความ บทความที่ถูกสร้างขึ้น เพื่อเผยแพร่ข่าวสารหรือข้อมูลการตลาดที่สำคัญจากองค์กร บริษัท หรือบุคคล ไปยังสื่อมวลชน สำนักข่าว หนังสือพิมพ์ อินฟลูเอนเซอร์ และเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อประกาศเหตุการณ์ การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือโปรโมทข่าวสารอื่น ๆ ที่มีความสำคัญ

โดยปกติแล้ว ข่าวประชาสัมพันธ์ ก็มักจะใช้ชื่อ Press Release, News Release Media Release หรือ Digital PR กรณีเผยแพร่บนเว็บไซต์ออนไลน์ สำนักข่าวใหญ่ ก็ได้เช่นกัน ซึ่งแบรนด์หรือธุรกิจจะข้อมูลสรุปกิจกรรมที่จะเกิดขึ้น ส่งไปยังสื่อต่างๆ เพื่อประชาสัมพันธ์กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

นอกจากนี้ ‘ข่าวประชาสัมพันธ์’ มีความคล้ายกับ ‘การประชาสัมพันธ์’ หรือ PR ย่อมาจาก Public Relations คือ การสื่อสารไปยังสาธารณชน เพื่อจัดกิจกรรมการส่งเสริมการตลาด PR ในยุคดิจิทัล หรือจัดกิจกรรมพิเศษเพื่อการประชาสัมพันธ์ และวางกลยุทธ์ในการเผยแพร่ข้อมูลออกไปในวงกว้าง ให้กลุ่มเป้าหมายได้รับรู้มากยิ่งขึ้น

Press Release ใช้กับกิจกรรมอะไรได้บ้าง?

อย่างที่รู้กันแล้วค่ะว่า Press Release หมายถึง การประชาสัมพันธ์ข่าวสารหรือเหตุการณ์สำคัญ ที่นำส่งไปยังสื่อ สำนักพิมพ์ เว็บไซต์ อินฟลูเอนเซอร์ Youtuber Facebook Fanpage Twitter Tiktok และอื่น ๆ โดยจะยกตัวอย่างกิจกรรมของ Press Release มีดังนี้

1. เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่

ถ้าแบรนด์หรือธุรกิจของคุณ มีสินค้าหรือบริการใหม่ที่ต้องการเปิดตัว การเขียนข่าวประชาสัมพันธ์นับเป็นวิธีที่ดีในการแจ้งให้สาธารณชนและสื่อมวลชนรู้

2. การเปิดสาขาใหม่หรือขยายธุรกิจ

ถ้าบริษัทหรือร้านค้าของคุณกำลังจะเปิดสาขาใหม่และขยายธุรกิจในพื้นที่อื่น ๆ การจัดทำ PR เพื่อประชาสัมพันธ์ ช่วยเรียกคนมาเยี่ยมชมสาขาใหม่ได้อีกด้วย

3. เปิดตัวแคมเปญหรือโปรโมชัน

เมื่อมีแคมเปญหรือโปรโมชันใหม่ ๆ แน่นอนว่าการเขียนข่าวประชาสัมพันธ์ ช่วยดึงดูดให้ลูกค้าหรือผู้ที่สนใจเข้ามาร่วมรับแคมเปญหรือโปรโมชันได้เช่นกัน

4. การเปลี่ยนแปลงนโยบายหรือข้อกำหนด

ในกรณีที่คุณมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายหรือข้อกำหนดต่าง ๆ ในองค์กร การประชาสัมพันธ์จะช่วยให้คนที่อยู่ภายในองค์กรรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลง และรับมือกับสถานการณ์ได้ทันท่วงที

5. การจัดงานอีเวนต์ต่าง ๆ

หากคุณจัดงานอีเวนต์แล้วไม่ได้ประชาสัมพันธ์ แน่นอนว่าจะไม่มีใครรับรู้ถึงการจัดงานที่เกิดขึ้น ดังนั้นการเขียนข่าวประชาสัมพันธ์ ช่วยให้ผู้อื่นรับรู้การจัดงาน และดึงดูดผู้ที่สนใจได้เข้ามาร่วมงานกันมากขึ้นนั่นเอง

6. เพื่อแก้ไขข่าวลือ ข่าวร้าย และป้องกันข่าวต่าง ๆ ที่ไม่ดีขององค์กร

 

ประโยชน์ของ PRESS RELEASE มีอะไรบ้าง?

การสร้าง Backlink ที่มีคุณภาพ

หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญสำหรับ SEO ในส่วน SEO Off-Page คือ การทำ backlink ซึ่งเป็นข้อความที่เป็นลิงก์โดยใส่ URL มายังเว็บไซต์ของคุณ คือการอ้างอิงถึงที่มาหรือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับข่าวสารประชาสัมพันธ์ โดยการทำ Press Release จะนำไปเผยแพร่ได้หลากหลายช่องทาง และมักจะเป็นช่องทางที่น่าเชื่อถือ มีคุณภาพ มีค่า DR ที่สูง ส่งผลให้ Backlink มีคุณภาพ เพิ่มโอกาสดันอันดับ SEO ให้ติดหน้าแรก

เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง

การทำ Press Release เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการประชาสัมพันธ์ข่าวสารต่าง ๆ ของแบรนด์ไปสู่กลุ่มเป้าหมายที่มีจำนวนมากในครั้งเดียว โดยการเขียนข่าวประชาสัมพันธ์คือการสื่อสารทางตรงระหว่างแบรนด์กับกลุ่มเป้าหมายผ่านช่องทางของสื่อ

ทำให้แบรนด์มีความน่าเชื่อถือ

Press Release ไม่ได้ปรากฏอยู่ในรูปแบบของสื่อประชาสัมพันธ์ประเภทโฆษณา แต่ถูกจัดว่าเป็นข่าวชนิดหนึ่ง ดังนั้นรูปแบบที่ถูกนำเสนอออกมาจึงมีความน่าเชื่อถืออย่างมาก และเมื่อกลุ่มเป้าหมายได้รับข่าวประชาสัมพันธ์เหล่านี้ ก็จะรู้สึกเชื่อถือในแบรนด์นั้น ๆ มากขึ้น

เสริมสร้าง Brand Awareness

การทำ Press Release จะถูกแพร่กระจายไปบนสื่อในหลากหลายแพลตฟอร์ม ซึ่งสามารถช่วยส่งเสริมการรับรู้ต่อแบรนด์ของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เพิ่มประสิทธิภาพของ SEO

การเขียนข่าวประชาสัมพันธ์ จะมีการใช้คีย์เวิร์ดต่าง ๆ ที่เป็นที่นิยมร่วมด้วย ดังนั้นจึงสามารถช่วยส่งเสริมการทำ SEO ให้อันดับของเว็บไซต์ของคุณสูงขึ้นได้

เขียน Press Release ด้วยหลัก 5W

การเขียนข่าวประชาสัมพันธ์นั้นง่ายมาก ๆ ไม่มีความซับซ้อนเลย เพียงใช้หลัก 5W คือ Who, What, Why, When และ Where หรือแปลว่า ใคร, ทำอะไร, ทำไม, เมื่อไหร่, ที่ไหน เพื่อให้แบรนด์หรือธุรกิจแจ้งรายละเอียดได้ครบถ้วน อีกทั้งต้องใส่หัวข้อ (Heading) ให้สั้น กระชับ และได้ใจความ เพื่อทำให้หัวข้อมีความน่าสนใจ ดึงดูดกลุ่มเป้าหมายให้เข้ามายังบทความข่าว

ต่อยอดธุรกิจผ่านช่องทางการติดต่อ

ในส่วนท้ายสุดของ Press Release สิ่งที่ไม่ควรมองข้าม คือ ช่องทางการติดต่อ โดยอาจจะใส่ชื่อ/บริษัท/เบอร์โทร/อีเมล ถือเป็นการสร้างโอกาสต่อยอดให้กับธุรกิจหรือแบรนด์ได้เป็นอย่างดี เพราะถ้าหากมีสื่อสิ่งพิมพ์หรือสำนักข่าวให้ความสนใจ อาจติดต่อเข้ามาขอสัมภาษณ์เพิ่มเติมก็เป็นได้

ยกตัวอย่างเว็บข่าวใหญ่ ที่มีการทำ Press Release

1. Bloomberg

2. Techcrunch

3. apnews

4. Asiaone

5. Mthai

6. Thairath

7. Facebook Fanpage หลายๆเพจ

8. Youtuber หลายๆช่อง

สรุป

Press Release คือการเขียนข่าวประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับธุรกิจ บริษัทของเรา โดยอาจจะได้ Backlink กลับมาขึ้นอยู่กับเว็บสำนักข่าว มีประโยชน์ต่อ SEO สำคัญมากในปี 2024 ช่องทางประกาศกิจกรรมในสื่อมีมากมายมีทั้งแบบฟรีและเสียเงินค่าโปรโมท เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการทำ SEO ที่ควรทำ

]]>
ตัวอย่าง บทความ SEO ที่ดี พร้อมแนะวิธีการเขียน  https://seomasterth.com/how-to-write-good-article/ Sun, 24 Dec 2023 13:47:43 +0000 https://seomasterth.com/?p=26915 ตัวอย่าง บทความ SEO ที่ดี พร้อมแนะวิธีการเขียน 

 

ตัวอย่างบทความ SEO ที่ดี เป็นสิ่งที่สามารถใช้อ้างอิงในการเขียนบทความ SEO ได้ ครั้งนี้จะมาแนะนำการดูตัวอย่างบทความ SEO ที่ดี ว่าสามารถดูได้จากที่ไหนบ้าง และควรสังเกตที่ส่วนไหนของบทความเหล่านั้นบ้าง เพื่อนำมาใช้ให้ถูกต้อง ครั้งนี้ทางบทความก็ได้รวบรวมมาให้แล้ว พร้อมแนะวิธีเขียนบทความ SEO ที่ดีมาฝาก ดังนี้ 

 

ตัวอย่าง บทความ SEO ที่ดี เป็นอย่างไร

 

ตอบคำถามแรกสำหรับตัวอย่างบทความ SEO ที่ดีนั้นจะต้องเป็นอย่างไร ก็คือจะต้องติดหน้าแรกของเว็บ Search Engine โดยเฉพาะ Google ที่มีคนใช้งานจำนวนมาก ยิ่งติดอันดับสูงเท่าไร ยิ่งหมายความว่าบทความนั้นมีคุณสมบัติของการเป็นบทความ SEO ที่ดี และยิ่งถ้าหากเป็นบทความติดหน้าแรกของการค้นหาด้วย Keyword ยอดนิยม (เป็นคำที่ถูกค้นหาเยอะ) ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าบทความ SEO นั้นมีศักยภาพมาก 

ตัวอย่าง บทความ SEO ที่ดี ดูได้จากที่ไหน

 

ตัวอย่างบทความ SEO ที่ดี หาดูได้ง่ายๆ โดยการค้นหาคำใดคำหนึ่งสักคำ ในเว็บไซต์ Google จากนั้นจะมีการแสดงผลลัพธ์ขึ้นมา บทความอันดับแรกนั่นเองที่เป็นบทความ SEO ที่ดี ซึ่งต้องไม่ใช่บทความที่มีคำว่า Sponsered หรือคำว่าโฆษณา กำกับอยู่ หากมีเนื้อหาโฆษณาขึ้นมา ให้นับบทความแรกหลังจากโฆษณาเหล่านั้น จากนั้นลองสังเกตดูส่วนประกอบต่างๆ ที่แสดงบน Google ว่าบทความนั้นเป็นอย่างไรบ้าง โดยยังไม่จำเป็นต้องคลิกเข้าไปอ่านบทความเต็ม ส่วนประกอบที่ควรสังเกต ได้แก่ 

 

1.Title 

 

Title คือชื่อเรื่อง/ชื่อหัวข้อของเนื้อหานั้นๆ ซึ่งจะปรากฏด้วยสีน้ำเงิน ด้วยขนาด Text ที่ใหญ่ที่สุด ให้ลองสังเกตดูว่า Title ของตัวอย่างบทความ SEO ที่ดีบทความนั้นเป็นอย่างไรบ้าง มีการวาง Keyword ไว้ตรงไหนของ Title แล้วมีความยาวของ Title เท่าไร จำนวนกี่คำ เรียบเรียงเป็นอย่างไร เพื่อนำมาปรับใช้กับบทความของตัวเอง

 

2.URL 

 

URL คือลิงค์ของเนื้อหานั้น ซึ่งจะอยู่ด้านบนของ Title ด้วย Text ขนาดเล็กกว่า ให้ลองสังเกตบริเวณ Slug ว่าบทความนั้นมีการตั้งชื่อ Slug ว่าอย่างไรบ้าง ใส่ Keyword เอาไว้ตรงไหนใน Slug และใช้ Slug เป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ ซึ่ง Slug จะอยู่ส่วนท้ายของลิงค์ คือ www.(ชื่อเว็บ).com/(Slug) แต่ถ้าหากปรากฏในหน้า Google จะแสดงแบบนี้ www.(ชื่อเว็บ).com > (Slug) 

 

3.Meta Description 

 

Meta Description เป็นคำอธิบายสั้นๆ ของเนื้อหานั้น ซึ่งจะปรากฏอยู่ใต้ Title บนหน้า Google ให้ลองสังเกตจากตัวอย่างบทความ SEO ที่ดี ว่าส่วนนี้มี Keyword อยู่ตรงไหนบ้าง และมีกี่คำ 

 

4.Featured Snippet 

 

ส่วนนี้จะเป็นกล่องข้อความขนาดใหญ่ ที่สรุปคำตอบของเนื้อหานั้นพอสังเขป ให้คนอ่านสามารถทำความเข้าใจรายละเอียดนั้นได้คร่าวๆ โดยไม่จำเป็นต้องคลิกเข้าไปอ่านเนื้อหาด้านใน ซึ่งการค้นหาด้วย Keyword บางคำก็ขึ้น แต่บางคำก็อาจจะไม่ขึ้น สำหรับ Keyword ที่ค้นแล้วขึ้นส่วนนี้ สามารถสังเกตการเขียนของบทความนั้นเอาไว้ใช้เป็นแนวทางได้เช่นกัน 

 

การเขียนบทความ SEO สามารถสังเกตตัวอย่างบทความ SEO ที่ดี ที่แสดงบน Google เพื่อเป็นแนวทางในการเขียนบทความได้ แนะนำว่าไม่ควรสังเกตเฉพาะบทความอันดับแรกเพียงบทความเดียว แต่ควรสังเกตบทความ 5 อันดับแรกเป็นอย่างต่ำ แล้วลองลิสต์เอาไว้ว่าตัวอย่างเหล่านั้น ได้ใส่ Keyword เอาไว้อย่างไรบ้าง เพื่อนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับบทความของตัวเอง

ตัวอย่าง บทความ SEO ที่ดี มีคุณสมบัติเป็นอย่างไร

 

หลังจากที่ได้ลองสังเกตบทความ SEO ที่ดี จากส่วนประกอบต่างๆ ที่แสดงบนหน้า Google SERP ไปแล้ว ให้ลองคลิกเข้าไปอ่านเนื้อหาเต็มที่บทความแรก และสังเกตการวาง Keyword ในเนื้อหานั้น พร้อมกับส่วนประกอบอื่นๆ ซึ่งบทความ SEO ที่ดี มักมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

 

1.Keyword 1-2% ของเนื้อหา

 

บทความ SEO ที่ดี ควรมี Keyword 1-2% ของเนื้อหา เช่นเนื้อหาความยาว 1,000 คำ ก็ควรมี Keyword ในเนื้อหานั้นประมาณ 10-20 คำ เป็นต้น ทั้งนี้ควรจัดวาง Keyword ให้กระจาย ไม่วกวนเกินไป เพราะถ้าหาก Keyword วนไปวนมาเยอะๆ Google อาจมองว่าเป็น Spam ซึ่งส่งผลทำให้ไม่ติดอันดับต้นๆ และที่สำคัญควรมี Keyword ในหัวข้อ (Title) ด้วย

 

2.เนื้อหามีความยาว 700 คำขึ้นไป 

 

เนื้อหาที่สั้นเกินไป Google ไม่ค่อยชอบเท่าไร และมักไม่ติดหน้าแรก ไม่ติดอันดับต้นๆ จึงควรเป็นเนื้อที่มีความยาวอย่างน้อย 700 คำขึ้นไป

 

3.มีภาพ/วิดีโอ ประกอบ

 

บทความ SEO ที่ดี ควรเป็นเนื้อที่ไม่ได้มีเฉพาะข้อความเพียงอย่างเดียว แต่ควรมีสื่ออื่นๆ ประกอบด้วย เช่น ภาพประกอบในบทความ หรือคลิปวิดีโอประกอบ หากใช้เป็นภาพประกอบ แนะนำให้ตั้งชื่อภาพให้มี Keyword ในชื่อภาพด้วย

 

4.มีการแบ่งหัวข้อ

 

ควรแบ่งเนื้อหาออกเป็นข้อๆ เป็น Headline 1, Headline 2, ……. ซึ่ง Headline 1 คือชื่อหัวข้อใหญ่สุดหรือชื่อเรื่อง (Title) จากนั้นแบ่งหัวข้อย่อยๆ แล้วใส่ Keyword ลงใน Headline นั้นๆ ด้วย เช่น บทความที่มี Keyword ว่า ฟันคุด ควรใส่ Keyword ใน Headline แบบนี้

 

Headline 1 : ฟันคุด คืออะไร ทำความเข้าใจที่นี่

Headline 2 : ฟันคุด คืออะไร, เมื่อไหร่ที่ควรผ่าฟันคุดออก, หลังผ่าตัดฟันคุด ควรทำอย่างไร 

 

ตัวอย่างบทความ SEO ที่ดี สามารถใช้เป็นแนวทางในการเขียนบทความได้ แต่สิ่งที่ต้องระวังคือการ Copy เนื้อหา เพราะ Google ไม่ชอบเนื้อหาลอกเลียนแบบ ดังนั้นการดูเป็นแนวทาง ต้องนำมาปรับใช้และเขียนใหม่ให้ไม่ซ้ำกับเนื้อหานั้น มีการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับเนื้อหานั้น พยายามอ่านแล้วทำความเข้าใจพร้อมกับจับใจความและเขียนใหม่ในแบบฉบับของตัวเอง หากเป็นเนื้อหาลอกเลียนแบบ ไม่มีทางที่จะติดหน้าแรกอย่างแน่นอน

]]>
HTML คืออะไร ใช้ทำ SEO ยังไง https://seomasterth.com/what-is-html/ Sun, 24 Dec 2023 10:39:53 +0000 https://seomasterth.com/?p=26849 HTML คืออะไร

HTML ย่อมาจาก Hypertext Markup Language คือ ภาษาที่ใช้เขียนเว็บไซต์ ประกอบไปด้วยข้อความภาษาอังกฤษ เรามักเรียกกันว่าแท็ก (Tag) ที่เชื่อมต่อกันผ่าน Link และ Markup เรียกว่า โปรแกรมภาษา HTML เป็นโค้ดภาษาแรกที่ใช้ในการเรียนการสอน เริ่มเขียนเว็บไซต์

ปัจจุบันการทำ SEO มีความสำคัญต่อการทำการตลาดออนไลน์มาก ถ้าธุรกิจของเรามี Keyword ติดอันดับกูเกิลในหน้าแรก ยิ่งเพิ่มโอกาสขายสินค้าและบริการให้กับลูกค้า ถึงแม้ว่าคนเขียน Content ไม่จำเป็นจะต้องรู้ภาษา HTML เท่ากับโปรแกรมเมอร์ แต่อย่างน้อยที่สุดก็ควรรู้โครงสร้างของ HTML เพื่อประโยชน์แก่การทำคอนเทนต์ที่ตรงหลักการทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ เพื่อให้ติดอันดับดีๆนั่นเอง

ความเป็นมาของ HTML

เริ่มขึ้นเมื่อปี 1980 เมื่อ Tim Berners Lee เสนอต้นแบบสำหรับนักวิจัยใน CERN เพื่อแลกเปลี่ยนเอกสาร ข้อมูลด้านการวิจัย โดยใช้ชื่อว่า Enquire ในปี 1990 เค้าได้เขียนโปรแกรมเบราเซอร์ และทดลองรันบนเซิฟเวอร์ที่เค้าพัฒนาขึ้น HTML ได้รับการรู้จักจาก HTML Tag ซึ่งมีอยู่ 18 Tag ในปี 1991 และพัฒนาต่อมาจนถึงปัจจุบัน 2024 เป็นเวอร์ชั่น HTML5

โครงสร้างของภาษา HTML คืออะไร

รู้ความหมายของภาษา HTML กันไปแล้ว ทีนี้เราจะพามาดูโครงสร้างของภาษา HTML ที่ใช้ในการเขียนเว็บเพจว่าคืออะไร และมีอะไรบ้าง

ไฟล์ HTML จะแสดงเป็นข้อความเท่านั้น ไม่มีภาพ ไม่มีวิดีโอ ไม่มีการเอียง ขีดเส้นใต้ ทำตัวหนา ทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับคำสั่งที่เขียนลงไป จากนั้นเว็บเบราว์เซอร์จะทำการอ่านและถอดรหัสภาษาเหล่านี้ และแสดงผลเป็นหน้าเว็บเพจสวยงาม อ่านง่าย สบายตา ที่เราเห็นอยู่ทุกวัน โดยไฟล์ HTML มีส่วนประกอบหลักอยู่ 3 อย่าง คือ

  1. Tag <html> ใช้บอกว่าไฟล์นี้คือไฟล์ html
  2. ส่วนหัว หรือ Header อยู่ใน Tag <head> ซึ่งจะประกอบไปด้วย Title , Meta Tag, การโหลดไฟล์สคิปต์ ที่ใช้จัดทำเลเอาท์ (.css) ลูกเล่นต่างๆ บนเว็บไซต์ (.js)
  3. ส่วนเนื้อหา หรือ Body อยู่ใน Tag <body> ซึ่งจะประกอบไปด้วยข้อความ รูปภาพ หรือสื่อประกอบอื่น ๆ

HTML TAG คืออะไร

HTML Tag คือ ชุดคำสั่งภาษา HTML ที่บอกว่าชุดคำสั่งนี้ทำหน้าที่อะไร เช่น การแสดงผลของข้อความและสื่อต่างๆ บนหน้าเว็บเพจ โดยชุดคำสั่งจะอยู่ในเครื่องหมาย < และ > โดยเราสามารถแบ่ง HTML Tag ออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ

HTML Tag ที่สำคัญ และคนทำ SEO ควรรู้ คืออะไรบ้าง

สำหรับคนเขียนคอนเทนต์ ทำ SEO เขียนบทความ ลงสินค้า HTML Tag ที่ควรศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ ดังต่อไปนี้

<HTML>….</HTML> จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของไฟล์ HTML ของเว็บเพจ

<HEAD>….<HEAD> จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของส่วนที่เป็น Header

<title>…</title> ชื่อเรื่องของหน้าเพจ แสดงผลบน Browser และบน SERP การแสดงผลบน Google

<BODY>….</BODY> จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของส่วนที่เป็น Body

<H1>….</H1> จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของหัวข้อเรื่อง (Heading) อันดับ 1

<H2>….</H2> จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของหัวข้อเรื่อง (Heading) อันดับ 2

<H3>….</H3> จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของหัวข้อเรื่อง (Heading) อันดับ 3

<a href=””>..</a> ข้อความ link

<img src=”” alt=””></img> รูปภาพ

<ul>…</ul> หัวข้อย่อยที่เป็น Bullet

<ol>…</ol> หัวข้อย่อยที่เป็นลำดับหมายเลข

ตัวอย่างของภาษา HTML ในหน้าเว็บไซต์

<html>

  <head> <title> SEO MASTER ให้บริการทำ SEO ให้ติดหน้าแรก Google</title> </head>

  <body>

  <H1>SEO คืออะไร</H1>

  <P>SEO คือ การทำปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรกของการค้นหาใน Google ตามข้อมูลหลักสูตร SEO fundamental</P>

 <H2>บริการรับทำ SEO มีอะไรบ้าง</H2>

 <ul>
<li>…</li>
</ul>

<ol>

<li>…</li>
</ol>

</body>

</html>

ใช้งาน WordPress ต้องเข้าใจภาษา HTML ไหม

แม้จะเป็น WordPress หรือเว็บสำเร็จรูปต่างๆ การมีพื้นฐาน HTML และมีความรู้ว่าคำสั่งไหนหมายถึงอะไร สามารถเชื่อมโยงไปที่ไหนอยู่บ้าง ก็จะช่วยให้การทำงานจริงนั้นไหลลื่นมากขึ้น HTML มีคู่มือสำเร็จรูปให้เราได้ศึกษา ใครที่กำลังเริ่มต้นจะเรียนรู้เหล่านี้ไม่ยากอย่างที่คิด เพราะส่วนใหญ่แล้วจะเป็นภาษาสำเร็จรูปที่มีคนตั้งโปรแกรมมาให้ไว้เกือบทั้งหมด

การเขียน Content เราควรใส่ Keyword ที่ HTML Tag ไหนบ้าง

ในความเป็นจริงถ้าเรามีระบบหลังบ้านอย่างเช่น เว็บไซต์ที่ทำด้วย WordPress เราอาจจะไม่รู้ว่าช่องที่เรากรอกในการลง Content นำไปสร้างเป็น HTML ที่ใช้บอก Google ตามหลัก SEO เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ยกตัวอย่าง

ส่วนที่เป็นหัวข้อชื่อเรื่อง โดยข้อมูลต่างๆจะไปปรากฏในส่วนของ Header ในตำแหน่งของ Title ส่วนที่เป็น Meta Tag

ส่วนที่เป็น Content ที่เราจัดทำข้อมูล เป็น Heading ทั้ง H1, H2 และ H3 ส่วนที่เป็น Alt Text ซึ่งเป็นคำอธิบายของรูปภาพการใส่ Keyword ลงไปใน HTML Tag จะช่วยให้ Google Bot สามารถเข้าใจเนื้อหาและจัดอันดับเว็บไซต์เราได้ง่ายขึ้น และนอกจากนี้ ความมีวินัย ความสม่ำเสมอในการลง Content SEO ก็เป็นหัวใจหลักในการจะติดอันดับกูเกิลได้

 คำที่ศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับ HTML

  • Internet เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เกิดจากการเชื่อมโยงของเครือข่ายต่างๆ เข้าด้วยกัน
  • Hypertext รูปแบบเอกสารที่บรรจุการเชื่อมโยงไปยังเอกสารอื่นๆ ซึ่งสามารถใช้ข้อความ หรือรูป เป็นจุดเชื่อมโยง
  • WWW ย่อจาก World Wide Web เป็นการสื่อสารด้วยการเชื่อมโยงเครือข่ายข่าวสารแบบใยแมงมุม(Web) แสดงผล
    ด้วยเอกสารไฮเปอร์เท็กซ์
  • HTTP ย่อมาจาก Hypertext Transfer Protocol เป็นรูปแบบการสื่อสารที่ใช้ในการรับส่งข้อมูลไฮเปอร์เท็กซ์ในเครือข่าย
    อินเทอร์เน็ต
  • Web Browser โปรแกรมสำหรับแสดงผลหน้าเว็บ เช่น Internet Explorer, Mozilla Firefox และ Google Chrome เป็นต้น
  • Web Page หน้าเอกสารที่อยู่ในรูปของไฮเปอร์เท็กซ์
  • Web Site กลุ่มของหน้าเว็บหลายๆ หน้ารวมเข้าด้วยกัน
  • Home Page หน้าเว็บ หน้าแรกของเว็บไซต์
  • Web Site เครื่องให้บริการที่เป็นที่เก็บข้อมูลของ เว็บไซต์

สรุป

[อัพเดท 2024] สำหรับคนที่ทำ SEO นั้น การเรียนรู้ภาษา HTML และ HTML Tag คือพื้นฐานสำคัญของการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพ เพราะจะช่วยให้ Google Bot สามารถเรียนรู้ทำความเข้าใจเว็บไซต์เราว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านไหน อันดับและคีย์เวิร์ดจะค่อยๆเพิ่มขึ้น จนมาถึงหน้าแรกในที่สุด ถ้าเราไม่ถอดใจเสียก่อน

]]>
Google My Business คืออะไร? ธุรกิจที่ทำ SEO ต้องรู้ https://seomasterth.com/google-my-business/ Sun, 24 Dec 2023 04:38:46 +0000 https://seomasterth.com/?p=26810 Google My Business คืออะไร?

Google My Business  หรือ Google Business Profile คือ ข้อมูลการค้นหาบน Google ที่สร้างขึ้นมาเพื่อสนับสนุนร้านค้า และธุรกิจต่างๆ ในพื้นที่ (Local SEO) โดยเราสามารถใส่ข้อมูลของธุรกิจลงในฐานข้อมูลของ Google ได้ เมื่อมีคนเสิร์ชหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับร้านค้า หรือธุรกิจของเรา ข้อมูลก็จะแสดงขึ้นบน Google Search และ Google Map เช่น เวลาค้นว่า “ร้านชาบูหม่าล่า” ก็จะพบร้านค้าในพื้นที่ใกล้เคียงที่ทำ Google My Business โผล่ขึ้นมาให้เราเลือก

โดยจุดเด่นของบริการนี้คือ เมื่อมีคนเสิร์ชหาร้านค้า สถานที่ท่องเที่ยว หรือบริการบน Google Map หากร้านค้าของคุณอยู่ใกล้เคียง หรืออยู่ในพื้นที่ที่ลูกค้าเลือกเสิร์ช ข้อมูลธุรกิจของคุณก็จะถูกแสดงขึ้นมา เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงร้านค้าของคุณได้

 

ขั้นตอนและวิธีการสมัคร Google My Business 

อัพเดท 2024 เราสามารถสมัคร Google My Business ได้ด้วยบัญชี Google หรือ Gmail นะครับ หากเรามีบัญชี Google พร้อมแล้ว ก็คลิกปุ่ม “จัดการเลย” ได้เลย

1. ตั้งชื่อธุรกิจ / ประเภทธุรกิจ / หมวดหมู่ธุรกิจ

ขั้นแรกเลยที่เราต้องทำคือ การตั้งชื่อธุรกิจของคุณ แต่! คุณไม่ควรใส่เพียงแค่ชื่อบริษัท หรือชื่อแบรนด์ เพียงอย่างเดียว สิ่งสำคัญที่จะทำให้ลูกค้ารู้จักคุณได้ง่ายขึ้นคือ “ Keyword ”

คุณควรใส่คำค้นหา หรือคำอธิบายสั้นๆ ไปด้วยว่า ธุรกิจของคุณทำอะไร เพื่อให้คนที่เสิร์ชรู้ได้ทันทีว่าธุรกิจของคุณทำอะไร

2. เพื่มช่องทางการติดต่อ

ให้คุณใส่เบอร์โทรศัพท์ของคุณลงไปพร้อมกับเว็บไซต์ หากธุรกิจของคุณยังไม่มีเว็บไซต์ อาจใช้เป็นลิงก์จาก Facebook Fanpage หรือ ลิงก์สำหรับแอด Line Official แทนไปก่อนได้

3. เลือกวิธียืนยันธุรกิจ

วิธีที่ง่ายที่สุด คือการรับรหัสยืนยันผ่านทางโทรศัพท์ อีกวิธีคือ ทาง Google จะส่งรหัสมาทางไปรษณียบัตร ใช้เวลาประมาณ 14 วัน เมื่อได้รับแล้ว ในจดหมายจะมีรหัส 6 ตัว ให้เรานำมากรอก ใน Google My Business เพื่อยืนยัน เป็นอันเสร็จสิ้นการสมัคร

หลังจากที่คุณสมัครเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณสามารถโพสต์ข้อความ รูปภาพ และวีดีโอ ลงใน Google My Business ของคุณได้ เพื่อเป็นการโปรโมทธุรกิจของคุณ ให้มองว่ามันคือ Social Media อีกช่องทางหนึ่งที่มีคนเข้ามาดู มาหาข้อมูลในเพจของคุณ ดูรูปภาพสินค้า อ่านรีวิวจากลูกค้าที่เคยซื้อสินค้า หรือใช้บริการ

4. อัพเดทข้อมูลเพิ่มเติม

เราสามารถอัพเดทรายละเอียดต่างๆ ของธุรกิจ ลงใน Google My Business เป็นข้อมูลที่จำเป็น เช่น

  • รูปภาพ
  • ตำแหน่งร้านค้า
  • วันเวลาเปิด-ปิดทำการ
  • ข่าวสารโปรโมชั่น หรือกิจกรรมในช่วงเวลานั้นของธุรกิจของคุณ

อีกหนึ่งส่วนที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น นั่นก็คือ “คะแนนรีวิว”

ส่วนรีวิว (Review) และคอมเมนต์จากลูกค้าถือเป็น Local SEO เมื่อมีการพูดถึงมากขึ้น ก็จะส่งเสริมชื่อเสียงต่างๆให้กับธุรกิจของเรา

 

สรุป

Google My Business คือ บริการฟรีจาก Google ที่ช่วยสนับสนุนธุรกิจห้างร้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเหล่าธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มที่มีหน้าร้าน และมักจะได้รับผลกระทบจากวิกฤตทางเศรษฐกิจต่าง ๆ Google My Business จึงถือเป็นหนึ่งในบริการที่มีบทบาทอย่างยิ่งต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจของไทย

]]>
BOUNCE RATE คืออะไร? สำคัญต่อ SEO ยังไง https://seomasterth.com/what-is-bounce-rate/ Sat, 23 Dec 2023 08:40:16 +0000 https://seomasterth.com/?p=26766 BOUNCE RATE คืออะไร

Bounce Rate คือ หน่วยวัด อัตราที่ผู้ใช้งานเข้ามาในเว็บไซต์ของคุณแล้วออก โดยไม่มีการกดปุ่ม Call To Action หรือปฏิสัมพันธ์ใด ๆ ในเว็บไซต์ หรือกดไปหน้าอื่นๆ อย่างรวดเร็ว โดย Google Analytics จะเก็บค่าสถิติ รายงานเป็นยอด Bounce Rate ถือเป็นส่วนหนึ่งในการใช้จัดอันดับทาง SEO ของ Google

BOUNCE RATE ที่ดีควรอยู่ที่เท่าไหร่?

จากรายงานการเก็บข้อมูลปี 2023 จาก GoRocketFuel.com ค่าเฉลี่ย Bounce Rate อยู่ระหว่าง 41-51% ดังนั้นถ้าเว็บไซต์เรามีค่า Bounce Rate ต่ำกว่า 41% ถือว่ามีค่า Bounce Rate ที่ดีครับ

 

BOUNCE RATE สำคัญอย่างไร? 

ยอด Bounce Rate เป็นตัวบ่งชี้คุณภาพของเว็บไซต์ได้ โดยเทียบง่าย ๆ คือ ถ้าหากคุณมียอด Bounce Rate ที่สูงเกินกว่าค่ามาตราฐาน นั่นอาจจะบอกถึง Content ไม่มีคุณภาพ มีการศึกษาและทำรายงานออกมา แสดงให้เห็นถึง อันดับ Google กับค่า Bounce Rate

ทำอย่างไรให้ยอด BOUNCE RATE อยู่ในเกณฑ์ที่ดี? 

เพิ่ม Page Speed 

เว็บไซต์ต้องโหลดเร็ว ลองนึกภาพตาม สมมติเปิดเว็บไซต์บนมือถือ ใช้เน็ต 5G แล้วเว็บโหลดช้ามาก ค้าง แน่นอนเรากดปิดไปเข้าเว็บอื่นแน่ๆ

ใช้หลักการ UX Design

ให้ลองสังเกตจากเว็บเพื่อนบ้าน เว็บใหญ่ๆ ดูรูปแบบการออกแบบ UX/UI ต่างๆ ให้สอดคล้องไปในทางเดียวกันทันยุคสมัย เพราะถ้าโครงสร้างเว็บ เมนูต่างๆ ไม่เหมือนชาวบ้าน จะทำให้ผู้ใช้งง และการใช้งานเว็บที่ยาก จะส่งผลต่อการไม่มาใช้ซ้ำในครั้งหน้า รวมถึง ตัวอักษรเล็กเกินไปและการจัดวางองค์ประกอบต่าง ๆ จนปวดตา ดังนั้นคุณควรที่จะออกแบบหน้าเว็บไซต์ให้อิงกับหลัก User Experience (UX) Design เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานให้ดีขึ้นได้

คุณภาพของเนื้อหา

การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ (Content is King) คิดเสมอทำยังไงให้ทำให้ผู้อ่านติด ต้องอ่านต่อไปเรื่อยๆ พยายามพรรณาเนื้อหา ร่ายเวทมนต์ ใช้คำที่เหมาะสม สะกดถูกต้องรวมไปถึงความถูกต้องของเนื้อหาก็ต้องแม่นยำและมีความน่าเชื่อถือสูง ซึ่งการทำให้เนื้อหาของคุณมีคุณภาพนั้นจะช่วยให้ผู้ใช้งานเกิดความเชื่อมั่นในเว็บไซต์ของคุณ และอาจเปลี่ยนจากผู้ชมขาจรมาเป็นขาประจำได้นั่นเอง

เว็บไซต์ต้องมีความ Mobile Friendly 

ในโลกยุคปัจจุบัน ผู้คนใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์สมาร์ตโฟนหรือแท็บเล็ตกันเป็นส่วนมาก ดังนั้นคุณก็ควรที่จะตั้งค่าเว็บไซต์ให้มีความเหมาะสมกับการใช้งานผ่านโทรศัพท์หรือแท็บแล็ตด้วยเช่นกัน มิฉะนั้นถ้าหากผู้ใช้งานกดเข้าไปชมเว็บไซต์ของคุณผ่านโทรศัพท์แล้วการแสดงผลเป็นแบบหน้าเว็บไซต์เหมือนในคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้งานอาจจะกดออกในทันที และจะส่งผลให้ยอด Bounce Rate สูงขึ้นได้อีกเช่นกัน

สรุป

Bounce Rate เป็นสิ่งสำคัญที่นักทำ SEO และนักทำ Content ไม่ควรมองข้าม หากเราตั้งใจทำบทความหน้าเพียงหน้าเดียวก็คงไม่เห็นผลลัพธ์ แต่ถ้าเราทำคอนเทนต์ที่ดีทั้งเว็บ แน่นอนมันจะรวมกันเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่  เว็บไซต์ของคุณอยู่ในเกณฑ์มาตราฐานที่ควรจะเป็นนั้น เราคุ้นชินกับการทำ SEO ให้มีคุณภาพอยู่แล้ว Google จะมองเห็นอย่างแน่นอน แล้วอันดับ SEO ต้องขึ้นมาติดหน้าแรก อย่างแน่นอน

]]>
Ahrefs คืออะไร เครื่องมือทำ SEO มืออาชีพ https://seomasterth.com/ahrefs-seo-tool/ Thu, 21 Dec 2023 14:33:20 +0000 https://seomasterth.com/?p=26702 Ahrefs คืออะไร

Ahrefs คือ เครื่องมือสำหรับนักทำ SEO ใช้วิเคราะห์ข้อมูลเว็บไซต์ วิเคราะห์คีย์เวิร์ด Keyword Analysis วิเคราะห์แบ็คลิงค์ Backlink Analysis วิเคราะห์คู่แข่ง Competitor Analysis และตรวจสอบ Website Audit ซึ่งเมนูสำคัญๆที่ขอแนะนำ ของ Ahrefs มี 4 เรื่อง ดังนี้

  1. Site Explorer
  2. Keyword Explorer
  3. Site Audit
  4. Rank Tracker

Site Explorer เครื่องมือใช้วิเคราะห์เว็บไซต์เพียงใส่ URL ที่เราสนใจ จะเป็นเว็บตัวเองหรือเว็บไซต์ของคู่แข่งก็ดี โดยรายงานข้อมูล เช่น ค่า DR (Domain Rating), ค่า URL (URL Rating), จำนวน Backlink, จำนวน Referring Domain, จำนวน Keywords และจำนวน Traffic เป็นต้น

Keyword Explorer เป็นเครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์เกี่ยวกับ Keyword ที่เราสนใจ บอกถึงปริมาณการค้นหาของคำนั้น แสดงตัวเลข KD (Keyword Difficulty) ความยากของคีย์เวิร์ดในการทำ SEO แสดงราคาค่าลงโฆษณา (CPC) แนะนำ Keyword อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องและใกล้เคียงกับคำที่เราสนใจ เครื่องมือนี้เหมาะมากๆ สำหรับการวางแผน Keyword และ Topic Idea ในการวาง Content Strategy คล้ายๆกับเครื่องมือ Google Keyword Planner

Site Audit ฟีเจอร์นี้เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ฟีเจอร์สำคัญที่เป็นความสามารถเด่นของ Tool นี้ รีพอร์ทกลุ่มนี้ถูกสร้างขึ้นจากการที่ Ahrefs ส่ง Bot เข้ามา Crawl เว็บไซต์ของเรา แล้วสรุปปัญหาต่างๆ ออกมาให้เราสามารถนำไปแอคชั่นต่อได้ทันที เช่น หน้าไหนบ้างที่ไม่มีการเขียน Title Description เอาไว้ หน้าไหนบ้างที่ Title และ Descrition มีการซ้ำกัน โดยตั้งค่าเป็น Schedule ให้ทำ Site Audit ได้ เช่น ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน

Rank Tracker รีพอร์ทนี้ใช้สำหรับการติดตาม Track อันดับของ Keywords ทั้งหมดที่เราสนใจ ว่าอันดับมีการเพิ่มขึ้นหรือลดลงเท่าไรจากวันก่อนหน้า 1 วัน 7 วัน 30 เป็นต้น ทำให้เราเห็น Performance ของการทำ SEO แบบย้อนหลัง โดยรีพอร์ทจะแยกอันดับออกจากกันระหว่างการแสดงผลบน Desktop และ Mobile ไว้ด้วย โดยจะมีสรุปรายงานอันดับ ส่งอีเมล์มาบอกเราด้วย

Ahrefs ฟรีหรือไม่?

ราคาเครื่องมือ Ahrefs ไม่ฟรีนะครับ อัพเดทล่าสุด 2023-2024 (อาจจะมีเวอร์ชั่นฟรี ทดลองใช้งาน 7 วัน)

Ahrefs ฟีเจอร์สำคัญ ที่มักใช้บ่อย

Organic keywords

เครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ด รายงานอันดับของ Keywords ทั้งหมดของเว็บไซต์ เรียงตาม Traffic ที่ติดอันดับบน Google เห็นความเคลื่อนไหวอันดับว่าพบใหม่อันดับขึ้น หรือ อันดับตก (New, Improve, Declined) และเราสามารถ Sorting เรียงตาม Column ที่สนใจได้ ใช้วิเคราะห์คู่แข่ง ใช้หา Content มาทำตามลำดับความสำคัญได้

Referring domains

รายงานจำนวน Backlink จากเว็บไซต์ต่างๆที่อ้างอิงถึงเว็บไซต์เรา ความเคลื่อนไหวจำนวน Backlink ได้มาใหม่ (New) หรือ สูญหาย (Lost) ค่า DR, Traffic ของเว็บไซต์เหล่านั้น

Organic competitors

ใช้วิเคราะห์คู่แข่งว่ามีใครบ้างในเว็บประเภทเดียวกัน และเราค่อยลงลึกไปวิเคราะห์คู่แข่งทีละเว็บได้ อย่างเช่น Keyword Gap ที่จะช่วยหาคีย์เวิร์ดจากคู่แข่งมาแนะนำ โดยเป็นคีย์เวิร์ดที่เรายังไม่ทำและมีโอกาสติด SEO

Outgoing links

รายงานจำนวน Link ที่วิ่งออกจากเว็บเรา ในบางครั้งเราอาจไม่ตั้งใจทำอ้างอิงไปหาเว็บคนอื่น หรือเว็บเราอาจโดนแฮ็กทำลิ้งวิ่งออกเหล่านั้น

อื่นๆอีกมากมาย

สรุป

ทั้งหมดนี้เป็นความสามารถของเครื่องมือ Ahrefs ที่น่าสนใจเป็นอย่างมากหากจะเลือกเครื่องมือเพื่อใช้ในการทำแผน SEO อย่างถูกต้องและเกิดประสิทธิภาพสูง เป็นเครื่องมือที่มีรายละเอียดค่อนข้างมากต้องใช้ความเข้าใจในการใช้งานจึงจำเป็นต้องใช้เวลาศึกษาพอสมควร แต่หากคุณใช้เป็นตัวช่วยในการทำการกลยุทธ์การตลาดออนไลน์มันจะเพิ่มความง่ายให้แก่คุณได้เป็นอย่างดี

]]>
Digital PR คืออะไร https://seomasterth.com/digital-pr-%e0%b8%84%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b0%e0%b9%84%e0%b8%a3/ Wed, 20 Dec 2023 16:18:09 +0000 https://seomasterth.com/?p=26651

Digital PR หรือ การประชาสัมพันธ์บนช่องทางออนไลน์นั้น มีการแข่งขันที่สูงมากในยุคนี้ เพราะกลุ่มลูกค้าออนไลน์มีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น หลายๆแบรนด์จึงต้องแข่งขันกันเข้าถึงลูกค้าในกลุ่มนี้ให้ได้มากที่สุด การทำ Digital PR ที่ดี จะทำให้แบรนด์สินค้า เข้าถึงลูกค้าได้อย่างแม่นยำ และมีค่าใช้จ่ายที่คุ้มค่า แต่ในทางกลับกัน หากแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งทำ Digital PR ที่ไม่มีประสิทธิภาพ การสื่อสารก็จะไปไม่ถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย หรือมีค่าใช้จ่ายที่สูงจนเกินไป

เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการทำ Digital PR ให้มากยิ่งขึ้นกันครับ

Digital PR คืออะไร

            การทำ Digital PR ก็คือการประชาสัมพันธ์แบรนด์ของเราบนช่องทางออนไลน์  เพื่อให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายรับรู้  สร้างการมองเห็นให้คนที่มีความสนใจในสินค้า หรือมี activity ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเรา ได้รับรู้ เข้าถึง ปิดการขาย จนไปถึงส่งต่อแบรนด์สินค้าของเราไปยังเครือข่ายของเขา เช่นการทำ SEO (Search engine optimization) , Content Marketing ,Social media ซึ่งจะมีเครื่องมือที่สร้างและเผยแพร่แบรนด์ของเราถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ

เหตุใด Digital PR จึงมีความสำคัญ

            นั่นก็เพราะ หัวใจสำคัญของการทำ Digital PR ก็คือ การทำให้แบรนด์ของเราเป็นที่รู้จักมากขึ้นในช่องทางออนไลน์  สร้างภาพลักษณ์ที่ดี มีความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ และนี่คือสาเหตุที่ต้องให้ความสำคัญกัลป์ Digital PR

  • เพื่อให้แบรนด์ของเราติดอยู่ใน SEO ที่มีมูลค่าสูง SEO ที่มีมูลค่าสูง ก็คือคีย์เวิร์ดของแบรนด์เราอยู่ในอันดับต้นๆของการค้นหา ทั้งใน google และ search engine อื่นๆ โดยในช่วงแรกอาจต้องใช้เครื่องมือ และเงินทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสร้างการรับรู้ในช่องทางออนไลน์ ซึ่งเมื่อมีผู้เข้าชมแบบออแกนิคเพิ่มขึ้น นั่นหมายความว่าเรามีการทำ Digital PR จนมี SEO ที่ดี
  • สร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อแบรนด์ของเรา ถึงแม้เราจะมี SEO ที่ดี อยู่ในหน้าแรกๆ ของการค้นหา แต่หากแบรนด์ของเรามีภาพลักษณ์ที่ไม่ดี มีการส่งต่อในเครือข่ายของลูกค้า นั่นก็ทำให้ SEO ของเราไม่ส่งผลต่อยอดขาย ซึ่ง Digital PR ที่ดี จะช่วยเพิ่มการรับรู้ภาพลักษณ์ที่ดีให้กลับลูกค้า จนนำไปถึงการเผยแพร่ในเครือข่ายของลูกค้าต่อไป

รู้จัก Digital PR ทั้ง 3 ประเภท

  • Owned media หรือ สื่อประชาสัมพันธ์ที่แบรนด์เป็นเจ้าของเอง เพื่อทำการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เช่น การเผยแพร่แบรนด์ผ่านเว็บไซต์ตนเอง ผ่านบัญชีโซเชียลมีเดียของแบรนด์เอง ผ่านอีเมลมาร์เก็ตติ้ง ซึ่งประสิทธิภาพการเข้าถึงเป้าหมายอาจด้วยกว่า สื่อประเภทอื่น แต่มีข้อดีในเรื่องต้นทุน การบริหาร และเนื้อหาของสื่อประชาสัมพันธ์
  • Paid media หรือสื่อประชาสัมพันธ์ที่ต้องชำระเงินเพื่อเผยแพร่ เช่น การโฆษณาบน google ,Banner เว็บไซต์ที่สัมพันธ์กับสินค้าเรา ,การซื้อโฆษณาบนโซเชียลมีเดีย หรือกระทั่งการสร้างการรีวิว ซึ่งสื่อประเภทนี้ จะแม่นยำกับกลุ่มเป้าหมาย มีความหลากหลายของแพลตฟอร์ม จนไปถึงการปิดการขายบนสื่อก็สามารถทำได้
  • Earned media หรือสื่อที่มีผู้อื่นสร้างให้ เช่นการแชร์ การส่งต่อในกลุ่มเครือข่าย หรือการแนะนำในโซเชียลมีเดียว ซึ่งสื่อประเภทนี้จะไม่มีค่าใช้จ่าย และเป็นสื่อที่มีคุณค่ากับแบรนด์มาก เพราะหากมีการส่งต่อในแง่ที่ดีของแบรนด์เรา ก็จะเพิ่มลูกค้าได้เป็นทวีคูณ แต่ในทางกลับกัน หากแบรนด์เรามีภาพลักษณ์ที่ไม่ดี ก็จะมีการส่งต่อสิ่งนี้ไปยังเครือข่ายของลูกค้าเรา โดยที่เราไม่สามารถควบคุมได้

ประโยชน์ของการทำ Digital PR

  1. เพิ่มการรับรู้ที่มีต่อแบรนด์

Digital PR จะช่วยสร้างการรับรู้ต่อแบรนด์ให้กับกลุ่มเป้าหมายในช่องทางออนไลน์ เพื่อให้รู้จักในวงกว้าง ทั้งช่องทางเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย หรือแอพพลิเคชัน

  1. ปรับปรุงอันดับการค้นหาแบบ Organic

Digital PR ช่วยปรับปรุงอันดับเว็บไซต์ให้อยู่ในอันดับแรกๆในคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์แบบ organic ซึ่งยิ่งเว็บไซต์มีการคลิ๊กด้วยการค้นหามากเท่าไหร่ อันดับการค้นหาก็จะดีขึ้นตามไปด้วย

  1. เพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์

การทำ Digital PR จะช่วยเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ให้มากขึ้น และเพิ่มเวลาในการเข้าชม หรือเพิ่ม Activity ในเว็บไซต์ จะส่งผลให้มีอันดับในการค้นหาแบบ Organic ที่ดียิ่งขึ้น

  1. สร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์

การทำ Digital PR ที่ดีนั้น นอกจากจะสร้างการรับรู้แล้ว ยังสร้างความน่าเชื่อถือ ให้กับแบรนด์ เพราะเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะสร้างโอกาสในการปิดการขายได้

  1. เพิ่มยอดขาย

เป้าหมายหลักของการทำ Digital PR คือการเพิ่มยอดขายให้ได้มากขึ้น เพิ่มยอดขายในกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ หรือลูกค้าเก่า ซึ่งล้วนแล้วต้องพึ่งพาการทำ Digital PR ที่มีคุณภาพ

กลยุทธการทำ Digital PR

ถึงแม้การทำ Digital PR จะช่วยเพิ่มช่องทางการรับรู้ถึงแบรนด์ในช่องทางออนไลน์ได้ดี แต่จะดีไหม หากเรามีกลยุทธในการทำ Digital PR ให้มีประสิทธิภาพขึ้นไปอีก เราลองมาดูกลยุทธในการทำ Digital PR หลักๆที่นิยมกันครับ

  • ให้บล็อกเกอร์ นักรีวิว หรือผู้ที่มีชื่อเสียงในโลกออนไลน์ กล่าวถึงแบรด์ของเรา เพื่อให้ได้การรับรู้ที่มีปริมาณสูง แต่อาจมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นตามความนิยมของพวกเขาเหล่านั้น
  • มีการสร้างเนื้อหาที่เกี่ยวกับสินค้า หรือแบรนด์ของเรา
  • สร้างอินโฟกราฟฟิกที่โดดเด่น ไม่ซ้ำกับแบรนด์อื่น และต้องสื่อสารให้ลูกค้าเข้าใจง่าย
  • การสร้างกราฟฟิกเคลื่อนไหว และโต้ตอบได้ จะช่วยเพิ่มการประชาสัมพันธ์ได้ดียิ่งขึ้น

เครื่องมือในการทำ Digital PR

  • Google Analytics เป็นเครื่องมือที่ใช้ Monitor Traffic ที่นิยมตัวหนึ่ง เพราะคนส่วนมากนิยมค้นหาจาก Google ทำให้ได้ผลที่ละเอียด เหมาะที่จะนำไปวิเคราะห์ลูกค้า
  • Google Search Console เป็นเครื่องมือในการจัดการ SEO เพื่อตรวจสอบคุณภาพของการประชาสัมพันธ์ และค้นหาจุดผิดพลาดในการทำ SEO
  • Ahrefs Backlink Checker เป็นเครื่องมือตรวจสอบ Backlink ว่ามีประเภทใดบ้าง มาจากที่ไหนบ้าง
  • Semrush เป็นเครื่องมือแนว all in one ที่สามารถทำ SEO ตรวจสอบ Backlink ได้ในตัวเดียว
  • Buzzsumo เป็นเครื่องมือใช้ดูความสนใจใน Social Media เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้า Social Media
  • Google Trends เป็นเครื่องมือที่เช็คเทรนการค้นหาใน Google ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สำคัญอีกตัวที่ผู้ทำ Digital PR จะต้องศึกษาก่อนทำ

 

จะเห็นได้ว่าการทำ Digital PR เป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อที่จะให้ได้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายในช่องทางออนไลน์ และหากมีการทำที่ดี และสม่ำเสมอ ก็จะช่วยให้ ปรับปรุงอันดับการค้นหาขึ้นไปอยู่ในอันดับต้นๆได้อย่างแน่นอนครับ

]]>
Local SEO คืออะไร? ทำธุรกิจคุณให้ติดหน้าแรก Google https://seomasterth.com/what-is-local-seo/ Tue, 19 Dec 2023 14:13:16 +0000 https://seomasterth.com/?p=26628 Local SEO คืออะไร?

          Local SEO คือแนวทางปฏิบัติในการเพิ่มประสิทธิภาพของธุรกิจผลิตภัณฑ์หรือบริการ และเป็นกลยุทธ์การทำการตลาดรูปแบบหนึ่ง สำหรับธุรกิจท้องถิ่น Local Business (สำหรับธุรกิจท้องถิ่น) โดยจะมุ่งเน้นการทำ SEO ให้ติดใน Keyword เฉพาะพื้นที่ (Local SEO) ซึ่งจะจำกัดวงคู่แข่งในการทำ SEO ให้อยู่แค่บริเวณใกล้เคียงพื้นที่ตั้งร้าน (Local SEO) ในระแวกหรทอภูมิภาคเดียวกันกับธุรกิจ หรือกำหนดจากการการค้นหาด้วยภาษาท้องถิ่นก็ได้ 

          ยกตัวอย่าง Local SEO หากคุณมีธุรกิจร้านอาหาร และต้องการทำเว็บไซต์ของคุณให้ติดหน้าแรกบน Google แต่การที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณติดใน Keyword (คำค้นหา) ที่มีการแข่งขันสูงมาก อย่างเช่น “ร้านอาหาร” ก็คงอาจจะเป็นเรื่องที่ยากมาก และอาจจะไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่จะสามารถเดินทางมายังร้านของคุณได้จริง ดังนั้น ซึ่งที่เราต้องทำคือ การระบุรายละเอียดเพิ่มเติมของสถานที่ลงไป เช่น “ร้านอาหาร ลาดพร้าว” หรือ “ร้านกาแฟ ลาดพร้าวซอย  1” Local SEO ยิ่งระบุคำค้นหาให้มีสถานที่ แลนด์มากค์ จุดเด่น หรือภาษาเฉพาะที่ใช้เรียกชัดเจนได้มากเท่าไร ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายค้นหาเว็บไซต์ของคุณเจอได้ง่าย และช่วยทำให้เว็บไซต์ติดหน้า Google ในหน้าแรกๆ ได้มากกว่าการทำ SEO ใน Keyword อื่นๆ ที่มีการแข่งขันสูง และอาจต้องใช้เวลานานในการทำอันดับในระยะยาว

           ดังนั้นหลักการทำ Local SEO ไม่แตกต่างจากการทำ SEO แบบทั่วไป แต่ให้เติม Longtail Keyword ที่เป็นสถานที่ พื้นที่ ชื่อเขต ชื่อจังหวัด แลนด์มากค์ จุดเด่น ภาษาเฉพาะที่ใช้เรียก ของเราเข้าไปด้วย

Local SEO สำคัญอย่างไร ?

          หลักการทำ Local SEO สำหรับ Local Business นอกจากจะช่วยทำให้กลุ่มเป้าหมาย (Target) สามารถค้นหาคุณเจอจากการติดอันดับบน Search Engine ได้ง่ายมากขึ้นแล้ว ยังถือเป็นการนำเอาวิธีการทำการตลาดแบบ Niche Marketing มาปรับใช้โดยการเน้นเข้าหากลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม ซึ่งคุณมีโอกาส เอาชนะธุรกิจเจ้าใหญ่ๆ  ได้ และ  Local SEO ยังช่วยให้คุณมีกลุ่มลูกค้าที่ชัดเจนและแม่นยำแบบสุดๆ เพราะจากสถิติจาก HubSpot ระบุไว้ว่า ปกติแล้วมีคนค้นหาข้อมูลบน Google ด้วยการใช้ Local Intent หรือการระบุสถานที่ตั้งของธุรกิจแบบชัดเจนสูงถึง 46% และมีผู้ใช้งานถึง 88%

 

ตัวอย่าง Local SEO keyword

          หลักในการทำ Local SEO keyword ไม่ได้มีการจำกัดความยาวของ Keyword แต่ว่าควรทำให้ Algorithm ของ Search Engine เข้าใจได้ว่าเว็บไซต์ของธุรกิจคุณอยู่ในพื้นที่นั้นจริงๆซึ่งปกติจะมีโครงสร้างเป็น Longtail Keyword คือ “ประเภทธุรกิจ + พื้นที่” เช่น

  • ร้านอาหาร + ชื่อจังหวัด ตามด้วย ชื่ออำเภอ เช่น “ร้านอาหาร ชลบุรี บางแสน”
  • โรงแรม + ชื่อจังหวัด ตามด้วย ชื่ออำเภอ หรือตำบล เช่น “โรงแรมสงขลา หาดใหญ่” หรือจะใช้ Keyword (คำค้นหา)ที่พ้องความหมาย เช่น “ที่พักสงขลา หาดใหญ่”
  • คลินิก + ประเภทธุรกิจ + ชื่อจังหวัด เช่น “คลินิกความงาม ลาดพร้าว” หรือ “คลินิกทำหน้า ลาดพร้าว”
  • ร้านอาหาร ใกล้ฉัน
  • โรงแรม ใกล้ฉัน

 

แนวคิดการทำ Local SEO

  • ทำ Local SEO การตลาดท้องถิ่น พื้นที่ของตัวเองเสร็จ ค่อยไปทำ SEO เก็บพื้นที่อื่นๆ
  • เราสามารถทำ Local SEO เก็บทุกจังหวัดได้ แม้ว่าธุรกิจของเราไม่ได้อยู่ในจังหวัดนั้น
  • ทำ On page Local SEO พื้นที่ของตนเอง ไม่ต้องสนใจว่าจะมี Search Volume มากหรือน้อย
  • ทำ Local SEO บน Google Map เป็นสิ่งสำคัญ ปักหมุดอย่างเดียวไม่พอ ต้องไปสมัครปรับแต่งที่ Google My Business ด้วย
  • เว็บเราไม่มีหน้าร้าน ก็สามารถปักหมุด Google Map เอาไว้สร้างภาพได้เช่นเดียวกัน

Local SEO เหมาะกับธุรกิจแบบไหน

          Local SEO จะเหมาะมากๆ สำหรับธุรกิจที่มีสถานที่ตั้งร้านชัดเจน เช่น ร้านทำผม ร้านสปา ร้านนวด ร้านอาหาร โรงแรม รวมไปถึงธุรกิจขนาดย่อม ร้านท้องถิ่น ร้านในระดับจังหวัด อำเภอหรือเขต เพียงแต่ต้องระบุขอบเขตของพื้นที่หรือที่ตั้งของธุรกิจให้ชัดเจน จึงจะให้ผลดีในการแสดงผลลัพธ์การ Search บนหน้า Search Engine หรือธุรกิจประเภทที่มีกฏหมายจำกัดการทำการตลาดออนไลน์อย่าง ร้านขายยา จำเป็นต้องพึ่ง Local SEO เป็นหลัก แต่ถึงแม้ธุรกิจของเราไม่ได้มีหน้าร้านก็ยังสามารถทำได้เช่นเดียวกัน นั่นหมายความว่า Local SEO ก็เหมาะสมกับธุรกิจเกือบจะทุกประเภทเพียงแค่แค่เหมาะกับประเภทไหนมากน้อยเพียงใดก็ตาม

กลยุทธ์การทำ Local SEO

  • การทำ Local SEO ด้วย Paid Ads – การลงโฆษณา Google Ads โดยเลือกเจาะจงพื้นที่
  • การทำ Local SEO + Local Pack ด้วย GMB (Google My Business) – สมัครใช้งานปักหมุดธุรกิจของเราลงบนแผนที่กูเกิล และยังเป็นการทำ SEO Offpage ด้วย

  • Organic Keyword – ทำ Local SEO keyword
  • ใช้ Google Autocomplete

Local SEO สถิติ

  • 97% ของคนที่ใช้งาน Google มองหาธุรกิจท้องถิ่นใกล้ตัวก่อน
  • 35% ของธุรกิจบอกว่า Local SEO เป็นสิ่งสำคัญ ช่วยสร้างผลลัพธ์ได้จริง
  • 28% ค่าเฉลี่ยค้นหา Local SEO ชำระเงินปิดการซื้อขายภายใน 24 ชั่วโมง
  • 76% ของคนใช้งาน Google เข้าเยี่ยมชมธุรกิจถึงที่ ภายใน 1 วัน หลังจากค้นหา Local SEO หาสิ่งใกล้ฉัน

          สรุปคือ Local SEO ก็คือการทำ SEO ประเภทนึง ไม่แตกต่างกัน แค่เพียง Local SEO จะโฟกัสที่คำ Longtail Keyword โดยตัว Longtail นั้นจะเป็นชื่อสถานที่ พื้นที่ ชื่อเขต ชื่อจังหวัด แลนด์มากค์ จุดเด่น ภาษาเฉพาะที่ใช้เรียก ของเราเข้าไปด้วย

]]>
ทำความรู้จัก Google SERP คืออะไร สำคัญยังไงกับธุรกิจ https://seomasterth.com/google-serp/ Tue, 19 Dec 2023 12:17:57 +0000 https://seomasterth.com/?p=26603 ทำความรู้จัก Google SERP คืออะไร สำคัญยังไงกับธุรกิจ

 

Google SERP คืออะไร อีกหนึ่งคำถามที่ยังมีบางคนสงสัยอยู่ โดยเฉพาะนักการตลาดหรือคนทำ SEO หน้าใหม่ ซึ่งในบทความนี้ก็ได้รวบรวมเอาข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับความหมายของ Google SERP มาให้ได้ศึกษากัน พร้อมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับความสำคัญและการนำไปปรับใช้ให้เกิดประสิทธิภาพ 

 

Google SERP คืออะไร?

 

Google SERP คือ หน้าที่แสดงผลของการค้นหาบนเว็บ Search Engine อย่าง Google ย่อมาจาก Search Engine Results Page ทำให้รู้ว่าใน Keyword นั้นๆ เว็บไซต์ไหนแสดงผลอยู่อันดับที่เท่าไรของ Google 

 

การดูผลบน Google SERP คือความสำคัญอีกหนึ่งอย่างสำหรับคนทำ SEO แน่นอนว่าถ้าหากจะทำบทความ SEO ขึ้นมาสัก 1 บทความ บางครั้งก็ต้องสังเกตการจากคู่แข่งสักหน่อย และการสังเกตการจาก Google SERP ก็ถือเป็นแนวทางที่เหมาะสม 

ประเภทการแสดงผลบน Google SERP คืออะไรบ้าง?

 

ประเภทการแสดงผลบน Google SERP จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ 

 

  • Organic SERP Listings 
  • Paid SERP Listing

 

Organic SERP Listings

การแสดงผลแบบ Organic SERP Listings เป็นหนึ่งในผลลัพธ์ที่แสดงบน Google SERP ซึ่งเป็นเนื้อหาที่ไม่ได้รับการจ่ายค่าโฆษณา และติดอันดับแบบ Organic จากการทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพ 

 

Paid SERP Listing

การแสดงผลแบบ Paid SERP Listings เป็นหนึ่งในผลลัพธ์ที่แสดงบน Google SERP ซึ่งเป็นเนื้อหาที่ต้องจ่ายค่าโฆษณาเพื่อประมูล Keyword ในระบบของ Google ซึ่งจะแสดงอยู่บนสุดเหนือสูงกว่าเนื้อหาที่ติดอันดับแบบ Organic ผู้รับสารจะรู้ได้ว่าเนื้อหานี้มีการจ่ายโฆษณา เพราะมีคำว่า Sponsored กำกับอยู่

ส่วนประกอบของ Google SERP คืออะไรบ้าง?

 

SERP มีส่วนประกอบหลายส่วนด้วยกัน ได้แก่ 

 

  1. ช่อง Search – เมื่อเข้าหน้า Google จะพบว่าช่อง Search เป็นอันดับแรก เพื่อรองรับการกรอกคำค้นหา ที่ต้องการค้นหาข้อมูล ซึ่งคำค้นนี้จะถูกเรียกว่า Keyword 
  2. Title – ถัดมาที่ผู้ใช้งานจะสังเกตเห็นได้แบบชัดเจนก็คือ Title หรือชื่อเรื่อง/ชื่อหัวข้อของเนื้อหานั้นๆ ซึ่งจะปรากฏด้วยสีน้ำเงิน ด้วยขนาด Text ที่ใหญ่ที่สุด
  3. URL – ถัดมาคือลิงค์ URL ของเนื้อหานั้น ซึ่งจะอยู่ด้านบนของ Title ด้วย Text ขนาดเล็กกว่า 
  4. Meta Description – อีกหนึ่งส่วนประกอบของ SERP ก็คือ Meta Description เป็นคำอธิบายสั้นๆ ของเนื้อหานั้น ซึ่งจะปรากฏอยู่ใต้ Title 
  5. Featured Snippet – ส่วนนี้จะเป็นกล่องข้อความขนาดใหญ่ ที่สรุปคำตอบของเนื้อหานั้นพอสังเขป ให้คนอ่านสามารถทำความเข้าใจรายละเอียดนั้นได้คร่าวๆ โดยไม่จำเป็นต้องคลิกเข้าไปอ่านเนื้อหาด้านใน 
  6. SEM – ส่วนของการแสดงเนื้อหาแบบซื้อโฆษณา โดยจะมีคำว่า Sponsored กำกับอยู่ และอยู่อันดับสูงกว่า SEO
  7. SEO – ส่วนของการแสดงเนื้อหาแบบ Organic ซึ่งจะอยู่ถัดจากเนื้อหา SEM ในอันดับที่ต่ำกว่าลงมา

 

ความสำคัญของ Google SERP คืออะไร?

 

หน้าที่แสดงผลของการค้นหาบนเว็บ Google ซึ่งประกอบไปด้วยส่วนต่างๆ หากลองสังเกตแล้วจะเห็นว่าแต่ละส่วนนั้นสำคัญหมด ที่ทำให้เนื้อหานั้นติดอันดับใน Google ด้วย Keyword หนึ่ง สำหรับคนทำ SEO ที่ต้เองการผลิตเนื้อหาด้วย Keyword เดียวกัน อาจลองดูเนื้อหาของคนอื่นที่ทำมาก่อนหน้านั้นและติดอันดับ พร้อมด้วยการวิเคราะห์แต่ละส่วนที่ปรากฏอยู่บน Google SERP แนะนำให้สังเกต Keyword จะดีที่สุด 

คนที่ควรใช้ Google SERP คือใครบ้าง?

 

Google SERP เป็นตัวช่วยที่เหมาะกับการใช้วิเคราะห์คู่แข่ง ซึ่งสำคัญกับคนที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการตลาดออนไลน์ ดังนี้

 

1.ผู้จัดการตลาดออนไลน์

 

ผู้จัดการตลาดออนไลน์ที่ต้องดูแลเรื่องการทำ SEO หรือการทำเนื้อหาให้ติดอันดับใน Google ควรใช้ Google SERP วิเคราะห์คู่แข่ง และสรรหา Keyword รวมถึงวางแผนการวางโครงสร้างเนื้อหาบทความ SEO เพื่อบรีฟต่อให้กับนักเขียนคอนเทนต์ 

 

2.คนทำ SEO

 

คนทำ SEO ไม่ว่าจะเป็นนักพัฒนาเว็บไซต์ หรือคนปรับระบบหลังบ้านให้สอดคล้องกับ SEO รวมถึงคนที่วางโครงสร้างเว็บไซต์ อาจต้องใช้งาน Google SERP ประกอบด้วยเช่นกัน เพื่อวิเคราะห์คู่แข่งและวางแผนปรับปรุงเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับหลักการ SEO ใน Keyword นั้น

 

3.SEO Content Creators

 

Google SERP ก็ค่อนข้างสำคัญกับ SEO Content Creators หรือนักเขียนบทความ SEO เช่นกัน โดยนักเขียนที่มีหน้าที่สร้างสรรค์เนื้อหาให้สอดคล้องกับหลักการ SEO และต้องการจะสู้กับคู่แข่งให้ได้ ควรวิเคราะห์คู่แข่ง ซึ่งสามารถอาศัย Google SERP เป็นตัวช่วยได้

 

วิธีการใช้งาน Google SERP

 

แม้ว่า Google SERP จะมีไว้เพียงแสดงผลอันดับเท่านั้น แต่อย่างที่ได้กล่าวไปมาว่า SERP มีส่วนประกอบต่างๆ หลากหลาย โดยส่วนประกอบเหล่านั้นสามารถนำมาใช้เป็นแนวทางในการทำ SEO ได้ โดยวิธีการใช้งาน Google  SERP คือการเก็บเอาเนื้อหาที่ติดอันดับต้นๆ สังเกตองค์ประกอบต่างๆ ตั้งแต่ชื่อเรื่องไปจนถึงการเขียนเนื้อหาฉบับเต็ม โดยไอเดียที่นำมาปรับใช้ได้จาก Google SERP นั้น ได้แก่

 

  • ไอเดียร์การตั้งชื่อ Title 
  • ไอเดียการเขียน Description 
  • ไอเดียการตั้ง Slug ใน URL
  • ไอเดียการเขียนเนื้อหาเต็ม
  • การวางโครงสร้างเนื้อหา
  • การวางแผนเรื่องขนาดความยาวของเนื้อหา

 

เครื่องมือไว้สำหรับใช้งานบน SERP

 

นอกจากการสังเกตบนหน้า Google SERP แล้ว ยังมีเครื่องมือบางอย่างที่มีไว้สำหรับใช้งานบน SERP เพื่อระบุข้อมูลเชิงลึกลงไปอีก ช่วยให้วิเคราะห์คู่แข่งได้ลึกขึ้นกว่าเดิม ในครั้งนี้จะขอแนะนำเครื่องมือดังกล่าว ยกตัวอย่างเช่น SEO Quake, Moz Bar, Serp Analyzer และ Semalt

 

จากที่ได้กล่าวไปว่า Google SERP คือ หน้าที่แสดงผลของการค้นหา ซึ่งมีส่วนประกอบหลายอย่างด้วยกัน เหมาะสำหรับคนทำ SEO อย่างยิ่ง ใช้ในการวิเคราะห์คู่แข่ง เพื่อสร้างสรรค์เนื้อหาและวางโครงเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับหลักการของ SEO มากที่สุด ซึ่งการอ้างอิงจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว ก็ถือเป็นวิธีการหนึ่งที่น่าสนใจ โดยสวามารถใช้ Google SERP เป็นตัวช่วยได้

]]>