SEO Master บริษัทรับทำ SEO รับดูแลเว็บไซต์ ราคาถูก ครบวงจร https://seomasterth.com SEO MASTER Sun, 31 Mar 2024 18:06:54 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.3.5 https://seomasterth.com/wp-content/uploads/2023/11/cropped-seomaster-icon-32x32.jpg SEO Master บริษัทรับทำ SEO รับดูแลเว็บไซต์ ราคาถูก ครบวงจร https://seomasterth.com 32 32 8 วิธีทำ SEO FACEBOOK ให้เพจถูกหาเจอได้ง่ายขึ้น https://seomasterth.com/8-%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%98%e0%b8%b5%e0%b8%97%e0%b8%b3-seo-facebook/ Sun, 31 Mar 2024 18:06:54 +0000 https://seomasterth.com/?p=28300 8 วิธีทำ SEO FACEBOOK ให้เพจถูกหาเจอได้ง่ายขึ้น

 

การทำ SEO FACEBOOK ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีการที่จะช่วยให้เพจของเราถูกค้นพบได้มากขึ้น เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่คนทำเพจต้องรู้ เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึง Fanpage และส่งผลต่ออัตราการเจริญเติบโตของเพจ โดยเฉพาะคนที่กำลังจะขายสินค้าบนเพจ เป็นเรื่องที่สำคญมาก ที่จะทำให้การขายสินค้าบนเพจนั้นประสบความสำเร็จ โดยในครั้งนี้ทางบทความก็ได้รวบรวม 8 วิธีทำ SEO FACEBOOK มาให้แล้ว ดังนี้ 

 

1.วิเคราะห์ Keyword 

 

วิธีทำ SEO FACEBOOK อันดับแรก ต้องวิเคราะห์ Keyword ก่อนว่าจะเลือก Keyword อะไร ที่จะเป็นคำสำคัญของเพจ หากเป็นเพจขายสินค้า ควรให้ชื่อสินค้าเป็น Keyword และพยายามเน้นย้ำ Keyword ลงเนื้อหาของเพจ เพื่อให้เพจติดอันดับ เมื่อมีการค้นหาด้วย Keyword นั้น แต่สิ่งที่ต้องรู้ก็คือการค้นหาด้วย Keyword บน Google เนื้อหาบนเว็บไซต์มักจะติดอันดับก่อนเนื้อหาบน Facebook เสมอ แต่ถึงอย่างนั้นบาง Keyword ก็มีสิทธิติดอันดับบน Google ได้ 

 

ที่สำคัญที่สุด คือการติดอันดับบน Facebook เอง เมื่อผู้ใช้งานบางรายใช้วิธีการค้นหาที่ช่องค้นหาด้วย Keyword หากมีการวิเคราะห์และเลือก Keyword ที่ดี และมีการเน้นย้ำในเพจเกี่ยวกับ Keyword นั้น ก็จะช่วยให้ติดอันดับบน Facebook และเพจมีโอกาสถูกหาเจอได้ง่ายขึ้น

 

2.ใส่ Keyword ในชื่อเพจ

 

อีกหนึ่งวิธีทำ SEO Facebook ที่น่าสนใจมาก นั่นก็คือหลังจากที่กำหนด Keyword หลักให้เพจแล้ว ให้ใส่ Keyword ลงในชื่อเพจด้วย ซึ่งเรื่องนี้มักถูกมองข้าม เนื่องจากหลายเพจมักกำหนดชื่อแบรนด์ของตัวเองเอาไว้ และให้ชื่อแบรนด์เป็นชื่อเพจโดยไม่ได้ใส่ Keyword ลงไปด้วย เพราะชื่อเพจบางเพจก็อาจไม่เข้ากับ Keyword หรือไม่เหมาะที่จะใส่ Keyword ลงไปในชื่อเพจ แต่เรื่องนี้ช่วยได้มากจริงๆ ถ้าหากต้องการทำ SEO Facebook 

 

สำหรับการตั้งชื่อเพจ นอกเหนือจากการใส่ Keyword ลงไปในชื่อเพจ การตั้งชื่อเพจควรสั้นกะชับและจำง่าย โดยบางเพจที่กลายเป็นที่จดจำไปแล้ว ผู้ติดตามอาจค้นหาจากชื่อเพจ หรือชื่อเพจอาจกลายเป็น Keyword ที่คนนิยมค้นหาได้ด้วย ดังนั้นถ้าหากชื่อเพจจำยาก ก็มีผลต่อการค้นหาด้วยชื่อเพจในภายหลัง 

 

3.ตั้ง URL Facebook Fanpage ด้วย Username

 

วิธีทำ SEO Facebook ถัดมาคือการตั้ง URL ให้กับ Facebook Fanpage ด้วย Username ซึ่งก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่บางคนมองข้าม โดยจะปล่อยทิ้งไว้หลังจากกดสร้างเพจไปแล้ว ทำให้ลิงค์ URL เป็นลิงค์อัตโนมัติที่ Facebook สร้างให้ ที่ไม่มี Username เป็นหลัก หากเป็น Facebook Fanpage ที่มีการตั้ง URL จะเป็น https://www.facebook.com/(ชื่อ Usename ที่ตั้งไว้) แต่ถ้าหากไม่ได้ตั้ง URL ไว้ ลิงค์จะกลายเป็น https://www.facebook.com/profile.php?id=(ตัวเลขชุดหนึ่งยาวๆ) ทำให้ค้นหาเจอได้ยากกว่า Facebook Fanpage ที่ตั้ง URL เอาไว้ด้วย Username ข้อแนะนำคือให้ตั้ง URL ด้วยชื่อเพจจะดีที่สุด  

4.ใส่ข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจและ Keyword ลงในช่อง About 

 

ส่วนต่อมาสำหรับวิธีการทำ SEO Facebook คือหลังจากสร้างเพจแล้ว ให้ใส่รายละเอียดเพจตรง About ด้วย เพื่ออธิบายให้คนทั่วไปเข้าใจว่าเพจนี้เกี่ยวกับอะไร ควรใส่ Keyword ไว้ในคำอธิบายหรือในส่วนของ About ด้วย ส่วนนี้เหมือนเป็นการเน้นย้ำให้รู้ว่าเนื้อหาในเพจนี้เกี่ยวกับ Keyword นั้น หากมีการค้นหาด้วย Keyword นี้ก็มีโอกาสที่จะเจอกับเพจนี้ได้ง่ายขึ้น 

 

5.ใส่ Keyword ลงใน Alt Text ตอน Upload รูปภาพ

 

ถัดมาสำหรับวิธีทำ SEO Facebook เวลาจะโพสต์ภาพลง Facebook จะมีช่องให้ใส่ Alt Text ข้อมูลตรงนี้ หลังจากใส่ลงไปแล้ว ผู้ที่มาเห็นรูปภาพนั้นในเพจจะมองไม่เห็นข้อมูลที่ใส่ไว้ตรง Alt Text แต่การใส่ไว้จะทำให้ระบบรู้ว่ารูปภาพนี้เกี่ยวกับอะไร เป็นภาพอะไร จึงควรใส่ Keyword เอาไว้ใน Alt Text ซึ่งก็เหมือนเป็นการเน้นย้ำอีกรอบว่าเพจนี้เกี่ยวกับ Keyword นั้น ไม่เพียงเท่านั้นผู้ใช้งานบางคน ค้นหารูปภาพด้วย Keyword บน Facebook และเลือกตัวกรองตอนค้นหาที่คอลัมน์ Search results ด้วย Photo ก็จะมีโอกาสสูงที่จะเจอรูปภาพที่ใส่ Keyword นั้นไว้ตรง Alt Text ซึ่งนำพาให้ค้นหาเพจเจอไปด้วย ทำให้เพจถูกค้นเจอได้ง่ายขึ้น 

 

6.ใส่ Keyword ใน Caption 

วิธีทำ SEO Facebook สามารถใช้ Caption ช่วยได้ ซึ่งเป็นส่วนที่รองรับกับข้อความหรือ Text มีผลต่อการทำ SEO มากที่สุด สามารถเขียนได้ทั้งแบบสั้นและแบบยาว แต่ที่สำคัญที่สุดคือควรมี Keyword อยู่ในนั้น ซึ่งก็เหมือนกับเป็นการเน้นย้ำให้รู้ว่าเพจนี้นำเสนอเรื่องที่เกี่ยวกับ Keyword จริงๆ สามารถใช้ Long Tail Keyword ระบุร่วมด้วยได้ ว่าโพสต์นั้นเกี่ยวกับอะไร ช่วยเพิ่มโอกาสให้คนที่ค้นหาด้วย Long Tail Keyword มาเจอเพจได้ด้วย

 

7.ใส่ Keyword ใน #Hashtag 

 

วิธีทำ SEO Facebook ที่สำคัญมากๆ ก็คือการใส่ #Hashtag และ #Hashtag ควรมี Keyword หลักอยู่ด้วยเสมอ ไม่ว่าโพสต์ไหนๆ อย่างเช่น Keyword หลักของเพจคือ “เที่ยวไหนดี” ก็ควรใส่ #เที่ยวไหนดี ในทุกๆ โพสต์ และใส่ #Hashtag ที่เกี่ยวข้องกับโพสต์นั้นร่วมด้วย เช่น โพสต์แนะนำที่เที่ยวภูเก็ต ก็ควรมีทั้ง #เที่ยวไหนดี และ #ที่เที่ยวภูเก็ต อยู่ด้วยกันในโพสต์นั้น หากโพสต์ถัดมาเป็นโพสต์แนะนำที่เที่ยวเชียงใหม่ ก็ควรมีทั้ง #เที่ยวไหนดี และ #ที่เที่ยวเชียงใหม่ อยู่ด้วยกันในโพสต์นั้น เป็นต้น

8.ใส่ Backlink

 

การใส่ Backlink ที่คนทำ SEO รู้ดีว่าสำคัญ เช่นกันสำหรับวิธีทำ SEO Facebook ก็ควรใส่ Backlink ด้วย หากเพจมีเว็บไซต์ การโพสต์เนื้อหาลงบนเว็บไซต์ ที่ท้ายบทความก็ควรแนบลิงค์ Facebook Fanpage เป็น Backlink ลงไปด้วย หรือถ้าหากมีบัญชี Twitter ด้วย การโพสต์เนื้อหา ก็ควรแนบลิงค์ Facebook Fanpage เป็น Backlink ลงไปด้วยเช่นกัน เพราะถ้าหากลิงค์ Facebook Fanpage ถูกอ้างอิงบ่อยๆ หรือถูกแนบลิงค์กลับไปหาเพจหลายๆ ครั้ง เพจก็จะมีโอกาสถูกเจอได้ง่าย

 

ผ่านไปแล้วกับ 8 วิธีทำ SEO Facebook เพื่อให้เพจถูกหาเจอได้ง่ายขึ้น จะเห็นว่า Keyword สำคัญมาก ดังนั้นทุกเพจอย่าลืมให้ความสำคัญส่วนนี้ บางครั้งอาจไม่ต้องทำครบทุกข้อก็ได้ แต่ถ้าทำครบทุกข้อก็จะเพิ่มโอกาสการค้นเจอเพจได้ง่ายขึ้น

 

]]>
Niche Keyword คืออะไร สำคัญอย่างไรกับการทำ SEO https://seomasterth.com/niche-keyword-%e0%b8%84%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b0%e0%b9%84%e0%b8%a3/ Fri, 15 Mar 2024 17:43:04 +0000 https://seomasterth.com/?p=28454 Niche Keyword คืออะไร สำคัญอย่างไรกับการทำ SEO

 

Niche Keyword คืออะไร อีกหนึ่งเรื่องที่คนทำ SEO ควรจะรู้ความหมายและรู้รายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งนี้ เพื่อนำไปปรับใช้ในเหมาะสม เพราะนอกจาก Keyword จะช่วยให้ค้นหาเนื้อหาของเราเจอแล้ว Niche Keyword ก็มีส่วนที่สำคัญมากที่ช่วยให้หาเนื้อหาของเราเจอเช่นกัน และมีส่วนทำให้เนื้อหาติดอันดับบนเว็บ Search Engine ได้

 

Kerword คืออะไร?

 

ก่อนจะเข้าสู่ความหมายของ Niche Keyword ขออธิบายความหมายของ Keyword ก่อน โดย Keyword คือคำที่ผู้ใช้งานค้นหาบนอินเทอร์เน็ต อาจเป็นคำเดียวหรือเป็นวลีก็ได้ มักจะเป็นคำสั้นๆ เพื่อค้นหาเรื่องที่ต้องการอยากรู้ อย่างเช่นคนที่กำลังค้นหาโทรศัพท์มือถือมือสอง ก็มักจะมีคำค้นยอดนิยมอยู่ ได้แก่ มือถือมือสอง, ขายมือถือ, ขายมือถือ มือสอง เป็นต้น คำเหล่านี้คือ Keyword ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อ ขาย โทรศัพท์มือถือ มือสองนั่นเอง

Niche Keyword คืออะไร?

 

Niche Keyword คือ Keyword ที่มีความเจาะจง จะขยายความ Keyword ทั่วไป ซึ่งในการค้นหา ของผู้ใช้งานส่วนหนึ่งมักจะค้นหาด้วย Niche Keyword ดังนั้นถ้าจะทำให้คนกลุ่มนี้ค้นหาเนื้อหาของเราเจอก็ต้องใช้ Niche Keyword ในการทำ SEO ด้วย

 

โดยทั่วไป Niche Keyword มักเป็นชื่อแบรนด์ หรือถ้าหากไม่ใช่ชื่อแบรนด์ ก็จะเป็นคำที่เจาะจงถึง Keyword หลัก ยกตัวอย่างเช่น Keyword หลักคือ “โทรศัพท์” Niche Keyword ของคำนี้อาจจะเป็น “โทรศัพท์ Samsung” “โทรศัพท์ Oppo” เป็นต้น หรือถ้าหาก Keyword หลักคือคำว่า “ที่พักพัทยา” Niche Keyword ก็อาจจะเป็น “ที่พักพัทยา ติดทะเล” เป็นต้น

 

เนื่องจากผู้ใช้งานที่ค้นหาด้วย Niche Keyword มีความเจาะจงที่จะค้นหาสิ่งหนึ่ง เช่น การค้นหาโทรศัพท์มือถือ ก็เจาะจงว่าจะต้องเป็นแบรนด์นั้นเท่านั้น หรือการค้นหาที่พักพัทยา ก็เจาะจงว่าจะต้องเป็นที่พักพัทยา ติดทะเลเท่านั้น โดย Niche Keyword มักจะมี Search Volume ที่ต่ำลงมาจาก Keyword หลัก แต่ก็ตอบโจทย์การค้นหาที่มีประสิทธิภาพ

ความสำคัญของ Niche Keyword คืออะไร

 

ความสำคัญของ Niche Keyword มีดังนี้

เพิ่มการเข้าถึงเนื้อหาของกลุ่มเป้าหมาย

 

จากที่ได้กล่าวไปในข้างต้นว่า Niche Keyword คือคำค้นหาที่ค่อนข้างเจาะจง ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมการค้นหาที่เจาะจง ดังนั้นความสำคัญของ Niche Keyword คือการเพิ่มการเข้าถึงเนื้อหาของกลุ่มเป้าหมาย กล่าวคือกลุ่มเป้าหมายของเรามีโอกาสที่จะเข้าถึงเนื้อหาของเราได้มากขึ้นนั่นเอง

 

แน่นอนว่าการใช้ Keyword เพื่อดึงคนที่ค้นหาด้วย Keyword และมาเจอเนื้อหาของเราก็จริง แต่นั่นอาจไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของเราก็ได้ แต่ถ้าคนนั้นค้นหาด้วย Niche Keyword ก็มีโอกาสที่จะเป็นกลุ่มเป้าหมายมากกว่า ยกตัวอย่างเช่น การที่คนๆ หนึ่งค้นหาที่พักพัทยา และไปมาเจอที่พักพัทยาของเรา ซึ่งเป็นที่พักพัทยา ติดทะเล แต่เขาคนนั้นอาจไม่ได้ต้องการที่พักติดทะเลก็ได้ เพราะเขาไม่ได้เจาะจง แต่ถ้ามีคนที่ค้นหาด้วยคำว่าที่พักพัทยา ติดทะเล นั่นหมายความว่าคนนี้เจาะจงเลือกที่พักติดทะเล คนนี้เองที่มีโอกาสเป็นกลุ่มเป้าหมายของเรามากกว่า และมีโอกาสสูงกว่าที่จะจองที่พักกับเรา เป็นต้น

 

เพิ่มยอดขายสินค้าหรือบริการ

 

จากที่ได้กล่าวไปในข้างต้นว่าความสำคัญของ Niche Keyword คือช่วยเพิ่มการเข้าถึงเนื้อหาของกลุ่มเป้าหมาย การที่เนื้อหาดึงกลุ่มเป้าหมายให้เข้าถึงได้มากขึ้น ก็มีโอกาสที่จะปิดการขายได้มากขึ้น

 

ยกตัวอย่าง เปรียบเทียบระหว่างเว็บไซต์ A ที่มีคนทั่วไปเข้าถึงมาก แต่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย กับเว็บไซต์ B ที่มีคนเข้าถึงน้อยกว่าแต่เมื่อเปรียบเทียบเฉพาะคนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายแล้ว เว็บไซต์ B กลับมีคนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายเข้าถึงมากกว่า

 

ดังนั้นโอกาสที่เว็บไซต์ B จะปิดการขายได้ก็อาจมีสูงกว่าเว็บไซต์ A เพราะกลุ่มเป้าหมายมีโอกาสที่จะตัดสินใจซื้อมากกว่าคนทั่วไปที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย

 

เพิ่ม Traffic ให้กับหน้าเว็บไซต์ส่งผลดีต่อการจัดอันดับ

 

หลักการทำ SEO อีกหนึ่งเรื่องคือยิ่ง Traffic ดี มีคนเข้าถึงมาก ก็มีโอกาสที่เนื้อหาจะติดอันดับบนเว็บ Search Engine ได้สูงขึ้น และการใช้ Niche Keyword ที่ตอบโจทย์ผู้รับสารได้ดีกว่า Keyword ทั่วไป ก็มีโอกาสที่จะดึงคนให้อยู่ในหน้าเว็บไซต์ได้นานกว่า เช่น ถ้าหากเป็นบทความให้ความรู้ โอกาสที่คนเข้ามาอ่านแล้วอ่านจนจบ ก็จะมีสูงกว่าการเข้ามาด้วย Keyword ทั่วไป การอ่านเนื้อหาจนจบ ก็อยู่หน้าเว็บนานขึ้น มีส่วนช่วยเพิ่ม Traffic ให้หน้าเว็บไซต์ได้ และยิ่ง Traffic มากก็มีผลต่อการจัดอันดับที่สูงขึ้นด้วย

วิธีหา Niche Keyword 

 

1.การใช้ Google 

 

วิธีแรกง่ายมากในการหา Niche Keyword คือการใช้ฟีเจอร์ของ Google โดยเข้าเว็บไซต์ Google.com จากนั้นลองค้นหาด้วย Keyword หลักดูก่อน เช่นลองค้นคำว่า “ที่พักพัทยา” ระบบของ Google ก็จะแสดงคำที่เกี่ยวข้องกับที่พักพัทยาคำอื่นๆ ขึ้นมาอีกหลายคำ คำเหล่านั้นเองที่เป็น Niche Keyword ที่สามารถนำไปใช้งานต่อได้

 

หรืออีกวิธีหนึ่งลองค้นคำว่า “ที่พักพัทยา” แล้วกด Enter จากนั้นเลื่อนลงเรื่อยๆ จะเจอคำที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ตรงนั้นก็เป็น Niche Keyword ที่สามารถนำไปใช้งานต่อได้เช่นกัน

 

2.การใช้ Google Ads 

 

เข้าใช้งาน Google Ads แล้วไปที่ Tools แล้วคลิกที่ Planning จากนั้นเลือก Keyword Planner แล้วเลือก Discover new keywords แล้วค้นหาด้วย Keyword หลักแล้วกด Get result ระบบก็จะแสดงผลการ Search Volume ของคำนั้นขึ้นมา และพร้อมกันนั้นจะแสดง Keyword ideas ขึ้นมาให้ด้วย คำเหล่านั้นก็ถูกใช้เป็น Niche Keyword ได้

 

3.การใช้ Keyword Tool

 

เข้าใช้งาน Keyword Tool ซึ่งทันทีที่เข้าหน้าเว็บไซต์ จะมีช่องให้ค้นหาคำที่ต้องการ จากนั้นให้ค้นหาด้วย Keyword หลักแล้วกดปุ่มแว่นขยาย ระบบก็จะแสดงผลการ Search Volume ของคำนั้นขึ้นมา และพร้อมกันนั้นจะแสดง Keyword ที่เกี่ยวข้องขึ้นมาให้ด้วย คำเหล่านั้นก็ถูกใช้เป็น Niche Keyword ได้

 

ทั้งหมดนี้ก็เป็นข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับ Niche Keyword ในเรื่องของความหมายของ Niche Keyword คืออะไร รวมถึงความสำคัญของ Niche Keyword และวิธีหา Niche Keyword เพื่อการนำมาใช้งานให้เหมาะสม

 

]]>
จดโดเมนที่ไหนดี พิจารณาจากอะไรได้บ้าง พร้อมแนะนำผู้ให้บริการ https://seomasterth.com/%e0%b8%88%e0%b8%94%e0%b9%82%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b9%84%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b8%b5/ Fri, 15 Mar 2024 17:34:32 +0000 https://seomasterth.com/?p=28448 จดโดเมนที่ไหนดี พิจารณาจากอะไรได้บ้าง พร้อมแนะนำผู้ให้บริการ

 

จดโดเมนที่ไหนดี อีกหนึ่งคำถามของคนที่กำลังเริ่มจะสร้างเว็บไซต์เป็นของตัวเอง ก็จะต้องจดโดเมนเนมก่อน และปัจจุบันมีตัวเลือกหลายช่องทางในการจดโดเมน ยิ่งตัวเลือกมากก็ทำให้เกิดคำถามว่าจดโดเมนที่ไหนดีที่สุด ครั้งนี้ทางบทความจึงจะนำข้อมูลความรู้มาฝากเบื้องต้น ดังนี้

 

จดโดเมนที่ไหนดี พิจารณาจากอะไร

 

ในการเลือกว่าจะจดโดเมนที่ไหนดี สามารถพิจารณาได้จากราคาและสิทธิประโยชน์ท่ีจะได้รับ แน่นอนว่าท่ามกลางผู้ให้บริการในการจดโดเมนที่มีอยู่หลากหลาย ย่อมมีสิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกันออกไป รวมถึงเรื่องของราคาแพ็กเกจ มากไปกว่านั้นก็คือความเป็นมืออาชีพในการให้บริการ

 

จดโดเมนที่ไหนดี สามารถจดเป็นภาษาไทยได้ไหม

 

หลายครั้งที่ผู้สร้างเว็บไซต์ภาษาไทยก็อาจจะอยากได้โดเมนภาษาไทยด้วย ซึ่งการจดโดเมนเป็นภาษาไทยนั้นสามารถทำได้ แต่ก็ต้องเลือกผู้ให้บริการที่รองรับการจดโดเมนภาษาไทยด้วย เพราะผู้ให้บริการด้านการจดโดเมน ไม่ได้รองรับการจดโดเมนเป็นภาษาไทยทุกราย

จดโดเมนที่ไหนดี แนะนำผู้ให้บริการ 

 

จดโดเมนที่ไหนดี มาส่องรายชื่อผู้ให้บริการได้ที่นี่เลย

 

1.GoDaddy

 

แนะนำแหล่งบริการที่แรกกับ GoDaddy หากใครยังคิดไม่ออกว่าจะจดโดเมนที่ไหนดี ลองให้ที่นี่เป็นตัวเลือกด้วยการจดโดเมนราคาถูกเพียง ฿35.49 เท่านั้น นับเป็นราคาที่ถูกมากสำหรับผู้ที่เริ่มต้นทำเว็บไซต์ ขั้นตอนการจดโดเมนเพียงสมัครสมาชิกเปิดบัญชี

 

มาพร้อมบริการเสริมมากมายที่น่าสนใจ เช่น ความเป็นส่วนตัวและการคุ้มครองของโดเมนเต็มรูปแบบ หรือถ้าหากอยากได้โดเมนราคาถูกมากกว่าหนึ่งโดเมน ก็สามารถเลือกการจดทะเบียนแบบกลุ่มกับ GoDaddy ได้ด้วย นอกจากนี้ GoDaddy ยังมีบริการโฮสติ้ง ซึ่งถ้าหากผู้ใช้งานเลือกใช้บริการนี้จะได้รับบริการจดโดเมนฟรีอีกด้วย

 

2.Z.com 

 

จดโดเมนที่ไหนดี ขอแนะนำผู้ให้บริการที่ชื่อว่า Z.com มาพร้อมประสบการณ์กว่า 20 ปี ที่นี่ก็เป็นอีกหนึ่งผู้ให้บริการจดโดเมนเนมราคาถูกเริ่มต้นเพียง 380 บาท สำหรับโดเมน .com นอกจากนี้ยังมีให้เลือกอีกหลากหลาย อาทิ .org .mobi .net .cars เป็นต้น โดยผู้ให้บริการจดโดเมนรายนี้ยังรองรับการจดโดเมนเนมภาษาไทยอีกต่างหาก

 

ความน่าสนใจอื่นๆ ของ Z.com คือทางผู้ให้บริการได้พัฒนา Control Panel ขึ้นเองเพื่อรองรับการใช้งานที่ง่ายดาย ทำให้ลูกค้าสามารถจัดการโดเมนได้เองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขข้อมูลเจ้าของโดเมน (WHOIS), NameServer, DNS, ต่ออายุ โดยไม่ต้องรอเจ้าหน้าที่

 

3.ecomsiam

 

จดโดเมนที่ไหนดี หากต้องการจดโดเมนเนมภาษาไทย ขอแนะนำอีกหนึ่งผู้ให้บริการนามว่า ecomsiam ในส่วนของราคาจดโดเมนเนม หากเป็นราคา .com จะอยู่ที่ 590 บาท/ปี .net จะอยู่ที่ 590 บาท/ปี .co.th จะอยู่ที่ 800 บาท/ปี และ .ac.th ก็จะอยู่ที่ 800 บาท/ปี เช่นกัน

 

การเลือกจดโดเมนกับ ecomsiam จะมีระบบล็อคอินผู้ใช้และรหัสผ่าน รองรับการจัดการโดเมนเนม มั่นใจได้ว่าโดเมนเนมที่จดนั้น ทางลูกค้าเป็นเจ้าของโดเมนอย่างถูกต้อง 100% มีระบบปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและองค์กรด้วย WHOIS ของโดเมนเนมลูกค้า โดยไม่มีการเรียกเก็บบริการเพิ่มเติมในส่วนนี้

 

4.PORAR

 

แนะนำแหล่งจดโดเมนเนมกันต่อกับ PORAR อีกหนึ่งผู้ให้บริการที่น่าสนใจไม่แพ้ที่อื่น รองรับการจดโดเมนเนมภาษาไทยอีกเช่นเคย ค่าบริการเริ่มต้นที่ 550 บาท/ปี สำหรับการจดโดเมนเนมชื่อสากล และเริ่มต้น 595 บาท/ปี สำหรับการจดโดเมนเนมภาษาไทย

 

สิ่งที่น่าสนใจหากเลือกจดโดเมนเนมกับ PORAR คือ ความปลอดภัยในการปกป้องข้อมูล และลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของโดเมนเนม 100% โดยจะได้รับ Username/Password ในการ Login เข้าสู่ระบบจัดการโดเมนเนม และสามารถเปลี่ยนย้ายโฮสติ้ง หรือเปลี่ยนย้ายไปต่ออายุกับที่อื่นก็ได้หากต้องการ

 

5.DotSiam

 

แนะนำแหล่งจดโดเมนเนมกันต่อกับ DotSiam สำหรับการจดโดเมนเนม .com ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 439 บาท สามารถจดทะเบียนได้ตั้งแต่ 1-10 ปี รองรับด้วยบริการจดโดเมนระบบเติมเงิน (Prepaid Domain Account) เป็นบริการที่ให้ลูกค้าสามารถเติมเงินเข้าสู่ระบบจดโดเมนของดอทสยาม เป็นยอดเงินสำหรับจดโดเมนภายใต้บัญชีดอทสยาม ซึ่งสามารถจดโดเมน และเปิดใช้งานโดเมนได้ด้วยตัวเองง่ายๆ ผ่านระบบจัดการโดเมนของดอทสยาม รองรับการจดโดเมนใหม่ (Registration) การย้ายโดเมน (Transfer) และการต่ออายุโดเมน (Renewal)

6.SiamDomain

 

บริการรับจดโดเมนเนม SiamDomain อีกหนึ่งผู้ให้บริการที่มาพร้อมค่าบริการ .com ที่ 490 บาท .net ราคา 600 บาท .co.th ราคา 850 บาท และ .in.th ราคา 650 บาท SiamDomain มีประสบการณ์กว่า 17 ปี ด้านการให้บริการจดโดเมนเนม ปัจจุบัน SiamDomain เป็นผู้บริหารจัดการโดเมนให้กับบุคลและองค์กรในประเทศไทยจำนวนกว่า 30,000 ราย

 

 

7.รู้จักดอทไทย

 

สำหรับคนที่กำลังคิดว่าจะจดโดเมนที่ไหนดี ที่รองรับการจดโดเมนเนมเป็นภาษาไทย ขอแนะนำผู้ให้บริการ รู้จักดอทไทย หรือ รู้จัก.ไทย ผู้ให้บริการในฐานะนักพัฒนาระบบที่ต้องการเป็นที่ยอมรับในระดับสากล เพื่อทำให้ “ภาษา” ไม่เป็นอุปสรรคในการใช้งานบนโลกอินเตอร์เน็ตอีกต่อไป

7.THNIC.co.th

บริการรับจดโดเมนเนมจาก THNIC เป็นผู้ดูแลโดเมน .th ส่วนเจ้าอื่นๆ เป็นตัวแทนจาก THNIC อีกที โดยต้องใช้เอกสารยืนยันตัวตน หากเป็น  .co.th จะใช้เอกสารนิติบุคคลของบริษัท ส่วน .th หรือ .in.th ต้องใช้บัตรประชาชน หรือจะเป็น .go.tc หรือ .รัฐบาล.ไทย ยืนยันด้วยเอกสาร พ.ร.บ. จัดตั้งหน่วยงาน หรือ หนังสือราชการแจ้งรับรองชื่อโดเมน

 

กล่าวโดยสรุปว่าจะเลือกจดโดเมนที่ไหนดี ควรเลือกให้เหมาะกับการใช้และงบประมาณที่มี หากเป็นผู้เริ่มต้นทำเว็บไซต์ อาจทดลองจดโดเมนแบบราคาถูกดูก่อน แล้วค่อยย้ายโดเมนภายหลังได้ แต่ถ้าเลือกใช้บริการโฮสติ้งด้วย ก็อาจจะเลือกผู้ให้บริการเช่าโฮสติ้งและฟรีค่าจดโดเมนเนมให้ด้วยได้ ก็จะเพิ่มระดับความคุ้มค่าในการจดโดเมนเนมครั้งนั้น

]]>
แนะนำเว็บเรียนออนไลน์ การศึกษาไทย อยู่ที่ไหนก็เรียนได้  https://seomasterth.com/%e0%b9%81%e0%b8%99%e0%b8%b0%e0%b8%99%e0%b8%b3%e0%b9%80%e0%b8%a7%e0%b9%87%e0%b8%9a%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%99%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b9%84%e0%b8%a5%e0%b8%99%e0%b9%8c/ Wed, 28 Feb 2024 12:45:33 +0000 https://seomasterth.com/?p=28415 แนะนำเว็บเรียนออนไลน์ การศึกษาไทย อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ 

 

แนะนำเว็บเรียนออนไลน์ การศึกษาไทย ตอบโจทย์การศึกษาแบบไร้ข้อจำกัดในเรื่องของการเดินทาง ที่สำคัญคอร์สเรียนหลายๆ คอร์สสามารถเข้าเรียนได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย บางคอร์สยังมีใบ Certificate ให้ด้วย ช่วยให้ผู้เรียนสามารถนำไปสะสมใน Portfolio ได้ ต่อยอดการประกอบอาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

1.Thai Mooc

 

แนะนำเว็บเรียนออนไลน์ การศึกษาไทย เว็บแรกกับ Thai Mooc เว็บไซต์ที่เปรียบเสมือน Hub ขนาดใหญ่ด้านการศึกษา มีวิชาให้ศึกษาเล่าเรียนหลากหลาย ทันทีที่เข้าหน้าเว็บไซต์ จะเจอกับหมวดหมู่รายวิชามากมายให้เลือกเรียน อาทิ คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์, ภาษาและการสื่อสาร, คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี, สังคม การเมืองการปกครอง เป็นต้น เมื่อคลิกเข้าไปในหมวดหมู่เหล่านี้ ก็จะมีคอร์สเรียนหลากหลายให้เลือกในหมวดหมู่นั้น

 

ทั้งนี้นอกจากการเลือกเรียนจากหมวดหมู่วิชา ยังสามารถเลือกเรียนคอร์สจากหน่วยงานได้ โดยการไปที่ “หน่วยงาน” ก็จะขึ้นหน่วยงานที่ร่วมลงคอร์สสอนในเว็บ อาทิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นต้น

 

เนื้อหาการสอนในเว็บนี้จะครอบคลุมตั้งแต่เนื้อหาการศึกษาในห้องเรียน การศึกษาในมหาวิทยาลัย ไปจนถึงเนื้อหาการสอนเรื่องอื่นๆ อย่างเนื้อหาเกี่ยวกับการเงินการลงทุนที่สอนโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือเนื้อหาเกี่ยวกับสุขภาพที่สอนโดยกรมควบคุมโรคสังกัดกระทรวงสาธารณสุข

 

2.ทรูปลูกปัญญา

 

แนะนำเว็บเรียนออนไลน์ การศึกษาไทย เว็บถัดมากับ ทรูปลูกปัญญา เป็นอีกหนึ่งเว็บไซต์ที่มีความน่าสนใจมาก เพราะมีคอร์สเรียนตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาไปจนถึงระดับชั้นมหาวิทยาลัย มีทั้งคลังบทเรียนและคลังข้อสอบ สามารถใช้เครื่องมือบนเว็บไซต์ในการเลือกบทความ ว่าจะเลือกเรียนเนื้อหาของระดับชั้นไหน และสามารถใช้คำค้นในการหาบทเรียนได้ด้วย นอกจากคอร์สเรียนยังมีบทความต่างๆ ที่เกี่ยวกับการศึกษาให้ผู้ใช้งานได้อ่านกันอีกด้วย เช่น เทคนิคการทำคะแนนในห้องสอบ, ม.5 เตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย เป็นต้น

 

3.Chula MOOC

 

หากจะต้องแนะนำเว็บเรียนออนไลน์ การศึกษาไทย คงขาดเว็บนี้ไปไม่ได้กับ Chula MOOC ที่สอนโดยทีมคณาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รองรับการเรียนการสอนออนไลน์โดยไม่มีค่าใช้จ่ายอีกหนึ่งเว็บไซต์ อีกทั้งยังได้ใบ Certificate อีกต่างหาก เนื้อหาการสอนแบ่งเป็นเนื้อหาสำหรับนิสิตจุฬาและบุคลากร และเหมาะกับบุคคลทั่วไป ทั้งยังเหมาะกับ Partner ในส่วนของหมวดวิชาแบ่งเป็น ภาษา, เทคโนโลยี, การจัดการ, ศิลปะและการพัฒนาตัวเอง, สุขภาพ หากสนใจเข้าเรียนจะต้องลงทะเบียนเข้าเรียนกับทางเว็บไซต์

 

4.Mahidol University Extension

 

ถัดมากับการแนะนำเว็บเรียนออนไลน์ การศึกษาไทย นั่นก็คือ Mahidol University Extension ที่สอนโดยทีมคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยมหิดล แต่เนื้อหาที่สอนเหมาะกับการพัฒนาตัวเอง ไม่ใช่เนื้อหาวิชาการ กลุ่มคนที่เหมาะคือนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยและผู้ใหญ่ ยกตัวอย่างคอร์สเรียนที่เปิดสอน เช่น การบริหารธุรกิจทางทันตกรรมสำหรับมือใหม่, การฟังและการพูดเพื่อการสื่อสาร, วิธีการใช้ชีวิตสมัยใหม่, ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน, Listening and Speaking for Communication เป็นต้น

5.CMU Lifelong Education

 

ถัดมากับการแนะนำเว็บเรียนออนไลน์ การศึกษาไทย จัดทำโดยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มาพร้อม Concept ที่ว่า “การเรียนรู้เพื่อตอบโจทย์คนทุกช่วงวัย เพราะทุกคนคือ Lifelong Learner” เนื้อหาในเว็บไซต์นี้เหมาะกับคนวัยเรียนระดับมัธยมและระดับอุดมศึกษา ไปจนถึงคนวัยทำงานและวัยเกษียณ จุดประสงค์หลักคือการเพิ่มโอกาสจากการเรียนรู้ หลักสูตรแบ่งออกเป็นหลักสูตรเพื่อสังคม และหลักสูตร Reskill/Upskill

 

6.CMU mooc

 

แนะนำเว็บเรียนออนไลน์ การศึกษาไทยถัดมา ยังคงเป็นเว็บไซต์ที่จัดทำโดยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หลักสูตรที่สอนจะเน้นการสร้างอาชีพและการสร้างรายได้ มีหลักสูตรหลากหลายให้เลือกเรียน โดยหลักสูตรหลายหลักสูตรสามารถเข้าเรียนได้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย หลังเรียนจบหลักสูตรหากผู้เรียนทำตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ จะได้ประกาศนียบัตร

 

7.PSU MOOC

 

แนะนำเว็บเรียนออนไลน์ การศึกษาไทยถัดมากับ PSU MOOC จัดทำโดยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ คอนเซปต์เดียวกันกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นั่นคือ Lifelong Learner เนื้อหาในเว็บไซต์นี้เหมาะกับคนวัยเรียนระดับมัธยมและระดับอุดมศึกษา ไปจนถึงคนวัยทำงานและวัยเกษียณ หมวดหมู่รายวิชามีหลากหลาย ได้แก่ ศิลปะและวัฒนธรรม, การจัดการ, วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์, วิทยาศาสตร์ข้อมูล, ดิจิทัลมีเดีย, การศึกษา, สุขภาพ, มนุษย์และสังคม, ภาษา, การพัฒนาตนเอง, วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสัตวแพทย์

8.KKUx

 

แนะนำเว็บเรียนออนไลน์ การศึกษาไทยถัดมากับ KKUx จัดทำโดยมหาวิทยาลัยขอนแก่น ภายในเว็บไซต์มีคอร์สเรียนหลากหลายด้วยกัน ถูกแบ่งหมวดหมู่เอาไว้ ได้แก่ ธุรกิจและการตลาด, การวิเคราะห์ข้อมูลและวิทยาศาสตร์ข้อมูล, เทคโนโลยีดิจิทัล, อาหารปลอดภัยและสุขภาพ, การสอนและการเรียนรู้, การแพทย์และการพยาบาล, การพัฒนาตัวเอง, ทักษะของวันพรุ่งนี้, บัณฑิตวิทยาลัย, เทรนนิ่ง และความเชี่ยวชาญทางดิจิทัล

 

9.KLIX

 

แนะนำเว็บเรียนออนไลน์ การศึกษาไทยถัดมากับ KMITL Learning IntelligenceX จัดทำโดยสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มาพร้อมกับหลักสูตรหลากหลาย ที่สามารถเรียนออนไลน์ได้ทุกที่ทุกเวลา คอร์สเรียนครอบคลุมการพัฒนาตัวเองและเสริมสร้างความรู้ด้านต่างๆ ทั้งด้านการบริหารธุรกิจ ด้านเทคโนโลยี ด้านนวัตกรรม ด้านการเสริมสร้างจิตใจ ด้านอาหาร ด้านซอฟต์แวร์ ด้านการเสริมสร้างบุคลิกภาพ และอื่นๆ

 

10.CMRU MOOC

 

ปิดท้ายด้วย CMRU MOOC จัดทำโดยมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ มาพร้อมกับหลักสูตรหลากหลายเช่นกัน ยกตัวอย่างหลักสูตร เช่น

เจาะลึก ChatGPT เพื่อยกระดับการจัดการสอนยุคดิจิทัลในบริบทของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่,

การสร้างรายงานสารสนเทศด้วย Google Looker Studio เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการสอนและการทำงาน, รอบรู้เรื่องการเงินก่อนจบการศึกษา, การจัดการพาณิชย์ดิจิทัล เป็นต้น

 

ผ่านไปแล้วกับการแนะนำเว็บเรียนออนไลน์ การศึกษาไทย ที่สามารถเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา ผ่านอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับผู้ที่รักในการเรียนรู้ คอร์สเรียนในเว็บไซต์เหล่านี้ ล้วนเป็นประโยชน์กับผู้เรียน ทั้งยังช่วยส่งเสริมสังคมได้

]]>
รวม 10 ตัวอย่างเว็บไซต์ท่องเที่ยว https://seomasterth.com/%e0%b8%a3%e0%b8%a7%e0%b8%a1-10-%e0%b8%95%e0%b8%b1%e0%b8%a7%e0%b8%ad%e0%b8%a2%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b9%80%e0%b8%a7%e0%b9%87%e0%b8%9a%e0%b9%84%e0%b8%8b%e0%b8%95%e0%b9%8c%e0%b8%97%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%a2%e0%b8%a7/ Wed, 28 Feb 2024 12:44:54 +0000 https://seomasterth.com/?p=28398 รวม 10 ตัวอย่างเว็บไซต์ท่องเที่ยว

 

เว็บไซต์ท่องเที่ยวเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์การเดินทางด้วยการจองที่พักและสายการบิน อีกทั้งยังเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการที่พักต่างๆ เมื่อในปัจจุบันผู้เดินทางทั้งหลาย ต่างก็ใช้งานเว็บไซต์ท่องเที่ยวในการจองที่พักกันเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นการนำที่พักมาประกาศในเว็บไซต์ท่องเที่ยว ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสให้คนเข้าพักได้มากขึ้น ครั้งนี้ทางบทความก็ได้รวบรวมเอา 10 ตัวอย่างเว็บไซต์ท่องเที่ยวมาฝาก ดังนี้

 

1.Agoda 

 

ถือเป็นเว็บไซต์ท่องเที่ยวอันดับแรกๆ ที่หลายคนนึกถึง เมื่อต้องการจองที่พัก ด้วยการทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพของ Agoda ทำให้ถูกค้นหาเจอในอันดับแรกๆ เมื่อถูกค้นเจอบ่อยเข้า ก็ทำให้ Agoda เป็น Top of mine หรือเป็นแบรนด์แรกหลายคนนึกถึงเมื่อต้องการจองที่พัก

 

นอกจากบริการจองที่พักแล้ว Agoda ยังให้บริการจองตั๋วเครื่องบินอีกด้วย ทำให้ผู้เดินทางทั้งหลาย สามารถจองครบจบบนเว็บเดียวได้ ปิดท้ายความน่าสนใจของเว็บนี้ก็คือการมีดีลพิเศษอีกมากมาย ทำให้การจองที่พักสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ในระดับหนึ่ง จึงไม่แปลกใจที่ใครหลายคนเลือกใช้บริการกับ Agoda

 

2.Expedia

 

ตัวอย่างเว็บไซต์ท่องเที่ยวถัดมาคือ Expedia สามารถจองได้ทั้งที่พักและสายการบินเช่นกัน แต่มากไปกว่านั้น Expedia ยังรองรับการจองรถเช่าด้วย ฟีเจอร์การใช้งานมีความสะดวกเช่นเดียวกับเว็บไซต์ท่องเที่ยวทั่วไป สามารถเลือกดูโรงแรมเรียงจากราคาต่ำไปราคาสูงด้วย มีตัวกรองให้ใช้งานที่ค่อนข้างครอบคลุมความต้องการของคนที่กำลังมองหาที่พัก

 

3.Traveloka

 

มาต่อกันที่อีกหนึ่งตัวอย่างเว็บไซต์ท่องเที่ยวกับ Traveloka เว็บไซต์ที่รองรับการจองที่พัก จองตั๋วเครื่องบิน จองรถเช่า และจองบริการรับส่งสนามบิน รองรับด้วยแพลตฟอร์มที่ถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้อย่างง่ายดาย มีความสะดวกในการเลือกที่พัก นอกจากนี้ยังมีบทความดีๆ ที่นำเสนอเรื่องราวน่าสนใจที่ช่วยเติมเต็มทริปเที่ยวให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้นอีกด้วย สามารถหาอ่านเรื่องราวดีๆ ได้ที่ Traveloka

 

4.Travizgo

 

ตัวอย่างเว็บไซต์ท่องเที่ยวเว็บนี้ชื่อว่า Travizgo รองรับการจองโรงแรม จองตั๋วเครื่องบิน ตั๋วรถไฟ รถเช่า ประกันเดินทาง และจองทัวร์แบบเป็นแพคเกจได้ด้วย มาพร้อมโปรโมชั่นมากมาย ตัวเว็บไซต์ออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่าย มีหน้าเพจสำหรับโปรโมชั่นโดยเฉพาะซึ่งจะรวบรวมทุกดีลเอาไว้ในนั้น นอกจากนี้ยังมีหน้าบล็อกที่รวมบทความน่าสนใจเอาไว้ให้อ่านด้วย ช่วยเติมเต็มทริปให้สมบูรณ์แบบ

5.Hotel

 

ตัวอย่างเว็บไซต์ท่องเที่ยวอีกหนึ่งเว็บกับ Hotel.com เว็บไซต์รวบรวมที่พักเอาไว้มากมาย มีที่พักทุกแบบให้เลือก ไม่ว่าจะรีสอร์ท พูลวิลล่า คอนโด อพาร์ตเมนต์ โดยเว็บนี้จะเจาะจงไปที่การจองที่พักเป็นหลัก มีตัวกรองครอบคลุม สามารถเลือกที่พักติดทะเลได้ ที่พักรองรับการทำครัว ที่พักอนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยงเข้าได้ เว็บนี้จะค่อนข้างครบครันในเรื่องของที่พัก โดย Hotel.com จะเป็นบริการที่อยู่ในเครือของ Expedia

 

6.Airbnb

 

ตัวอย่างเว็บไซต์ท่องเที่ยวถัดมากับ Airbnb เว็บไซต์ที่ได้รับความนิยม ด้วยราคาน่ารักบวกกับที่พักส่วนหนึ่งเป็นที่พักของเจ้าของบ้านปล่อยเช่าเอง หรือเจ้าของห้องปล่อยเช่าเอง หลายครั้งผู้ใช้งานใน Airbnb อาจได้ที่พักขนาดใหญ่กว่าที่พักในแอปอื่นในราคาที่เท่ากัน

 

7.Trip

 

ตัวอย่างเว็บไซต์ท่องเที่ยวเว็บนี้ชื่อว่า Trip.com เป็นอีกหนึ่งเว็บไซต์ที่ตอบโจทย์การจองที่พักและสายการบิน ทั้งยังสามารถจองรถเช่า จองตั๋วรถไฟ และตั๋วท่องเที่ยวอื่นๆ ได้อีกด้วย มีทัวร์ให้เลือกจองผ่าน Trip.com ได้ ทั้งยังมีดีลพิเศษที่น่าสนใจ

8.Booking

 

ตัวอย่างเว็บไซต์ท่องเที่ยวเว็บที่น่าสนใจอีกหนึ่งเว็บไซต์กับ Booking เว็บจองโรงแรมที่ได้รับความนิยมไม่น้อยไปกว่าหลายๆ เว็บไซต์ เป็นอีกหนึ่งเว็บที่ทำ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากต้องการจองที่พักและมีการค้นหาผ่าน Google หลายครั้ง Google ก็จะแสดงผลการค้นหาบนเว็บ Booking มาให้ สำหรับการให้บริการของ Booking ไม่เพียงแต่จองที่พักเท่านั้น แต่ยังสามารถจองเที่ยวบินได้ด้วย นอกจากนี้ยังมีบริการเช่ารถบนเว็บรองรับอีกด้วย

 

9.Tripadvisor

 

ตัวอย่างเว็บไซต์ท่องเที่ยวถัดมากับ Tripadvisor เว็บนี้ไม่ได้รองรับการจองที่พัก แต่จะรวบรวมที่พักที่น่าสนใจเอาไว้ให้พร้อมกับข้อเสนอจากเว็บจองที่พักต่างๆ แสดงขึ้นมาเปรียบเทียบกัน ให้ได้เห็นชัดเจน มีลิงค์เชื่อมต่อไปยังหน้าจองโรงแรมบนเว็บนั้นๆ โดยเว็บไซต์จะรองรับการจองโต๊ะในร้านอาหารเป้าหมายของผู้เดินทาง เป็นการจองผ่านระบบออนไลน์ นอกจากนี้ยังมีรีวิวที่พัก รีวิวร้านอาหารต่างๆ ให้อ่านมากมาย มีการรวบรวมสถานที่ในหมวดหมู่เดียวกัน แสดงเป็นรายการให้ผู้ใช้งานได้เลือกอ่านรีวิวและเลือกจองอีกด้วย เช่น 10 สถานที่ท่องเที่ยวที่ดีที่สุดใน พัทยา, 10 ร้านอาหารที่ดีที่สุดในกรุงเทพมหานคร, 10 โรงแรมที่ดีที่สุดใน โตเกียว เป็นต้น

 

10.Kayak

 

ตัวอย่างเว็บไซต์ท่องเที่ยวเว็บสุดท้ายของบทความนี้คือ Kayak ลักษณะคล้ายกับเว็บ Tripadvisor ที่มีการรวบรวมโรงแรมที่พักเอาไว้หลากหลาย แต่เว็บนี้มีเที่ยวบินให้เลือกด้วย แต่จะไม่สามารถจองผ่าน Kayak ได้ เพราะเว็บนี้เพียงแค่รวบรวมที่พักและเที่ยวบินเอาไว้ รวมถึงรวบรวมดีลจากเว็บจองที่พัก เปรียบเทียบราคาเอาไว้ให้ด้วย เมื่อต้องการจองที่พักหรือเที่ยวบิน ทางเว็บ Kayak จะส่งต่อไปยังเว็บปลายทางที่รับจองโรงแรมและเที่ยวบิน

 

ทั้งหมดนี้ก็เป็นตัวอย่างเว็บไซต์ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากนักเดินทางทั้งหลาย ส่วนหนึ่งที่เว็บไซต์ได้คะแนนความนิยมมาก ก็คือการทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ติดอันดับบน Google กลายเป็นเว็บไซต์ที่หลายๆ คนคุ้นเคย และรู้จักเป็นอย่างดี

]]>
รวม 10 ตัวอย่างเว็บไซต์ขายของร้านค้าออนไลน์ https://seomasterth.com/%e0%b8%a3%e0%b8%a7%e0%b8%a1-10-%e0%b8%95%e0%b8%b1%e0%b8%a7%e0%b8%ad%e0%b8%a2%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b9%80%e0%b8%a7%e0%b9%87%e0%b8%9a%e0%b9%84%e0%b8%8b%e0%b8%95%e0%b9%8c%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%82%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%a3%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%84%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b9%84%e0%b8%a5%e0%b8%99%e0%b9%8c/ Wed, 28 Feb 2024 12:43:55 +0000 https://seomasterth.com/?p=28393 รวม 10 ตัวอย่างเว็บไซต์ขายของร้านค้าออนไลน์

 

สำหรับคนที่อยากเปิดร้านออนไลน์ อาจกำลังหาช่องทางในการเปิดร้านค้าออนไลน์บนเว็บไซต์ต่างๆ อยู่ บทความนี้จึงถือโอกาสรวบรวม 10 ตัวอย่างเว็บไซต์ขายของร้านค้าออนไลน์มาฝาก รองรับการเปิดร้านค้าออนไลน์ทั้งในลักษณะของแพลตฟอร์มร้านค้าที่มีระบบตะกร้าหรือรถเข็น ที่สามารถสั่งซื้อสินค้าได้ และลักษณะอื่นๆ บางเว็บอาจมีการเชื่อมต่อระบบชำระเงินเสร็จสรรพ จะมีเว็บไหนบ้างน้ัน บทความนี้รวบรวมเป็นตัวอย่างเอาไว้ให้แล้ว ดังนี้

 

1.Shopee

 

ตัวอย่างเว็บไซต์ขายของร้านค้าออนไลน์เว็บแรก ขอยกแพลตฟอร์มที่โดดเด่นในวงการร้านค้าออนไลน์กับ https://shopee.co.th/ เป็นเว็บขายสินค้าหลากหลาย รองรับทั้งเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ เครื่องสำอาง เฟอร์นิเจอร์ สินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ Shopee เป็นเว็บไซต์ยอดนิยมที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก ทำให้โอกาสในการขายสินค้ามีมากตามไปด้วย

 

วิธีเริ่มต้นการใช้งาน อับดับแรกให้สมัครบัญชี Shopee ก่อน แล้วเข้าสู่ระบบเพื่อเริ่มใช้งาน หากเข้าผ่านคอมพิวเตอร์ สังเกตที่มุมซ้ายบน จะมีปุ่ม Seller Centre อยู่ สามารถคลิกเข้าไปได้เลย เพื่อจัดการร้านค้า หากเข้าระบบในมือถือให้เข้าที่ “ฉัน” ตรงมุมล่างขวา จากนั้นสังเกตที่มุมบนซ้ายจะมีปุ่ม “ร้านของฉัน” สามารถคลิกตรงนั้นได้เลย

 

2.Lazada

 

อีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่มีความนิยมไม่น้อยไปกว่า Shopee นั่นก็คือ Lazada มีผู้ใช้งานจำนวนมากเช่นกัน ทำให้การเปิดร้านค้าออนไลน์กับ Lazada มีโอกาสขายสินค้าได้ง่าย วิธีการเริ่มขายสินค้ากับ Lazada คือต้องมีบัญชีผู้ใช้งาน Lazada ก่อน จากนั้นเข้าสู่ Lazada Seller Center ก็จะสามารถเปิดร้านกับลาซาด้าได้ สามารถลงขายสินค้าได้ และจัดการส่วนต่างๆ ในร้านค้าได้ผ่าน  Lazada Seller Center

 

วิธีเริ่มต้นการใช้งาน อับดับแรกให้สมัครบัญชี Lazada ก่อน แล้วเข้าสู่ระบบเพื่อเริ่มใช้งาน หากเข้าผ่านคอมพิวเตอร์ สังเกตที่แถบด้านซ้าย จะมีปุ่ม “ขายของในลาซาด้า” อยู่ สามารถคลิกเข้าไปได้เลย เพื่อจัดการร้านค้า หากเข้าระบบในมือถือให้เข้าที่ “Account” จากนั้นเลื่อนไปด้านล่างจะมีปุ่ม “Sell on Lazada” สามารถคลิกตรงนั้นได้เลย

 

3.LnwShop

 

ตัวอย่างเว็บไซต์ขายของร้านค้าออนไลน์ถัดมาคือ LnwShop ที่เปิดให้บริการร้านค้าออนไลน์ หากใครเคยซื้อของออนไลน์บนเว็บไซต์ ก็น่าจะคุ้นๆ กับแพลตฟอร์มนี้อยู่บ้าง เพราะมีร้านค้าหลายร้านที่เลือกใช้บริการกับเว็บนี้ โดยร้านค้าที่เลือกใช้บริการจะได้รับ URL ร้านที่สามารถตั้งชื่อร้านของตัวเองได้เลย

 

4.TARAD

 

ตัวอย่างเว็บไซต์ขายของร้านค้าออนไลน์ถัดมาคือ TARAD.com (ตลาดดอทคอม) รองรับการเปิดร้านค้าออนไลน์ที่สามารถขายสินค้าได้หลากหลาย มีระบบตะกร้าสินค้าให้ใช้งาน สามารถจัดการออร์เดอร์ จัดการสต๊อกได้ภายในระบบของตลาดดอทคอม ทั้งยังเชื่อมต่อระบบขนส่ง ทำให้รับรู้สถานะการขนส่งสินค้าได้แบบ Real-Time ทั้งฝั่งผู้ซื้อและผู้ขาย

5.PantipMarket

 

อีกหนึ่งตัวอย่างเว็บไซต์ขายของร้านค้าออนไลน์ ขอแนะนำ PantipMarket ที่อยู่คู่สังคมไทยมาอย่างยาวนาน ด้านการขายสินค้าออนไลน์ แพลตฟอร์มรองรับการลงประกาศขายสินค้าเป็นหลัก ระบบมีการจัดหมวดหมู่รองรับ สามารถขายสินค้าได้หลากหลาย ตั้งแต่เสื้อผ้า ของใช้สัตว์เลี้ยง เครื่องสำอาง โทรศัพท์มือถือ กล้อง พระเครื่อง ไปจนถึงอสังหาริมทรัพย์ ไม่มีตะกร้าสินค้า โดยในการซื้อขายสินค้า บริษัท พันทิปมาร์เก็ต จำกัด รับหน้าที่เป็นตัวกลางการชำระเงิน ลูกค้าสามารถโอนเงินเข้าบริษัทจนกว่าจะได้สินค้า แล้วค่อยให้ บริษัท พันทิปมาร์เก็ต จำกัด โอนเงินให้ผู้ขายสินค้าอีกที

 

6.Kaidee

 

เว็บไซต์ขายของร้านค้าออนไลน์ อีกหนึ่งตัวอย่างคือ Kaidee เว็บนี้มีจุดเริ่มต้นคือการขายสินค้ามือสอง แต่ปัจจุบันก็มีผู้ค้าบางรายนำสินค้ามือหนึ่งไปลงประกาศขายร่วมด้วย หากสนใจก็สามารถเปิดร้านขายสินค้าออนไลน์บน Kaidee ได้ โดยการสมัครบัญชี และตั้งชื่อบัญชีด้วยชื่อร้าน จากนั้นก็ลงขายสินค้าที่ต้องการ มีระบบแชทรองรับ สามารถพูดคุยสอบถามเรื่องชำระเงินได้ รวมถึงการจัดส่ง

 

7.TikTok Shop

 

ตัวอย่างเว็บไซต์ขายของร้านค้าออนไลน์ถัดมา คือ TikTok Shop อีกหนึ่งแพลตฟอร์มมาแรง ที่รองรับการซื้อขายสินค้าออนไลน์ มีระบบตะกร้าสินค้ารองรับ สามารถลงขายสินค้าได้ทั้งแบบภาพนิ่งและคลิปวีดิโอ สามารถจัดการร้านค้าออนไลน์ได้ผ่านระบบ TikTok Seller Center ที่รองรับการจัดการสินค้าในร้าน การตรวจสอบออร์เดอร์ การรับชำระเงิน ไปจนถึงการยิงแอดโฆษณา

8.LINE SHOPPING

 

แพลตฟอร์มเว็บไซต์ขายของร้านค้าออนไลน์ที่พัฒนามาจาก Social Media อีกหนึ่งแพลตฟอร์มก็คือ LINE SHOPPING อาศัยฐานผู้ใช้งานแอปพลิเคชั่น LINE ที่สามารถนำมาต่อยอดเป็นผู้ค้าและลูกค้าที่ทำการซื้อขายสินค้าบน LINE SHOPPING ได้ มีระบบตะกร้าสินค้ารองรับ สามารถขายสินค้าได้เหมือนกับ Shopee และ Lazada

 

9.Alibaba

 

เว็บไซต์ขายของร้านค้าออนไลน์ถัดมาที่อยากแนะนำคือ Alibaba เหมาะกับการขายสินค้าประเภทส่งออก ยิ่งถ้าหากมีโรงงานเป็นของตัวเอง การใช้งาน Alibaba จะค่อนข้างเหมาะ เพราะแพลตฟอร์มนี้เน้นการขายส่งสินค้าครั้งละจำนวนมากๆ ทั้งยังรองรับการติดต่อซื้อสินค้ากับพ่อค้าคนกลางจากทั่วโลก

 

10.Amazon

 

ตัวอย่างเว็บไซต์ขายของร้านค้าออนไลน์สุดท้ายคือ Amazon เป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์ม E-commerce รายใหญ่ที่มีฐานผู้ใช้งานทั่วโลก รองรับการขายสินค้าให้กับผู้ซื้อต่างประเทศเช่นกัน มาพร้อมระบบการจัดการสินค้าประสิทธิภาพสูง ช่วยให้ขายสินค้าได้อย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จ

 

ทั้งหมดนี้ก็เป็นตัวอย่างเว็บไซต์ขายของร้านค้าออนไลน์ทั้ง 10 เว็บไซต์ รองรับการเปิดร้านค้าออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ สำหรับใครที่กำลังจะก้าวเข้าสู่วงการพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ และกำลังมองหาเว็บไซต์เป็นช่องทางการขายสินค้า สามารถเลือกหนึ่งในสิบเว็บนี้ ไปใช้งานให้เหมาะกับธุรกิจของตัวเองได้เลย หรือจะเปิดร้านบนหลายๆ แพลตฟอร์มก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ

 

]]>
Mail Server คืออะไร รูปแบบกลไกในการทำงานเป็นอย่างไรบ้าง https://seomasterth.com/mail-server-%e0%b8%84%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b0%e0%b9%84%e0%b8%a3/ Mon, 19 Feb 2024 15:05:46 +0000 https://seomasterth.com/?p=28364 การติดต่อสื่อสารในยุคปัจจุบันต้องยอมรับว่าอินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทและเกี่ยวข้องแทบทุกเรื่อง เหตุเพราะผู้ใช้งานได้รับทั้งความสะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องเสียเงินแพง ๆ เหมือนยุคก่อน โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจจำนวนมากที่มักให้ความสำคัญไม่แพ้กับด้านอื่น “Mail Server” จึงกลายเป็นอีกทางเลือกชั้นยอดขององค์กรและผู้ใช้งานด้านการรับ-ส่งข้อความผ่านระบบออนไลน์จำนวนมาก ใครที่สงสัยว่า Mail Server คืออะไร มีกลไกการทำงานแบบไหนบ้าง ตามมาค้นหาข้อมูลทั้งหมดกันเลย!

Mail Server คืออะไร

Mail Server คือ อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ ใช้ในการส่ง Email แลกเปลี่ยน Email รับ Email ในกรณีที่เรามีอีเมลที่เป็นโดเมนของตัวเอง เช่น support@seomasterth.com เมลเซิฟเวอร์จะเป็นตัวกลางการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งสองเครื่องที่อยู่ห่างไกล Protocol ที่ใช้ในการคุยติดต่อสื่อสารหากันคือ IMAP, POP3, SMTP.

กลไกการทำงานของ Mail Server

ตามหลักกลไกการทำงานของ Mail Server จะแบ่งออกเป็น 3 องค์ประกอบสำคัญเพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้

1. การส่ง Email

โปรแกรม Postfix จะอยู่ในกลไกของการส่งอีเมล หลักการคือเมื่อผู้ใช้งานทำการสร้างอีเมลที่ตนเองต้องการเรียบร้อย จากนั้นจึงกดส่งผ่านระบบที่ใช้ เช่น Microsoft Outlook หรือเว็บเมลอื่น ๆ หลังทำการกดส่งเสร็จสิ้น Client จะมีการเชื่อมต่อกับตัวเครื่องเซิร์ฟเวอร์ผ่านการใช้งาน Protocol SMTP อีเมลดังกล่าวจึงถูกส่งมาเก็บไว้ที่ Mail Server เพื่อจัดลำดับในการส่งต่อไปสู่ปลายทาง (เป็นขั้นตอนของการ Relay Mail)

2. การแลกเปลี่ยน Email

เมื่อผู้ใช้งานทำการส่งอีเมลโดยมีจุดประสงค์ไปถึงผู้รับปลายทาง หลังเซิร์ฟเวอร์ได้รับอีเมลดังกล่าวจะมีการใช้โปรแกรม MTA หรือ Mail Transport Agent เข้ามาอ่านข้อมูล Address ผู้รับปลายทาง จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนการตรวจสอบว่า Mail Server เจ้าไหนคือผู้ให้บริการของผู้รับ เสร็จแล้วก็ติดต่อไปยังผู้ให้บริการดังกล่าวผ่าน SMTP เพื่อให้ปลายทางรับเอาอีเมลฉบับดังกล่าวไป

3. การรับ Email

กลไกสุดท้ายจะอยู่ในหมวดโปรแกรม Dovecot โดยผู้รับปลายทางสามารถรับอีเมลจากผู้ส่งได้ด้วยโปรแกรมรับส่งอีเมล หรือโปรแกรมเว็บเมล รูปแบบการทำงานคือ โปรแกรมดังกล่าวจะติดต่อไปยัง Mail Server จากนั้นจึงส่งชื่อ Username และ Password ไปให้ เมื่อเซิร์ฟเวอร์ตรวจสอบรายละเอียดเรียบร้อยพบว่าข้อมูลนั้นถูกต้องก็จะอนุญาตให้ผู้รับปลายทางสามารถรับอีเมลฉบับดังกล่าวได้ผ่าน Protocol POP3 หรือ IMAP4

หน้าที่เพิ่มเติมของ Mail Server

นอกจากการรับ – ส่งอีเมลเป็นหลักแล้ว Mail Server ยังมีหน้าที่อื่น ๆ เพิ่มเติมเสมือนเป็นการสร้างศักยภาพให้ตอบโจทย์ต่อผู้ใช้งานจำนวนมาก สามารถแบ่งเป็น 2 เรื่องได้ ดังนี้

1. การเก็บทุกข้อมูลจากอีเมล

ไม่ว่าข้อมูลใด ๆ ก็ตามที่อยู่บนระบบอีเมล ตัวเซิร์ฟเวอร์จะทำการเก็บรายละเอียดทั้งหมด เช่น อีเมลที่อยู่ใน Inbox, Outbox, Junk Mail และอื่น ๆ ไล่เรียงกันไปตั้งแต่ข้อความธรรมดามีแต่ตัวหนังสือ ไปจนถึงไฟล์ภาพ ไฟล์วิดีโอ ไฟล์แนบทุกประเภท ซึ่งพื้นที่การจัดเก็บอยู่ในฮาร์ดดิสก์ของ Mail Server

2. การกรองอีเมลสแปม / โฆษณา

เป็นเรื่องปกติเมื่อคุณใช้งานอีเมลแล้วมักพบว่าบ่อยครั้งก็ชอบมีอีเมลกลุ่มโฆษณาก่อกวน อีเมลสแปมส่งเข้ามาอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเคยสังเกตหรือไม่บางอีเมลก็ถูกกำจัดให้ไปอยู่ใน Junk Mail ทันที นั่นเพราะ Mail Server ได้ทำการกลั่นกรองข้อมูลอีเมลขาเข้าทั้งหมดว่าถูกจัดอยู่ในกลุ่มไหน และควรนำไปไว้โฟลเดอร์ใด หากอีเมล์ที่ส่งมาถูกประเมินแล้วว่านี่คือชื่ออีเมลที่น่าสงสัย หรือพบเจอการสแปมบ่อย ตัวอีเมลดังกล่าวก็จะถูกจัดการให้ไปอยู่ใน Junk Mail ซึ่งผู้รับก็ยังคงเปิดดูได้ตามปกติแต่จะมีระยะเวลาในการเก็บข้อมูล หากเกินจากที่กำหนดอีเมลดังกล่าวก็ถูกลบแบบอัตโนมัติทันที นี่เป็นอีกความสำคัญของการมี Mail Server ที่ดี เพราะถ้าไม่สามารถกรองอีเมลโฆษณา สแปมได้ แต่ละวันหน้ากล่องขาเข้าของคุณมักเต็มไปด้วยอีเมลขยะ ไร้สาระ

ความสำคัญของ Mail Server ต่อธุรกิจ

ตามที่อธิบายเอาไว้ตั้งแต่ต้นว่าปัจจุบันการรับ – ส่งอีเมลเป็นวิธียอดนิยมสำหรับคนทั่วโลกและทุกธุรกิจ ไม่จำเป็นต้องเสียเงินในการส่งจดหมายหรือแฟกซ์ แบบสมัยก่อน ดำเนินการได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว ตอบโจทย์กับการทำธุรกิจยุคใหม่เป็นอย่างยิ่ง บ่งบอกถึงภาพลักษณ์ ความทันสมัย และยังช่วยให้งานต่าง ๆ ดำเนินการภายในเวลาจำกัดได้ดีเยี่ยม สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลเชิงบวกต่อธุรกิจชัดเจน

ข้อควรระวังในการใช้งาน Mail Server

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องระวังเอาไว้อย่างหนึ่งเกี่ยวกับการใช้ Mail Server นั่นคือเรื่องของการถูกแฮ็ก (Hack) ข้อมูล หรือการโจรกรรมข้อมูลผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันเหล่าบรรดามิจฉาชีพเองก็พยายามทุกรูปแบบที่จะนำเอาข้อมูลลับขององค์กรนั้น ๆ มาหาผลประโยชน์ ด้วยเหตุนี้ผู้ดูแลระบบ หรือฝ่ายไอทีก็ต้องมีทักษะ ทำงานอย่างรัดกุม และสิ่งสำคัญต้องซื่อสัตย์ ไม่ขายข้อมูลขององค์กรเพื่อให้ตนเองได้รับประโยชน์แต่อีกหลายฝ่ายเดือดร้อน

Google Workspace หรือ G Suite

ปัจจุบันมีบริการจากกูเกิลให้เราสามารถใช้อีเมลที่มีโดเมนเว็บเรา แต่ใช้งานต่างๆผ่าน gmail และใช้ Mail Server ของ Google อีกด้วย ศึกษาเพิ่มเติมจากบทความนี้กันว่า G Suite คืออะไร

สรุป

การใช้งาน Mail Server กลายเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นกับองค์กรจำนวนมากภายใต้หลักทำงานอันแสนเข้าใจง่ายนั่นคือรับ – ส่งอีเมล และยังมีระบบเพิ่มเติมเพื่อช่วยสร้างความสะดวก รวดเร็ว ประหยัดต้นทุน แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็ต้องคอยระวังเรื่องการถูกโจรกรรมข้อมูล ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้เสมอหากไม่ตรวจสอบ อัปเดตความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ

]]>
VPS Hosting กับ Shared Hosting แตกต่างกันอย่างไร https://seomasterth.com/vps-hosting-vs-shared-hosting/ Mon, 19 Feb 2024 14:59:35 +0000 https://seomasterth.com/?p=28370 ในการทำเว็บไซต์ขึ้นมาสักหนึ่งเว็บ นอกจากเรื่องของการดีไซน์ ออกแบบ การเลือกข้อมูลทั้งเนื้อหา รูปภาพ คลิปวิดีโอให้น่าสนใจแล้ว อีกสิ่งที่ต้องทำความรู้จักนั่นคือ Hosting เพราะเปรียบเสมือนพื้นที่ให้คนนำเว็บไซต์ของตนเองเข้าไปอัปโหลดและสามารถเผยแพร่เนื้อหาทั้งหมดไปสู่สายตาคนทั่วไป ซึ่งประเภทของ Hosting ก็มีด้วยกันหลายรูปแบบ แต่ที่ได้รับความนิยมมากสุดต้องยกให้ VPS Hosting กับ Shared Hosting แล้วเคยสงสัยหรือไม่ว่า Hosting ทั้ง 2 ประเภทนี้แตกต่างกันอย่างไร?

ความหมายของ VPS Hosting กับ Shared Hosting

VPS Hosting หรือ Virtual Private Server คือ รูปแบบบริการของเซิร์ฟเวอร์ที่มีความเป็นส่วนตัวคล้ายกับการมีเซิร์ฟเวอร์เป็นของตนเอง ผู้ใช้บริการมีสิทธิ์บริหารจัดการซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ได้ตามความต้องการผ่านระบบ Remote Desktop Connection ทั้งนี้ตัว Virtual Private Server จะแบ่งทรัพยากรจากเซิร์ฟเวอร์เครื่องหลัก เช่น Ram, Harddisk, CPU ออกมาเป็นเครื่องย่อยส่วนหนึ่ง

หากอธิบายให้เห็นภาพมากขึ้น VPS Hosting จะคล้ายกับผู้ให้เช่ามีพื้นที่ว่างให้ผู้เช่าสามารถนำไปใช้งานได้ตามใจชอบ อยากใส่ข้อมูล เพิ่มเนื้อหา หรือแบ่งให้คนอื่นเช่าต่อก็ตามสะดวก ปัจจัยสำคัญคือผู้เช่ารายแรกที่เลือกเช่ากับ Hosting ต้องจ่ายค่าบริการและดำเนินการดูแลทุกอย่างด้วยตนเอง ด้วยเหตุนี้ระบบ Hosting นี้จึงต้องจ่ายระบบ Control Panel เพื่อให้การใช้งานง่ายดายมากขึ้น

ขณะที่ Shared Hosting คือ ลักษณะของการแบ่งพื้นที่ Hardware Network แล้วใช้งานร่วมกับผู้อื่นในเซิร์ฟเวอร์เดียวกัน ปัจจัยสำคัญคือผู้เช่าต้องมีการใช้งานโปรแกรมเดียวกัน หากเทียบให้เห็นภาพง่ายขึ้นคล้ายกับคุณและคนอื่น ๆ ตัดสินใจเช่าพื้นที่แห่งหนึ่งโดยต่างคนก็ได้พื้นที่ตามสัดส่วนของตนเอง แต่ไม่ใช่เจ้าของพื้นที่รวมทั้งหมด ส่งผลให้บางกรณีระหว่างใช้งานแล้วเกิดปัญหาจะไม่สามารถดำเนินการทั้งหมดได้ ต้องอาศัยเจ้าหน้าที่จากฝั่งของผู้ให้เช่า Hosting เข้ามาช่วยดูแล รวมถึงผู้ให้บริการยังมักติดตั้งระบบ Control Panel ไว้ให้เสร็จสรรพแบบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มด้วย

ขอบคุณรูปภาพจาก elricktechnology.com

ความแตกต่างระหว่าง VPS Hosting กับ Shared Hosting

หลังจากอธิบายกันไประดับหนึ่งแล้วคงทำให้หลายคนเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่าง VPS Hosting กับ Shared Hosting กันพอสมควร แต่เพื่อการตัดสินใจที่ง่ายขึ้น พร้อมเลือกประเภท Hosting ให้สอดคล้องต่อจุดประสงค์การทำเว็บไซต์ลองมาดูกันว่าทั้ง 2 แบบมีจุดไหนที่แตกต่างกันบ้าง

1. ความเหมาะสมในการใช้งาน

  • VPS Hosting เหมาะกับธุรกิจ หรือองค์กรที่มีขนาดใหญ่ ต้องการนำข้อมูลต่าง ๆ ใส่เข้าไปในเว็บไซต์เยอะมาก หรือมีจุดประสงค์เพื่อนำพื้นที่ไปใช้ทำอย่างอื่นเพิ่มเติม (องค์กรขนาดกลางก็ใช้งานได้หากมีข้อมูลเยอะ)
  • Shared Hosting เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก – ขนาดกลาง หรือบุคคลทั่วไปที่ต้องการสร้างเว็บไซต์ให้ดูน่าเชื่อถือ ข้อมูลไม่ได้เยอะมาก

2. ค่าใช้จ่าย

  • VPS Hosting ด้วยขนาดพื้นที่การใช้งานเยอะจึงมีค่าใช้จ่ายสูงมาก แนะนำสำหรับธุรกิจที่มีงบฝั่งออนไลน์สูง หรือต้องการก้าวเข้าสู่โลกออนไลน์แบบเต็มตัว
  • Shared Hosting มีราคาถูกกว่าเพราะเป็นแค่การแบ่งพื้นที่ใช้งานร่วมกันของผู้เช่า แม้ไม่ได้มีงบเยอะมากนักแต่อยากก้าวเข้าสู่โลกออนไลน์ก็สามารถใช้งานได้

3. รูปแบบการใช้งาน

  • VPS Hosting จะเป็นการใช้งานของผู้เช่าเพียงรายเดียว โดยผู้เช่าสามารถใช้พื้นที่ต่าง ๆ ของ Hosting ได้แบบเต็มพิกัด หรืออยากแบ่งพื้นที่ให้คนอื่นเช่าต่อด้วยก็ไม่มีปัญหา
  • Shared Hosting ผู้ใช้งานต้องแชร์พื้นที่ Hosting ร่วมกับผู้เช่ารายอื่น คล้ายกับการมีพื้นที่ตลาดนัด 1 แห่ง แล้วแต่ละคนจับจองล็อกเป็นของตนเอง

4. การควบคุมการทำงาน

  • VPS Hosting ผู้เช่าสามารถใช้ระบบ Remote Desktop Connection เพื่อควบคุมการทำงานทั้งหมด พร้อมติดตั้ง OS ได้ตามความต้องการของตนเอง
  • Shared Hosting ไม่สามารถใช้งานระบบควบคุมผ่าน Remote ได้ รวมถึงการติดตั้ง OS อื่นก็ทำไม่ได้เช่นกัน บางกรณีจึงจำเป็นต้องให้ผู้ดูแลหรือผู้ให้เช่าจัดการ

5. การรองรับจำนวนผู้ใช้งาน

  • VPS Hosting สามารถรองรับปริมาณผู้ใช้งานได้จำนวนมากแม้เข้ามาในช่วงเวลาพร้อมกันก็ไม่ต้องกังวลเรื่องของการดาวน์โหลดช้า เว็บค้าง เว็บล่มใด ๆ ทั้งสิ้น
  • Shared Hosting รองรับจำนวนผู้ใช้งานได้ในระดับหนึ่ง หากคนใช้บริการพร้อมกันเยอะก็เสี่ยงต่อการเกิดปัญหาเว็บล่มง่ายกว่า

6. การแต่งเซิร์ฟเวอร์

  • VPS Hosting ผู้เช่าสามารถแต่งเซิร์ฟเวอร์ได้ตามความต้องการของตนเอง อยากได้แบบไหน วางข้อมูลยังไงเลือกกันตามสะดวกเลย
  • Shared Hosting ด้วยการเช่าร่วมกับผู้อื่นทำให้ผู้เช่าไม่สามารถแต่งเซิร์ฟเวอร์ใด ๆ ได้เลย ยกเว้นผู้ให้เช่าจะทำการปรับระบบของตนเอง

เลือกใช้งานแบบไหนขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของผู้เช่า

จริง ๆ แล้วการใช้งาน Hosting ทั้ง VPS Hosting กับ Shared Hosting ต่างก็มีจุดเด่นและจุดด้อยคนละแบบ จึงขึ้นอยู่กับจุดประสงค์เจ้าของเว็บไซต์เป็นหลักอยากสร้างเว็บตนเองให้ออกมาแบบไหน หากคุณเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ มีสินค้าเยอะ อยากปรับมาขายผ่านออนไลน์เต็มตัว แนะนำให้เลือกใช้แบบ VPS Hosting แต่อีกมุมหนึ่งธุรกิจขนาดกลางหรือขนาดเล็ก หากมีงบมากพอ มีสินค้าเยอะ อยากสู้กับคู่แข่งจะเลือก VPS Hosting เหมือนธุรกิจใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องผิด

สรุป

VPS Hosting กับ Shared Hosting ล้วนก็เป็นรูปแบบของ Hosting ที่ได้รับความนิยมทั้งสิ้น แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อม จุดประสงค์ของการเช่าเพื่อใช้งาน งบประมาณ ฯลฯ ต้องลองศึกษาให้ชัดเจนว่าธุรกิจของคุณเหมาะกับการสร้างเว็บไซต์แบบไหน เพื่อจะได้ทำการเช่า Host อย่างเหมาะสม คุ้มค่า ไม่เสียเงินแพง ๆ โดยใช่เหตุ

]]>
Hosting คืออะไร หากอยากมีเว็บไซต์ของตนเองต้องทำความรู้จัก https://seomasterth.com/hosting-%e0%b8%84%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b0%e0%b9%84%e0%b8%a3/ Mon, 19 Feb 2024 14:04:54 +0000 https://seomasterth.com/?p=28367 การก้าวเข้าสู่ยุคออนไลน์แบบเต็มตัวทำให้เว็บไซต์กลายเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกธุรกิจจำเป็นต้องมี หากเปรียบแบบเข้าใจง่ายก็ไม่ต่างจากหน้าร้านออนไลน์ และยังมีข้อดีในหลายด้านทั้งเรื่องการเปิดขายได้ตลอด 24 ชั่วโมง ประหยัดต้นทุนมากกว่า สร้างความน่าเชื่อถือได้ ฯลฯ อย่างไรก็ตามไม่ว่าคุณจะเป็นองค์กร หน่วยงาน หรือบุคคลทั่วไปที่อยากมีเว็บไซต์เป็นของตนเอง หนึ่งในสิ่งที่ต้องทำความรู้จักนั่นคือ “Hosting” ซึ่งใครกำลังสงสัยว่า Hosting คืออะไร สำคัญมากแค่ไหน มาหาคำตอบกันได้เลย!

Hosting คืออะไร

Hosting (โฮสติ้ง) คือ บริการเครื่องเซิฟเวอร์บนโลกออนไลน์เพื่อเป็นพื้นที่ให้กับผู้ที่ต้องการนำเสนอสินค้า / บริการ หรือข้อมูลต่าง ๆ สามารถเผยแพร่ไปสู่บุคคลอื่นได้บนอินเทอร์เน็ตผ่านหน้าเว็บไซต์ของตนเอง หลักการคือเมื่อคุณมีชื่อโดเมน (Domain Name) ตั้งค่า DNS Server ผูกไว้กับผู้ให้บริการเซิฟเวอร์ (HSP: Hosting Service Provider) เพียงเท่านี้ทุกข้อมูลบนหน้าเว็บไซต์ทั้ง Homepage, Landing Page, Sale Page, Blog ฯลฯ ก็สามารถปรากฏสู่สายตาของทุกคนที่พิมพ์ชื่อโดเมนหรือกดค้นหาแล้วเจอเว็บไซต์ของคุณ

ด้วยเหตุนี้ปัจจัยสำคัญลำดับแรกจำเป็นต้องสร้างเว็บไซต์ของตนเองขึ้นมา จากนั้นจึงนำไปจดทะเบียนโดเมนเพื่อไม่ให้คนอื่นสามารถใช้ชื่อซ้ำได้ เมื่อดำเนินการเรียบร้อยก็นำเว็บไซต์ของตนเองไปอัปโหลดเข้าสู่ระบบ Hosting หรือระบบการฝากพื้นที่ออนไลน์นั่นเอง

ทางด้านของ Hosting จะเข้าสู่กระบวนการติดตั้งซอฟต์แวร์ โปรแกรมต่าง ๆ ที่สามารถจัดการเว็บไซต์ของคุณให้สามารถดำเนินการได้อย่างสมบูรณ์แบบ เช่น Web Server, FTP, Database, DNS, E-mail, Subdomain ฯลฯ เท่านี้หน้าเว็บไซต์ก็พร้อมออกสู่สายตาทุกคู่แล้ว ทั้งนี้ค่าบริการโฮสติ้งส่วนใหญ่จะจ่ายเป็นรายปี

เลือกบริการ Hosting ต้องพิจารณาเรื่องใดบ้าง

1. ระบบเซิร์ฟเวอร์

นี่คือหัวใจสำคัญมากของบริการ Hosting เลยก็ว่าได้ หากระบบเซิร์ฟเวอร์ไม่ดีนั่นหมายถึงเว็บของคุณก็อาจเกิดปัญหาต่าง ๆ ง่ายมาก เช่น เว็บล่มบ่อย ไม่ลื่นไหล เว็บค้าง ไม่เสถียร ดาวน์โหลดนาน และอีกมากมาย ท้ายที่สุดเมื่อมีคนกดคลิกเข้าไปย่อมได้รับประสบการณ์เชิงลบและไม่อยากเข้ามาดูอีก หลักเบื้องต้นของเซิร์ฟเวอร์ที่ดีจึงต้องลื่นไหล ไม่มีสะดุด Uptime มากกว่า 99% หรือถ้าแตะระดับ 99.5% จะยิ่งดีมาก ไม่ใช่การนำ PC มาหลอกลวง หน่วยประมวลผลรวดเร็ว เป็นต้น

2. บริการที่ยอดเยี่ยมทุกช่วงเวลา

การพัฒนาเซิร์ฟเวอร์ให้มีประสิทธิภาพหลายเจ้าผู้ให้บริการเองต่างพยายามหนัก ในฐานะของลูกค้าลำดับต่อไปจึงควรประเมินไปที่บริการและประสบการณ์ที่คุณได้รับ เบื้องต้นเลยต้องมีความเชี่ยวชาญ ชำนาญบริการแบบเฉพาะทาง อธิบายสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างละเอียด มีทีมงานคอยดูแล ปรับปรุง อัปเดต หรือแก้ไขข้อผิดพลาดอยู่ตลอด สิ่งสำคัญต้องดำเนินการด้วยความรวดเร็ว ฉับไว เพราะโลกออนไลน์ยุคนี้ใครช้าก็เท่ากับเสียโอกาส ยิ่งถ้าเป็นธุรกิจด้วยแล้วอาจมีมูลค่ามากกว่าที่คิดไว้หลายเท่า

3. ตำแหน่งของเซิร์ฟเวอร์

ตำแหน่งหรือ Location ของเซิร์ฟเวอร์ควรอยู่บริเวณ Data Center สามารถเชื่อมต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทั่วโลกได้แบบ 24 ชั่วโมง ภายใต้ระดับความเร็วสูงสุด และทีมงานมืออาชีพต้องคอยควบคุมดูแลเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดด้านความปลอดภัยเป็นอันขาด

4. ความปลอดภัยสูงสุด

ข้อนี้คืออีกเรื่องสำคัญที่มองข้ามไม่ได้หากจะเลือกใช้บริการ Hosting ที่ใดก็ตาม เพราะข้อมูลต่าง ๆ ของธุรกิจควรต้องได้รับการปกป้อง ระวังภัย รักษาความปลอดภัยได้ดีแบบ 100% ป้องกันความเสี่ยงและอันตรายจากปัจจัยแวดล้อมภายนอกที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น Spyware, Spam, Viruses, DDoS Attacks หรือ Phishers เป็นต้น จะช่วยให้เกิดความสบายใจ เช่น การตั้งค่ารหัสผ่านทุกอย่างแบบรัดกุม

รูปแบบบริการของ Hosting

1. Shared Hosting

เป็นบริการที่จะแบ่งพื้นที่ Hardware Network หรือแบ่งพื้นที่ในการเช่าบนเซิร์ฟเวอร์เพื่อให้ผู้เช่าทุกคนใช้งานร่วมกัน โปรแกรมแบบเดียวกันทั้งหมด บริการนี้จะเหมาะสำหรับคนทำเว็บทั่วไป ไม่ได้มีข้อมูลใด ๆ เยอะมากนัก สามารถ SSH หรือ FTP ดูไฟล์เฉพาะของเว็บตัวเองเท่านั้น ข้อเสียทางเทคนิคคือ หากโดนโจมตี โดนยิง โดนไวรัส หรือถูกแบน IP จาก Google ทุกเว็บจะโดนพร้อมกันหมด ราคาถูก ปีละ 500-1,000 บาท

2. VPS Hosting

บริการนี้จะคล้ายกับผู้เช่ามีเซิร์ฟเวอร์เป็นของตนเอง ผู้ดูแลสามารถบริหารจัดการซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ได้ตามชอบผ่านระบบ Remote Desktop Connection ซึ่งจะมีโปรแกรมเฉพาะเอาไว้ให้ (CPanel) เป็นประเภทโฮสติ้งที่ได้รับความนิยมอย่างมาก อยู่ราวๆปีละ 1,000-1,500 บาท

3. Dedicated Server

เซิร์ฟเวอร์ประเภทนี้จะเป็นของผู้เช่า หรือผู้ใช้บริการแค่เพียงเจ้าเดียว สามารถใช้งานทรัพยากรต่าง ๆ ได้แบบเต็มพิกัด มีระบบบริหารจัดการโดยตรงหรือฝ่ายที่ดูแลในองค์กรของตนเอง มีระดับความปลอดภัยสูงมาก มักนิยมใช้กับเว็บที่มีข้อมูลเยอะ หรือกลุ่มเว็บแนวอี-คอมเมิร์ซ ข้อเสียคือค่าใช้จ่ายสูง ราคาเริ่มต้นเฉลี่ย 20,000/ปี

4. Cloud Hosting

บริการนี้จะคล้ายกับ VPS แต่มีความต่างเรื่อง Infastructure การเพิ่มลดสเป็คของเครื่อง เช่น CPU,RAM,Disk สามารถทำได้เพียงกดคลิกบนหน้าเว็บไซต์ อาจจะมีช่วงเวลา Downtime เล็กน้อย แถมปัจจุบันปี 2024 ราคาถูก และเป็นเทคโนโลยีที่จะนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยการเช่าเซิฟเวอร์แบบเก่าก็จะเริ่มน้อยลง ยังมีผู้ให้บริการเช่าเซิฟเวอร์ประเภทย่อยเรื่องเพิกเฉยต่อลิขสิทธิ์ เช่น DMCA Ignored Hosting ราคาขึ้นกับสเป็คที่เลือก ประมาณ 3,000-10,000 บาทต่อปี

5. Reseller Hosting

จะเป็นลักษณะของผู้ให้บริการเช่าโฮสติ้ง ที่เลิกใช้งานไปแล้ว เครื่องว่างแต่ไม่ใช่เครื่องใหม่ ในกรณีที่ธุรกิจมีหลายเว็บไซต์ต้องดูแลก็จะเลือกรูปแบบนี้ไปใช้งานได้เช่นกัน เหมือนซื้อเซิฟเวอร์มือสอง ราคาจะถูกลง

Web Hosting ประกอบด้วยอะไรบ้าง

ในเครื่องโฮสติ้ง หรือเครื่องเซิฟเวอร์ จะประกอบด้วย ซอฟต์แวร์ (Software) ของระบบเช่น ระบบปฏิบัติการลินุกซ์ (Linux Operating System) ไฟล์โค้ดของเว็บแอปพลิเคชัน ฐานข้อมูล (Database) อีเมลเซิฟเวอร์ ระบบการกู้คืนสำรองข้อมูล (Backup) และอื่นๆ

Cloud Hosting vs. VPS Hosting: Trends

เรามาดูแนวโน้มความสนใจการค้นหาบนกูเกิลที่ Google Trend รายงานเปรียบเทียบกัน ยุคต่อไปจะเป็น Cloud Hosting นิยมกว่าอย่างแน่นอนครับ

ใครอยากทำเว็บไซต์ต้องให้ความสำคัญกับ Hosting

ยืนยันอีกครั้งว่าหากคุณวางแผนอยากทำเว็บไซต์เป็นของตนเองทั้งรูปแบบบริษัท หน่วยงาน องค์กร หรือแม้แต่บุคคลทั่วไปที่อยากนำเสนอข้อมูลตามความชอบเพื่อเผยแพร่ให้กับผู้อื่นได้รับรู้ สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญนอกจากการออกแบบดีไซน์เว็บ การค้นหาข้อมูลต่าง ๆ แล้วนั่นคือเรื่องของ Hosting เพราะถ้าคุณเจอบริการที่ดี มีประสิทธิภาพเว็บก็มีสิทธิ์เติบโตตามแผนที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ ตรงข้ามต่อให้เนื้อหาดี ภาพสวย วิดีโอน่าสนใจ แต่ถ้าระบบเว็บไม่ได้มาตรฐาน ทุกอย่างก็มีสิทธิ์ไม่ได้ตามที่คาดหวังเช่นกัน

สรุป

Hosting เป็นอีกสิ่งสำคัญของการทำเว็บไซต์ที่ทุกคนจำเป็นต้องศึกษาเอาไว้ แม้ไม่ได้ถึงขนาดต้องลงลึกเพื่อดำเนินการด้วยตนเอง แต่ถ้าคุณเลือกรูปแบบบริการได้อย่างถูกต้อง เลือกผู้ให้บริการที่ดี มีมาตรฐาน ระบบลื่นไหล ไม่มีสะดุด ค้าง มาพร้อมความเสถียรก็ย่อมเสริมภาพลักษณ์และต่อยอดธุรกิจได้ต่อเนื่องแน่นอน

]]>
Google Data Studio หรือ Looker Studio คืออะไร https://seomasterth.com/google-data-studio/ Fri, 16 Feb 2024 10:19:40 +0000 https://seomasterth.com/?p=28352 ในยุคที่ธุรกิจต้องแข่งขันกันด้วยข้อมูล ใครที่ครอบครองข้อมูลมาก และวิเคราะห์ข้อมูลนั้นออกมาได้อย่างถูกต้องแล้ว จะได้เปรียบเหนือคู่แข่ง ทำให้การเก็บข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการทำรีพอร์ตเพื่อเสนอผลลัพธิ์ของข้อมูลออกมาจึงมีความสำคัญมาก ซึ่งในปัจจุบันเครื่องมือที่นิยมใช้ในการจัดการกับข้อมูลจะมีอยู่หลายโปรแกรม เช่น Microsoft Poser BI ,Looker Studio , Tableau โดยในบทความนี้ เราจะมาศึกษา Google Data Studio ว่ามีความสามารถอย่างไรบ้าง และใช้ทำงานอะไรกันครับ

Google Data Studio คืออะไร?

อย่างที่ทราบกันอยู่แล้วว่า Looker Studio หรือชื่อเดิมว่า Google Data Studio คือเครื่องมือที่จะช่วยรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่างๆ เพื่อนำมาวิเคราะห์ผลของข้อมูล โดยแสดงออกมาเป็นรีพอร์ตในรูปของ กราฟ ตาราง แผนภูมิต่างๆ เพื่อนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ในการปรับปรุงกลยุทธ หรือการทำตลาดของธุรกิจ เราจะเห็นได้ว่าปัจจุบันบริษัทหรือธุรกิจขนาดใหญ่มีการใช้ข้อมูลเพื่อปรับปรุงการออกแพคเกจหรือการให้บริการอยู่มากมายเช่น Facebook ที่ถือครองข้อมูลของบุคคลนับล้าน แล้วนำมาเป็นข้อมูลให้ผู้ซื้อโฆษณาเลือกกลุ่มเป้าหมายเพื่อการยิงโฆษณาให้ถึงกลุ่มลูกค้าที่ต้องการ ซึ่ง Looker Studio เปิดให้ผู้ใช้งานใช้งานได้ฟรี แต่หากต้องการข้อมูลที่มากขึ้นอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเข้าถึงข้อมูลนั้น

ภาพตัวอย่าง Looker Studio จาก www.rockcontent.com

องค์ประกอบการทำงานของ Looker Studio

Looker Studio จะมีการทำงานอยู่สองส่วนคือ ส่วนของ Data Sources และส่วนของ Report หรือ Dashboard 

  • Data Sources

    ภาพ Data Sources ใน Looker Studio

ในส่วนนี้จะเป็นแหล่งข้อมูลให้ผู้ใช้งานได้เลือกว่าจะดึงข้อมูลประเภทใด จาก Tools ตัวใด เพื่อนำมาประมวลผล โดย Looker Studio มี Tools ให้ผู้ใช้เลือกใช้งานอยู่เป็นจำนวนมาก โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มดังนี้

Google Connectors เช่น MySQL, AppSheet, BigQuery, Google Sheets, Google Analytics, Google Ads, Google Search Console และ YouTube Analytics

Partner Connectors  899 connectors (Update Feb 2024) เช่น Facebook Ads, Tiktok Ads และ Hubspot

Open Source Connectors เช่น Github และ Stackoverflow 

โดยผู้ใช้สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมในส่วนของ Connect to Data ได้ที่ www.lookerstudio.google.com/data

 

  • Report หรือ Dashboard

    ภาพ Dashboard จาก www.hevodata.com

 

ในส่วนนี้จะแสดงข้อมูลที่ดึงมาจาก Data Sources มาประมวลผลเป็น Report ให้ผู้อ่านเข้าใจและเห็นภาพของการทำงานทั้งหมด Looker Studio มีเทมเพลตที่สวยงามให้ผู้ใช้ได้เลือกมาใช้งาน สำหรับผู้ที่สนใจเลือกเทมเพลต สามารถเลือกได้จากที่นี่ https://lookerstudio.google.com/gallery?category=marketing

 

เริ่มต้นใช้งาน Looker Studio

  1. Looker Studio สามารถใช้งานได้โดยผ่านเว็บไซต์ www.lookerstudio.google.com โดยผู้ใช้สามารถ Login ผ่าน Google Account เพื่อใช้งานได้ทันที 
  2. หลังจากที่ login เข้ามาแล้ว ในหน้าหลักจะมี Templates ให้เลือกใช้งาน ตามความเหมาะสมของงาน ซึ่งถ้าไม่ต้องการเลือก Templates ที่มีให้ก็สามารถกดสร้าง Blank Report เพื่อสร้างหน้าเปล่า (Templates บางอันอาจมีค่าใช้จ่ายในการซื้อมาใช้งาน) โดยเมื่อเราสร้าง Report แล้ว ในหน้านี้จะแสดงรายชื่อ Report ที่เคยสร้างไว้ เพื่อสะดวกต่อการแก้ไข หรือแชร์ให้ผู้อื่น

    ภาพหน้าหลักของ Looker Studio

  3. ทดสอบสร้าง Report โดยเลือกที่รายงานเปล่า > เพิ่มข้อมูลลงในรายงาน > เชื่อมต่อข้อมูล โดยเลือกที่ BigQuery

    ภาพการเลือกแพลตฟอร์มในการดึงข้อมูล

  4. เลือกข้อมูลที่ต้องการ โดยในตัวอย่างเลือกข้อมูลเกี่ยวกับ Covid 19 แล้วเพิ่มเข้ามาใน Report ของเรา

  5. เมื่อได้ข้อมูลที่ต้องการแล้ว ในขั้นตอนนี้ ผู้ใช้สามารถเลือกชุดข้อมูลที่อยู่ด้านขวามาวางไว้ที่ Report เพื่อนำมาประมวลผล และผู้ใช้สามารถเลือกรูปแบบของ Report ได้ในช่องเมนูแผนภูมิ ซึ่งหลังจากเลือกข้อมูลแล้ว Looker Studio จะประมวลผล และสร้างกราฟออกมาให้ทันที

    ภาพตัวอย่างการสร้าง Report จากชุดข้อมูล

  6. หลังจากสร้าง Report เสร็จ หรือต้องการเพิ่มผู้ใช้งานในทีม Looker Studio ก็สามารถทำได้ไม่ยาก เพียงแค่แชร์ให้บุคคลอื่น ผ่านปุ่มแชร์ ( ) เพียงเท่านี้ก็สามารถแชร์ Report ให้ผู้อื่นได้ทันที

จุดเด่นของ Looker Studio

  • มีหน้า Dashboard ให้ผู้ใช้สามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างอิสระ สามารถปรับให้มีสีสัน ธีม รูปแบบกราฟ ตาราง ได้ตามต้องการ หรือหากไม่ต้องการปรับแต่งเอง ก็สามารถดาวน์โหลดได้จาก Store
  • มีข้อมูลจากแพลตฟอร์มต่างๆให้เลือกใช้งานได้อย่างอิสระ ทำให้ใช้งานได้อย่างหลากหลาย จึงเหมาะกับงานที่ต้องใช้ข้อมูลปริมาณมาก
  • มีข้อมูลที่อัพเดทลาสุดให้เลือกใช้งานได้ตลอดเวลา Looker Studio สามารถอัพเดทข้อมูลใน Dashboard ให้เป็นข้อมูลล่าสุดได้โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องไปค้นหาและนำมาเพิ่มด้วยตนเอง
  • ง่ายต่อการแชร์ ส่งต่อ หรือเพิ่มสมาชิกในทีม เพียงแค่มี Account ของ Google ก็สามารถแชร์ ให้ผู้อื่นดูข้อมูลได้ หรือเข้ามาแก้ไขก็ได้เช่นกัน

 

สรุป Looker Studio ดีอย่างไร

ในการใช้งาน Looker Studio นั้นจะเหมาะกับงานที่ต้องทำงานร่วมกับโปรแกรมในชุดของ Google เป็นหลัก ซึ่งข้อมูลของ Google นั้นจะมีการอัพเดทให้เป็นปัจจุบันตลอด ทำให้การเรียกใช้ข้อมูลเป็นจุดแข็งของ Looker Studio ในส่วน Template นั้น Looker Studio มีให้ผู้ใช้เลือกหยิบมาใช้ได้โดยที่ไม่ต้องออกแบบใหม่ทั้งหมด ทำให้ประหยัดเวลาในการใช้งานได้เป็นอย่างมาก และอีกจุดเด่นที่สำคัญคือการใช้งานได้ฟรี ทำให้เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นใช้งาน หรือนักศึกษาเป็นอย่างมาก

]]>