Search Engine Marketing – SEO Master บริษัทรับทำ SEO รับดูแลเว็บไซต์ ราคาถูก ครบวงจร https://seomasterth.com SEO MASTER Sat, 16 Dec 2023 15:16:22 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.3.5 https://seomasterth.com/wp-content/uploads/2023/11/cropped-seomaster-icon-32x32.jpg Search Engine Marketing – SEO Master บริษัทรับทำ SEO รับดูแลเว็บไซต์ ราคาถูก ครบวงจร https://seomasterth.com 32 32 Landing Page คืออะไร อธิบายความหมาย พร้อมสอนวิธีทำ https://seomasterth.com/what-is-landing-page/ Sat, 16 Dec 2023 15:15:41 +0000 https://seomasterth.com/?p=26423 Landing Page คืออะไร อธิบายความหมาย พร้อมสอนวิธีทำ

 

Landing Page คือสิ่งสำคัญสำหรับการทำ SEO หากธุรกิจไหนมีความต้องการให้ผู้ใช้งานหรือกลุ่มเป้าหมายค้นหาแล้วเจอสินค้าของเรา อย่าลืมทำ แลนดิ้งเพจ Landing Page เอาไว้ เป็นหน้าเว็บไซต์หนึ่งที่ช่วยดึงกลุ่มเป้าหมายให้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้จำนวนมาก อีกทั้งยังช่วยสร้าง Top of Mind ให้กับแบรนด์ได้ในทางอ้อม ในกรณีที่หน้า Landing Page ของแบรนด์ติดอยู่อันดับต้นๆ ของเว็บ Search Engine

Landing Page คืออะไร?

 

Landing Page คือ หน้าเว็บไซต์หนึ่งที่ต้องการทำให้ติด SEO หรือติดหน้าแรกของการค้นหาผ่านเว็บ Search Engine ดังนั้นเนื้อหาในหน้า Landing Page จึงประกอบไปด้วย Keyword หลัก ที่เชื่อมโยงกับสินค้าหรือบริการนั้นๆ ในปริมาณที่เหมาะสมที่จะทำให้ติดหน้าแรกได้จากการค้นหาด้วย Keyword นั้น

 

อธิบายเพิ่มเติม ลองนึกภาพง่ายๆ เว็บไซต์ของสินค้ามักมีหน้าเว็บหลายหน้า อาจประกอบไปด้วยหน้า Home, หน้าเกี่ยวกับฉัน, หน้าสินค้า, หน้าติดต่อเรา เป็นต้น หนึ่งในหน้าเว็บไซต์ที่กล่าวไปจะถูกทำให้เป็น Landing Page อาจจะเป็นหน้าสินค้าที่มีการเขียนเนื้อหาขึ้นมาแล้วให้ Keyword สินค้าให้สอดคล้องกับหลักการทำ SEO 

 

เมื่อกลุ่มเป้าหมายทำการค้นหาสินค้านั้นๆ ผ่าน Keyword ก็มีโอกาสที่จะไปเจอกับหน้า Landing Page ของแบรนด์ใดก็ได้ และเข้าสู่เว็บไซต์นั้นไป ซึ่ง Action นี้ส่งผลให้เกิดการซื้อสินค้าได้ด้วย โดยในหนึ่งเว็บไซต์ไม่จำเป็นต้องมี Landing Page เพียงหน้าเดียว หากเว็บนั้นมีสินค้าหลายอย่าง ก็อาจสร้าง Landing Page ให้กับทุกสินค้าที่มีเลยก็ได้

 

ยกตัวอย่างเช่น เว็บไซต์สถาบันติวที่ประกอบไปด้วยคอร์สเรียนต่างๆ ได้แก่ คอร์ส TOEIC, คอร์ส IELTS, คอร์ส CU-TEP, คอร์ส TU-GET เป็นสินค้าของเว็บไซต์นั้น ภายในเว็บไซต์อาจมีหน้า Home, หน้าเกี่ยวกับเรา, หน้าติดต่อเรา นอกจากนั้นอาจมีหน้า Landing Page คือ หน้าที่เกี่ยวกับสินค้าอีก 4 หน้า ได้แก่ หน้า TOEIC คืออะไร, IELTS คืออะไร, CU-TEP คืออะไร และหน้า TU-GET คืออะไร ซึ่งจะมีการเขียนเนื้อหาที่ใส่ Keyword สอดคล้องกับสินค้านั้นๆ 

วิธีทำ Landing Page คืออะไร?

 

วิธีทำ Landing Page คือวิธีหนึ่งในการทำ SEO เพื่อให้คนค้นหาสินค้าหรือบริการแล้วมาเจอกับหน้าเว็บไซต์ของแบรนด์ เพิ่มโอกาสการคลิกเข้ามาที่หน้าเว็บ และเพิ่มโอกาสการซื้อสินค้า จึงมีวิธีทำที่ต้องใช้ Keyword เป็นตัวช่วยสำคัญในการทำ Landing Page โดยในบทความนี้ได้สรุปวิธีทำ Landing Page มาให้คร่าวๆ คือ

 

1.นำ Keyword หลัก มาใส่ในเนื้อหาให้เหมาะสม

 

ในการทำเนื้อหาจำเป็นมากสำหรับการทำ Landing Page คือต้องใส่ Keyword หลักให้เหมาะสมถูกต้องตามหลัก SEO เพื่อที่หน้านี้จะได้ติดหน้าแรกของเว็บ Search Engine ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจอยากขายคอร์สรักษาอาการออฟฟิศซินโดรม อาจจะทำหน้า Landing Page ในหัวข้อออฟฟิศซินโดรม คืออะไร แล้วให้ความรู้เกี่ยวกับโรคนี้ เพื่อ Tie-in ขายคอร์ส ดังนั้นก็จะต้องใส่ Keyword หลัก คือคำว่า “ออฟฟิศซินโดรม” ในเนื้อหาให้สอดคล้องกับหลักการทำ SEO 

 

2.ใส่ Keyword หลักในชื่อเรื่อง

 

ในการตั้งชื่อเรื่องหรือตั้งหัวข้อเนื้อหาหน้า Landing Page คือจะต้องมี Keyword หลักอยู่ในหัวข้อด้วย และตั้งค่าเป็น Heading 1 ให้ Bot ของเว็บ Search Engine ให้คะแนนความเชื่อมโยง Keyword กับเนื้อหาหน้านั้น ยิ่งถ้าใส่ Keyword หลักในชื่อเรื่อง Bot ของเว็บ Search Engine ก็จะทำความเข้าใจว่าเนื้อหาหน้านี้เกี่ยวกับคำนี้อย่างเข้มข้น และช่วยดันให้เนื้อหาหน้านี้ติดหน้าแรกของเว็บ Search Engine เมื่อมีคนค้นคำที่ตรงกับ Keyword นั้น

 

3.ใส่ Keyword หลักใน Description

 

สิ่งที่สำคัญอีกอย่างของการทำ Landing Page คือ ให้ใส่ Keyword หลักในคำอธิบายหรือที่เรียกว่า Description ด้วย ขั้นตอนนี้มักอยู่ในขั้นตอนการ Upload เนื้อหาขึ้นเว็บไซต์ที่ระบบหลังบ้าน ซึ่งจะมีช่อง Description ให้กรอก หากทำการใส่รายละเอียดสั้นๆ เอาไว้ตรงนี้ อย่าลืมใส่ Keyword หลักลงไปด้วย เว็บ Search Engine จะได้ให้คะแนนความเชื่อมโยงกับ Keyword นั้น

4.เนื้อหายาวและมีประโยชน์

 

ส่วนใหญ่แล้วการทำ Landing Page ที่มีเนื้อหายาวๆ จะได้รับคะแนนจากเว็บ Search Engine มากกว่าหน้าที่มีเนื้อหาสั้นกว่า แต่ในความยาวนั้นจะต้องเต็มไปด้วยข้อมูลที่มีประโยชน์และเกี่ยวข้องกับ Keyword นั้นๆ ด้วย ยาวแบบมีคุณภาพ ไม่วกไปวนมา ควรมี Keyword หลัก และแตกหัวข้อออกมาเป็นหัวข้อย่อยๆ ด้วย Keyword รองหลายๆ หัวข้อ ซึ่ง Keyword รอง ยังคงเกี่ยวข้องกับ Keyword หลัก เช่น หัวข้อหลักคือเรื่องออฟฟิศซินโดรม หัวข้อย่อย อาจเป็น อาการ ออฟฟิศซินโดรม, การรักษา ออฟฟิศซินโดรม, การป้องกัน ออฟฟิศซินโดรม เป็นต้น

 

5.ใส่ Keyword หลักใน URL 

 

ข้อสำคัญอีกหนึ่งประการสำหรับการทำ Landing Page คือการใส่ Keyword ลงใน URL ซึ่งจะอยู่ในส่วนที่เรียกว่า Slug อย่างเช่นเว็บไซต์คลินิกกายภาพที่ขายคอร์สรักษาอาการออฟฟิศซินโดรม ในหน้า Landing Page ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับออฟฟิศซินโดรม ควรตั้ง Slug หลังเครื่องหมาย / ท้าย URL ด้วย Keyword หลัก เช่น www.(ชื่อคลินิกภาษาอังกฤษ).com/ออฟฟิศซินโดรม 

 

6.ใส่ลิงค์เชื่อมโยง

 

พยายามใส่ลิงค์เชื่อมโยงไปยังหน้าเว็บไซต์อื่น ทั้งภายในและภายนอก เพื่อเพิ่มคะแนนให้กับหน้า Landing Page ยิ่งถ้าลิงค์นั้นมี Keyword รวมอยู่ด้วยจะดีมาก เช่น หน้า Landing Page เรื่องออฟฟิศซินโดรม คืออะไร แล้วมีลิงค์บทความที่เกี่ยวข้องชื่อหัวข้อว่า “พฤติกรรมเสี่ยงต่อการเป็นออฟฟิศซินโดรม” แสดงอยู่ใน Landing Page จะยิ่งมีโอกาสได้คะแนนจากเว็บ Search Engine ใน Keyword “ออฟฟิศซินโดรม” มากขึ้น

 

ทั้งหมดนี้ก็เป็นข้อมูลเกี่ยวกับการทำ Landing Page คือเรื่องที่คนทำ SEO จะต้องรู้ เพื่อนำไปปรับใช้ในธุรกิจให้เหมาะสม หากสามารถปรับใช้ได้อย่างถูกวิธี ก็มีโอกาสติดหน้าแรกสูงมาก จำไว้ว่าหน้านี้เปรียบเสมือนหน้ารวมข้อมูลของสินค้าเราไว้ในหน้าเดียว จึงควรให้ประโยชน์กับคนอ่านมากๆ 

 

]]>
SEM คืออะไร สำคัญอย่างไรกับการตลาดออนไลน์ https://seomasterth.com/what-is-sem/ Thu, 07 Dec 2023 16:07:53 +0000 https://seomasterth.com/?p=25959 SEM คืออะไร สำคัญอย่างไรกับการตลาดออนไลน์

การทำ SEM คืออะไร เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งข้อสงสัยสำหรับนักการตลาดออนไลน์หน้าใหม่ ที่กำลังก้าวเข้าสู่การโปรโมทสินค้าและบริการผ่านช่องทางออนไลน์ รวมถึงการขายสินค้าออนไลน์ ซึ่ง SEM มีความสำคัญอย่างมากในการโปรโมทผ่านช่องทางนี้ สำหรับใครก็ตามที่กำลังหาคำตอบอยู่ว่า SEM คืออะไร ครั้งนี้ทางบทความจะมาอธิบายให้เข้าใจกัน

SEM คืออะไร?

SEM แปลว่า Search Engine Marketing คือการทำการตลาดออนไลน์วิธีหนึ่ง เพื่อโปรโมทเนื้อหาหรือหน้าเว็บไซต์ โดยอาศัยพฤติกรรมการค้นหาบนออนไลน์เป็นหลัก การทำ SEM ต้องจ่ายเงินให้กับเว็บ Search Engine เช่น Google, Yahoo, Bing เป็นต้น เพื่อประมูล Keyword ให้เนื้อหาติดอันดับแรกหรือหน้าแรก เมื่อกลุ่มเป้าหมายค้นหาคำนั้นที่ตรงกับ Keyword ที่แบรนด์ประมูล ก็จะได้เจอเนื้อหาของแบรนด์ก่อนใคร จึงเพิ่มโอกาสให้คนเข้าถึงเนื้อหานั้นมากขึ้น หากเนื้อหานั้นคือหน้าขายสินค้าก็จะมีโอกาสเพิ่มยอดขายได้ หรือถ้าหากเนื้อหานั้นไม่ใช่หน้าขาย แต่เป็นหน้าประชาสัมพันธ์สินค้า ก็จะทำให้กลุ่มเป้าหมายรับรู้ข้อมูลและการมีอยู่ของสินค้านั้นๆ ได้

ประเภทของการทำ SEM คืออะไรบ้าง?

การทำ SEM มีอยู่ 2 แบบ คือ

  • Pay per Click (PPC) หรือ Paid Search
  • SEO (Search Engine Optimization) หรือ Organic Search

 

 

Pay per Click (PPC)

หนึ่งในการทำ SEM คือ Pay per Click (PPC) แปลตรงตัวก็คือ จ่ายต่อคลิก คือนักการตลาดต้องเข้าไปทำการประมูล Keyword ไว้บนเว็บ Search Engine เว็บใดเว็บหนึ่งหรือหลายเว็บก็ได้ เพื่อให้เนื้อหาของแบรนด์ขึ้นหน้าแรกหรืออันดับแรกของเว็บ Search Engine นั้นๆ และเมื่อมีการคลิกเกิดขึ้น แบรนด์จะต้องเสียเงินให้กับเว็บ Search Engine เช่น ประมูลไว้ให้อยู่บนสุดของเว็บ Search Engine คลิกละ 11 บาท เมื่อเกิดการคลิก 1 ครั้งแบรนด์ก็ต้องจ่าย 11 บาท หากเกิดการคลิก 100 ครั้ง แบรนด์ก็ต้องจ่าย 1,100 บาท

สื่อโฆษณาที่เกิดจากการทำ SEM คือลิงค์บนเว็บ Search Engine ที่ถูกกำกับข้อความเล็กๆ ไว้ว่า “โฆษณา” หรือ “Sponsored” หรือ “ได้รับการสนับสนุน” (แล้วแต่การตั้งค่าภาษาของผู้ใช้งานและเว็บ Search Engine ต่างๆ ที่อาจใช้คำแตกต่างกันออกไป) ซึ่งสื่อโฆษณานี้จะอยู่ในอันดับแรกของเว็บ Search Engine

เทคนิคการทำ Pay per Click

  1. “เลือก Keyword ที่ใช้เงินประมูลคุ้มค่า” โดยในเว็บที่มี Keyword Planner จะปรากฏราคาประมูลของ Keyword แต่ละคำเอาไว้ เมื่อแบรนด์ต้องการประมูลก็ลองพิจาณาดูว่าราคาประมูลนั้นคุ้มค่าหรือไม่ โดยเปรียบเทียบกับราคาขายสินค้าหรือบริการ หากสินค้าหรือบริการไม่ได้ราคาสูง แต่ราคาประมูล Keyword ค่อนข้างสูง เช่น คลิกละ 11 บาท คนคลิก 100 ครั้งก็ต้องจ่าย 1,100 บาท แต่ราคาสินค้าแค่ชิ้นละ 100 บาท ประเมินโอกาสที่คนคลิก 100 ครั้ง อาจจะซื้อแค่ 2 ชิ้น ได้เงินกลับมาแค่ 200 บาท แบบนี้ถือว่าไม่คุ้มค่าเท่าไร
  2. “เลือก Keyword จากอัตราความเปลี่ยนแปลงในช่วง 3 เดือน” หากสินค้าหรือบริการที่ต้องการขายระยะยาว ควรหลีกเลี่ยง Keyword ที่มีอัตราความเปลี่ยนแปลงในช่วง 3 เดือนสูง คือยิ่งมีค่า % สูงเท่าไร หมายความว่าจำนวนการค้นหาเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น หากขึ้นว่ามีการค้นหา 2,000 ครั้งต่อเดือน อาจเกิดขึ้นแค่ช่วงเวลานั้น ต่อไปอีก 3 เดือนข้างหน้าอาจเหลือการค้นหาเพียง 10 ครั้งต่อเดือนเท่านั้น แปลว่าคนก็ไม่ค้นหาคำนั้นแล้ว จึงควรหลีกเลี่ยง หรือถ้าไม่เลี่ยงก็ต้องประมูล Keyword นั้นแค่ช่วงเวลาเดียวที่มีการค้นหาเยอะ อย่าประมูลระยะยาว แต่ส่วนมาก Keyword ที่มีอัตราความเปลี่ยนแปลงในช่วง 3 เดือนสูง มักเป็นการโปรโมทระยะสั้น เช่นการโปรโมทในช่วงเทศกาลต่างๆ
  3. “เลือก Keyword ที่มีการค้นหาสูง คู่แข่งต่ำ” ถ้าเป็นไปได้ ควรเลือกประมูล Keyword ที่มีจำนวนการค้นหาสูง นั่นหมายความว่ามีคนต้องการสิ่งนั้นหรือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสิ่งนั้นค่อนข้างมาก แต่มีคู่แข่งที่จะทำการประมูล Keyword น้อย ทำให้ราคาประมูลไม่สูงนัก จึงคุ้มค่าต่อการจ่ายค่าโฆษณามากที่สุด

 

 

SEO (Search Engine Optimization)

ถัดมากับการทำ SEM คือ SEO แม้ว่าการทำ SEO มักจะถูกนำมาเปรียบเทียบกับการทำ SEM อยู่เสมอ แต่ถึงอย่างนั้น การทำ SEO ก็เป็นส่วนหนึ่งในการทำ SEM ด้วยเช่นกัน เนื่องจากการทำ SEM เป็นการทำการตลาดบนเว็บ Search Engine การทำ SEO ก็เป็นการทำการตลาดบนเว็บ Search Engine ด้วย โดยจะต้องอาศัยการค้นหาเพื่อเข้ามาเจอกับเนื้อหาของแบรนด์ แต่การทำ SEO ไม่ต้องจ่ายเงินเพื่อให้เนื้อหาอยู่บนสุด ไม่ต้องประมูล Keyword ไม่ต้องเสียเงินให้กับเว็บ Search Engine แต่ต้องใช้เทคนิคการทำ SEO ด้วยเนื้อหาคุณภาพ เชื่อมโยงกับ Keyword เพื่อให้เนื้อหาติดอันดับสูงๆ บนเว็บ Search Engine

เทคนิคการทำ SEO

  1. “จัดทำเนื้อหาที่เชื่อมโยง Keyword ยอดนิยม” โดยการทำเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับ Keyword ที่มีคนค้นหาเยอะๆ (หากต้องการรู้ว่าคำไหนคนค้นหาเยอะ ให้ใช้เครื่องมือช่วย เช่น Google trend, Google ads, Ubersuggest เป็นต้น) และมีการจัดวาง Keyword ที่เหมาะสม ตามเทคนิคการทำ SEO
  2. “ใส่ Keyword ใน Heading” ในการทำเนื้อหาควรใส่ Keyword เอาไว้ใน Heading จุดต่างๆ เพื่อให้เว็บ Search Engine รับรู้ว่าเนื้อหานั้นมีความเกี่ยวข้องกับ Keyword นั้นอย่างเข้มข้น เมื่อมีคนค้นคำนั้น จะได้แสดงในอันดับต้นๆ บนเว็บ Search Engine
  3. “ใส่ Keyword ไว้ 1-2% ในบทความ” นั่นคืออัตราที่เหมาะสมในการทำ SEO ควรมี Keyword ไว้ 1-2% ในบทความ เช่น บทความความยาว 1,000 คำ ก็ควรมี Keyword 10-20 คำในบทความนั้น

ทั้งหมดนี้ก็คือนิยามของการทำ SEM กล่าวโดยสรุปในเรื่องของเทคนิคการทำ SEM คือความคุ้มค่า เพราะเป็นการใช้งบค่าโฆษณา และจะต้องประเมินรอบด้าน เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด อิงตามพฤติกรรมการค้นหาบนออนไลน์ผ่านเว็บ Search Engine เป็นหลัก หากต้องการที่ปรึกษารับลงโฆษณา google ติดต่อเราได้เลยครับ

]]>