Social Marketing – SEO Master บริษัทรับทำ SEO รับดูแลเว็บไซต์ ราคาถูก ครบวงจร https://seomasterth.com SEO MASTER Mon, 15 Jan 2024 15:47:08 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.3.5 https://seomasterth.com/wp-content/uploads/2023/11/cropped-seomaster-icon-32x32.jpg Social Marketing – SEO Master บริษัทรับทำ SEO รับดูแลเว็บไซต์ ราคาถูก ครบวงจร https://seomasterth.com 32 32 LINE Official Account แพลตฟอร์มสร้างยอดขายขั้นเทพให้กับธุรกิจ https://seomasterth.com/line-official-account/ Sun, 24 Dec 2023 13:42:38 +0000 https://seomasterth.com/?p=26917 LINE Official Account แพลตฟอร์มสร้างยอดขายขั้นเทพให้กับธุรกิจ

 

LINE Official Account เป็นบัญชีไลน์รูปแบบหนึ่ง ที่มีวัตถุประสงค์หลักคือการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้า หรือเป็นบัญชีที่ใช้ในทางธุรกิจ ปัจจุบันแพลตฟอร์มดังกล่าวสามารถกระตุ้นยอดขายได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นระดับที่ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ มีตัวเลขและสถิติมากมายจากหลากหลายแบรนด์ ที่ช่วยการันตีได้ว่า แพลตฟอร์มนี้กระตุ้นการขายได้จริงและบางแบรนด์ยังทำรายได้เหนือกว่าแพลตฟอร์มอื่นอีกต่างหาก 

 

LINE Official Account คืออะไร? 

 

LINE Official Account หรือ LINE OA คือช่องทาง (Channel) หนึ่งที่ธุรกิจใช้สื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย ผ่านแอปพลิเคตชั่น LINE ซึ่งเป็นที่คุ้นเคยดีในฐานะแอปแชท ที่ผู้คนใช้สื่อสารกันระหว่างบุคคล โดยที่ปัจจุบันแบรนด์ธุรกิจก็ใช้ LINE สื่อสารกับลูกค้าด้วย แต่ธุรกิจหลายๆ ธุรกิจมักไม่ได้ใช้ LINE ทั่วไป เหมือนที่ผู้คนใช้กัน แต่จะใช้เป็น LINE OA แทน ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ LINE ที่ทำขึ้นเพื่อธุรกิจโดยเฉพาะ มีฟีเจอร์ที่รองรับกับธุรกิจมากกว่าแอป LINE ที่ผู้คนทั่วไปใช้งาน

ข้อแตกต่างระหว่าง LINE บัญชีบุคคลและ LINE Official Account 

 

มาดูความแตกต่างระหว่าง LINE บัญชีบุคคลและ LINE OA ซึ่งก็จะมีคุณสมบัติแตกต่างกันตามการใช้งาน บัญชีบุคคลมักมีไว้ติดต่อสื่อสารกับคนรอบตัว อาจเปิดรับข่าวสารบ้าง ตามที่ Platform มีให้ใช้บริการ แต่ LINE Official Account มีไว้เพื่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายในฐานะแบรนด์ และมีคุณสมบัติทางการตลาด ที่สามารถสร้างโฆษณาและใช้เงินซื้อโฆษณาได้ด้วย หรือที่เรียกวง่ายๆ ว่ายิง Ads ขณะที่  LINE บัญชีบุคคลไม่มีคุณสมบัติส่วนนี้ สามารถสรุปได้ ดังนี้

 

  1. LINE บัญชีบุคคลสร้างโฆษณาไม่ได้ ขณะที่ LINE OA สร้างโฆษณาได้
  2. LINE บัญชีบุคคล ตั้งโพสต์ล่วงหน้าไม่ได้ ขณะที่ LINE OA ตั้งโพสต์ล่วงหน้าได้
  3. LINE บัญชีบุคคลเพิ่มเพื่อนได้เพียง 5 พันคน ขณะที่ LINE OA เพิ่มได้ไม่จำกัดจำนวนลูกค้า
  4. LINE OA มีฟีเจอร์ Broadcast ช่วยกระตุ้นยอดขาย แต่ LINE บัญชีบุคคลไม่มี
  5. ระบบ Auto Reply ที่มีเฉพาะใน LINE OA
  6. ระบบ Keyword Reply Message ที่มีเฉพาะใน LINE OA เช่นกัน 

 

นี่เป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้นของความแตกต่างระหว่าง LINE บัญชีบุคคลกับ LINE Official Account นอกจากนี้ยังมีอีกหลายอย่างที่แตกต่างกัน โดยหลักๆ เลย LINE OA มีไว้เพื่อสื่อสารกับลูกค้าในฐานะแบรนด์ จึงมีฟีเจอร์ส่งเสริมการขายมากมาย 

ประเภทบัญชี LINE Official Account

 

ปัจจุบัน LINE OA มีประเภทบัญชีทั้งหมด 3 แบบ ได้แก่ บัญชีทั่วไป บัญชีรับรอง และบัญชีพรีเมียม รายละเอียด ดังนี้

 

1. บัญชีทั่วไป (Unverified)

 

บัญชีนี้เป็นบัญชีแรกที่จะได้รับจากการสมัคร LINE Official Account เป็นครั้งแรก โดยจะได้รับเครื่องหมายโล่สีเทา การใช้งานที่สามารถทำได้คือฟีเจอร์พื้นฐานอย่างการส่งข้อความ ส่งรูปภาพ เป็นต้น เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก ที่มีงบไม่มาก เพราะบัญชีทั่วไปจะไม่ต้องใช้เงินอัปเกรดคุณสมบัติใดๆ  

 

2. บัญชีรับรอง (Verified)

 

ถัดมาเป็นบัญชีรับรอง ที่ผ่านการรับรองจาก LINE โดยจะต้องจ่ายเงินเพื่ออัปเกรดให้เป็นบัญชีรับรอง ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ เพราะบัญชีรูปแบบนี้จะมีการตรวจสอบข้อมูลติดต่อและต้องได้รับการอนุมัติจากทาง LINE ว่าข้อมูลนั้นสามารถติดต่อได้จริง และมีสัญลักษณ์โล่สีฟ้าแสดง

 

3. บัญชีพรีเมียม (Premium)

 

ถัดมากับบัญชีพรีเมียม ที่ต้องอัปเกรดขึ้นมาจากบัญชีรับรองอีก โดยทางบัญชีที่สมัครจะได้รับเครื่องหมายโล่สีเขียวมาแสดง ฟีเจอร์การใช้งานจะครอบพร้อมกว่าบัญชีประเภทอื่นๆ ทั้งการยิงแอดโฆษณา การตั้งค่า Broadcast ข้อความ ฯลฯ เหมาะกับธุรกิจใหญ่ๆ หรือแบรนด์ซึ่งเป็นที่รู้จักในวงกว้าง มีผู้ติดตามจำนวนมาก โดยชื่อบัญชีจะสามารถค้นหาได้ทางช่องค้นหาเพื่อน ค่าใช้จ่ายสำหรับอัปเกรดบัญชีนี้ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของทาง LINE

วิธีสร้าง Line Official Account  

 

สามารถสมัครบัญชีได้ผ่านทางคอมพิวเตอร์และผ่านทางโทรศัพท์ ดังนี้

 

วิธีสมัครใช้งานผ่านคอมพิวเตอร์

 

  1. เข้าไปที่เว็บไซต์ https://lineforbusiness.com/th/service/line-oa-features
  2. กด “สร้างบัญชีทั่วไป” หรือ “สร้างบัญชีรับรอง” โดยให้เลือกรูปแบบที่ต้องการได้เลย
  3. กรณีที่ยังไม่มีบัญชีผู้ใช้ เลือก ”สร้างบัญชี” เพื่อสร้างบัญชีผู้ใช้งานก่อน เลือก “ลงทะเบียนด้วยบัญชี LINE” หรือ “ลงทะเบียนด้วยอีเมล์” และกรอกรายละเอียดให้ครบถ้วน
  4. กรณีที่มีบัญชีอยู่แล้ว สามารถเข้าสู่ระบบได้ทันที โดยคลิกที่ปุ่มสีเขียว “เข้าสู่ระบบด้วยบัญชี LINE” เพื่อ Login ด้วยบัญชี LINE ส่วนตัว หรือคลิกปุ่มสีเทา “เข้าสู่ระบบด้วยบัญชีธุรกิจ” เพื่อ Login ด้วยอีเมล์กลางทางธุรกิจ

 

วิธีสมัครใช้งานผ่านโทรศัพท์

 

  1. ทำการดาวน์โหลดเพื่อติดตั้งแอปพลิเคชั่น LINE Official Account ลงบนโทรศัพท์
  2. แตะ “เข้าสู่ระบบด้วยบัญชี LINE” เพื่อ Login ด้วยบัญชี LINE ส่วนตัว หรือแตะปุ่มสีเทา “เข้าสู่ระบบด้วยบัญชีธุรกิจ” เพื่อ Login ด้วยอีเมลกลางทางธุรกิจ แต่ถ้าหากไม่มีบัญชีจะต้องสมัครบัญชีเพื่อใช้งานก่อน
  3. แตะ “อนุมัติ” และกรอกรายละเอียดในช่องที่มีจุดสีเขียวให้ครบถ้วน จากนั้นตรวจสอบความถูกต้องและแตะ “ตกลง” 
  4. ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลอีกครั้ง แล้วแตะปุ่ม “เสร็จสิ้น” ก็จะได้บัญชี LINE Official Account มาใช้งาน

 

แนะนำฟีเจอร์น่าสนใจใน LINE Official Account

 

  1. Rich Message คือ ภาพแบนเนอร์ขนาดใหญ่ กว้างเต็มหน้าจอ ใส่ลิงค์ไปยังเว็บไซต์หรือ Social media ได้
  2. Rich Menu คือ เมนูลัดด้านล่างในหน้าต่างแชท สามารถตั้งค่าปุ่มให้ลูกค้าเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ได้ทันที 
  3. Rich Video คือ Video เล่นโดยอัตโนมัติเมื่อลูกค้ากดเข้ามาที่แชทไลน์ ใส่ลิ้งค์ได้เหมือนกับ LINE Rich Message 
  4. Coupon ที่ธุรกิจสามารถสร้างคูปองได้ ซึ่งคูปองนั้นลูกค้าใช้ตอนซื้อสินค้าผ่านทาง LINE ได้เลย

 

ปัจจุบันการใช้งาน LINE Official Account เป็นที่นิยมในแวดวงธุรกิจ จากสถิติที่มีผู้ใช้งาน LINE จำนวนมาก จึงมีโอกาสที่อัตราการเข้าถึงสินค้าหรือบริการผ่านทาง LINE จะมีจำนวนมากไปด้วย และ LINE ก็ยังมีฟีเจอร์ที่รองรับการซื้อขาย รวมถึงการ Tag เพื่อติดตามการขาย ใช้ในการเก็บวิเคราะห์ผลลัพธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

]]>
Digital Marketing คืออะไร? การตลาดดิจิทัล สำคัญยังไง https://seomasterth.com/what-is-digital-marketing/ Thu, 21 Dec 2023 15:07:15 +0000 https://seomasterth.com/?p=26723 Digital Marketing คืออะไร ?

          “การตลาด” (Marketing) คือ กระบวนการวางแผนและสร้างสรรค์สินค้า/ บริการ ราคา การจัดจำหน่าย และการส่งเสริมการตลาดเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนที่ทำให้เกิดความพอใจต่อบุคคลทั่วไปและหน่วยงาน

          ดังนั้น ‘Digital Marketing’ คือ การทำการตลาดรูปแบบใหม่บน Platform ดิจิทัลต่างๆ ไว้โฆษณาประชาสัมพันธ์ ทำแคมเปญทางการตลาด ไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย โดยรูปแบบของการตลาดลักษณะนี้ สามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ ดังจะเห็นได้จากสื่อโซเชียลช่องทางต่างๆ

Digital marketing สำคัญกับธุรกิจของคุณอย่างไร ?

           Digital Marketing จะช่วยโปรโมทสินค้าหรือบริการของคุณได้อย่างง่ายดาย สามารถเข้าหาลูกค้าได้ตรงตามกลุ่มเป้าหมาย ทำให้ลูกค้าของคุณมีส่วนร่วมกับแบรนด์ได้ง่ายมากกว่าเดิม เพิ่มการรู้จักของสินค้าได้ในวงกว้าง และสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา

  1. Digital Marketing จะช่วยทำให้ธุรกิจของคุณเป็นที่รู้จัก มีลูกค้าประจำและแนะนำต่อให้ผู้อื่น
  2. Digital Marketing จะชี้เป้าให้ถูกคน เน้นกลยุทธ์ให้ถูกกลุ่ม เพื่อผลลัพธ์ที่คุ้มกับที่ลงทุน
  3. Digital Marketing มีทั้งเครื่องมือและข้อมูล ที่พร้อมช่วยให้เพิ่มการเข้าถึงลูกค้าได้ดีกว่าการตลาดแบบดั้งเดิม

 

ทำไมถึงต้องเป็น Digital Marketing? 

           เพราะปัจจุบันยุคสมัยในเปลี่ยนไป การทำตลาดแบบดั้งเดิมก็เริ่มจะไม่มีผลต่อผู้บริโภคแล้ว เพราะเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทกับการตลาดแล้ว ดังนั้นการทำ Digita Marketing จะช่วยดึงดูดผู้คนมากหน้าหลายตาเข้ามาเจอกันบนโลกเสมือนจริง โลกดิจิทัลเป็นพื้นที่ที่นักการตลาดสามารถใช้ประโยชน์ในการโฆษณาสินค้า บริการ หรือโปรโมตแบรนด์ผ่านช่องทางนี้ได้ 

 

ช่องทางการทำ Digital Marketing 

 

1. Paid Search  

          Paid Searching คือ การทำ Digital Marketing บนช่องทางค้นหาหรืออีกชื่อคือ PPC (Paid-Per-Click) ซึ่งพูดง่ายๆ ก็คือการที่เราจ่ายเงินให้เว็บไซต์หรือโพสต์ของเรา

2. SEO

          Search Engine Optimization (SEO) คือ การทำอันดับให้เว็บไซต์ของลูกค้าอยู่ในตำแหน่งที่สูงในการค้นหาในเว็บไซต์ หรือ Search engine ต่างๆ เช่น Google และ Bing ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่

3. Influencer Marketing

          Influencer Marketing คือ คนดัง หรือ อินฟลูเอนเซอร์ที่อยู่บนโลกออนไลน์ ที่จะช่วยมาโปรโมตสินค้าให้กับเจ้าของธุรกิจ ซึ่งถือเป็น Soft Power อย่างหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มยอดขายได้ โดยเจ้าของธุรกิจไม่จำเป็นต้องไปติดต่ออินฟลูเอนเซอร์เหล่านั้นด้วยตัวเอง แต่จะเป็น Digital Agency ที่จะหาคนที่เหมาะสมกับธุรกิจของเรามากที่สุด ตลอดจนติดต่ออินฟลูเอนเซอร์คนนั้น ๆ ให้อย่างรวดเร็วด้วยเรตราคาที่ได้เฉพาะ Digital Agency เท่านั้น อันจะช่วยให้เจ้าของธุรกิจลดต้นทุนลงได้

4. Social Media Marketing

          Social Media Marketing คือ การทำการตลาดโซเชียลมีเดียให้กับลูกค้า โดยการสร้างและจัดการเนื้อหาบนโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่น Facebook, Instagram, Twitter เพื่อสร้างความสนใจและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ

5. Email Marketing

          Email Marketing วิธีการที่คลาสสิกแต่ไม่เคยตายของ Digital Marketing คือการส่งจดหมายผ่านทางอีเมล การทำ Marketing วิธีนี้เป็น Owned Channel ที่เราครอบครองข้อมูลและ Contact ของลูกค้าเอาไว้เอง และสามารถทำการตลาดแบบอัตโนมัติได้อีกด้วย

Online Marketing & Digital Marketing ต่างกันอย่างไร ?

          Online Marketing หรือ การตลาดออนไลน์ เป็น วิธีการหนึ่งของ Digital Marketing โดย Online Marketing จะอาศัยอินเทอร์เน็ตในการสื่อสารเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของแบรนด์ให้เข้าถึงลูกค้าผ่านทางช่องทางต่างๆทั้ง เว็บไซต์ หรือ Social Media Platform เป็นต้น

 

Digital Marketing สำคัญอย่างไร ?

           Digital Marketing สำคัญอย่างมากต่อธุรกิจต่างๆในปัจจุบันที่เข้าสู่ยุคดิจิทัล ผู้คนต่างเข้าถึงอินเทอร์เน็ตกันได้อย่างง่ายดาย การตลาดบนโลกดิจิทัลจึงทำให้สามารถเข้าถึงคนจำนวนมากได้จากหลากหลายช่อทาง ช่วยเพิ่มช่องทางในการโฆษณา เพิ่มโอกาสในการขาย และสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น

 

ตัวอย่าง Martech ยอดนิยมที่ใช้ในการทำ Digital Marketing

  1. HubSpot 
  2. ActiveCampaign
  3. Google Tag Manager
  4. Canva
  5. Figma
  6. Zapier
  7. ระบบ CRM
  8. WordPress
  9. Pipedrive
  10. Buffer

 

          สรุปได้ว่า Digital Marketing ก็คือ การทำการตลาดเพื่อกระจายแบรนด์ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าผ่านสื่อกลาง Digital Marketing ก็คือการทำการตลาดรูปแบบใหม่บน Platform ดิจิทัลต่างๆ เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่โลดแล่นอยู่บนโลกดิจิทัลที่มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic) เป็นสื่อกลาง

]]>
Ahrefs คืออะไร เครื่องมือทำ SEO มืออาชีพ https://seomasterth.com/ahrefs-seo-tool/ Thu, 21 Dec 2023 14:33:20 +0000 https://seomasterth.com/?p=26702 Ahrefs คืออะไร

Ahrefs คือ เครื่องมือสำหรับนักทำ SEO ใช้วิเคราะห์ข้อมูลเว็บไซต์ วิเคราะห์คีย์เวิร์ด Keyword Analysis วิเคราะห์แบ็คลิงค์ Backlink Analysis วิเคราะห์คู่แข่ง Competitor Analysis และตรวจสอบ Website Audit ซึ่งเมนูสำคัญๆที่ขอแนะนำ ของ Ahrefs มี 4 เรื่อง ดังนี้

  1. Site Explorer
  2. Keyword Explorer
  3. Site Audit
  4. Rank Tracker

Site Explorer เครื่องมือใช้วิเคราะห์เว็บไซต์เพียงใส่ URL ที่เราสนใจ จะเป็นเว็บตัวเองหรือเว็บไซต์ของคู่แข่งก็ดี โดยรายงานข้อมูล เช่น ค่า DR (Domain Rating), ค่า URL (URL Rating), จำนวน Backlink, จำนวน Referring Domain, จำนวน Keywords และจำนวน Traffic เป็นต้น

Keyword Explorer เป็นเครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์เกี่ยวกับ Keyword ที่เราสนใจ บอกถึงปริมาณการค้นหาของคำนั้น แสดงตัวเลข KD (Keyword Difficulty) ความยากของคีย์เวิร์ดในการทำ SEO แสดงราคาค่าลงโฆษณา (CPC) แนะนำ Keyword อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องและใกล้เคียงกับคำที่เราสนใจ เครื่องมือนี้เหมาะมากๆ สำหรับการวางแผน Keyword และ Topic Idea ในการวาง Content Strategy คล้ายๆกับเครื่องมือ Google Keyword Planner

Site Audit ฟีเจอร์นี้เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ฟีเจอร์สำคัญที่เป็นความสามารถเด่นของ Tool นี้ รีพอร์ทกลุ่มนี้ถูกสร้างขึ้นจากการที่ Ahrefs ส่ง Bot เข้ามา Crawl เว็บไซต์ของเรา แล้วสรุปปัญหาต่างๆ ออกมาให้เราสามารถนำไปแอคชั่นต่อได้ทันที เช่น หน้าไหนบ้างที่ไม่มีการเขียน Title Description เอาไว้ หน้าไหนบ้างที่ Title และ Descrition มีการซ้ำกัน โดยตั้งค่าเป็น Schedule ให้ทำ Site Audit ได้ เช่น ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน

Rank Tracker รีพอร์ทนี้ใช้สำหรับการติดตาม Track อันดับของ Keywords ทั้งหมดที่เราสนใจ ว่าอันดับมีการเพิ่มขึ้นหรือลดลงเท่าไรจากวันก่อนหน้า 1 วัน 7 วัน 30 เป็นต้น ทำให้เราเห็น Performance ของการทำ SEO แบบย้อนหลัง โดยรีพอร์ทจะแยกอันดับออกจากกันระหว่างการแสดงผลบน Desktop และ Mobile ไว้ด้วย โดยจะมีสรุปรายงานอันดับ ส่งอีเมล์มาบอกเราด้วย

Ahrefs ฟรีหรือไม่?

ราคาเครื่องมือ Ahrefs ไม่ฟรีนะครับ อัพเดทล่าสุด 2023-2024 (อาจจะมีเวอร์ชั่นฟรี ทดลองใช้งาน 7 วัน)

Ahrefs ฟีเจอร์สำคัญ ที่มักใช้บ่อย

Organic keywords

เครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ด รายงานอันดับของ Keywords ทั้งหมดของเว็บไซต์ เรียงตาม Traffic ที่ติดอันดับบน Google เห็นความเคลื่อนไหวอันดับว่าพบใหม่อันดับขึ้น หรือ อันดับตก (New, Improve, Declined) และเราสามารถ Sorting เรียงตาม Column ที่สนใจได้ ใช้วิเคราะห์คู่แข่ง ใช้หา Content มาทำตามลำดับความสำคัญได้

Referring domains

รายงานจำนวน Backlink จากเว็บไซต์ต่างๆที่อ้างอิงถึงเว็บไซต์เรา ความเคลื่อนไหวจำนวน Backlink ได้มาใหม่ (New) หรือ สูญหาย (Lost) ค่า DR, Traffic ของเว็บไซต์เหล่านั้น

Organic competitors

ใช้วิเคราะห์คู่แข่งว่ามีใครบ้างในเว็บประเภทเดียวกัน และเราค่อยลงลึกไปวิเคราะห์คู่แข่งทีละเว็บได้ อย่างเช่น Keyword Gap ที่จะช่วยหาคีย์เวิร์ดจากคู่แข่งมาแนะนำ โดยเป็นคีย์เวิร์ดที่เรายังไม่ทำและมีโอกาสติด SEO

Outgoing links

รายงานจำนวน Link ที่วิ่งออกจากเว็บเรา ในบางครั้งเราอาจไม่ตั้งใจทำอ้างอิงไปหาเว็บคนอื่น หรือเว็บเราอาจโดนแฮ็กทำลิ้งวิ่งออกเหล่านั้น

อื่นๆอีกมากมาย

สรุป

ทั้งหมดนี้เป็นความสามารถของเครื่องมือ Ahrefs ที่น่าสนใจเป็นอย่างมากหากจะเลือกเครื่องมือเพื่อใช้ในการทำแผน SEO อย่างถูกต้องและเกิดประสิทธิภาพสูง เป็นเครื่องมือที่มีรายละเอียดค่อนข้างมากต้องใช้ความเข้าใจในการใช้งานจึงจำเป็นต้องใช้เวลาศึกษาพอสมควร แต่หากคุณใช้เป็นตัวช่วยในการทำการกลยุทธ์การตลาดออนไลน์มันจะเพิ่มความง่ายให้แก่คุณได้เป็นอย่างดี

]]>
Conversion คืออะไร ทำไมจึงสำคัญต่อการทำธุรกิจออนไลน์อย่างมาก https://seomasterth.com/what-is-conversion/ Thu, 21 Dec 2023 13:21:02 +0000 https://seomasterth.com/?p=26695 ในการทำธุรกิจออนไลน์ หรือบริษัทที่มุ่งเป้าหันมาให้ความสนใจทำโฆษณา ประชาสัมพันธ์ใด ๆ ผ่านช่องทางดิจิทัลก็ตาม สิ่งที่คาดหวังย่อมหนีไม่พ้นการเกิดปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างธุรกิจกับกลุ่มเป้าหมาย พร้อมเพิ่มโอกาสสู่การเป็นลูกค้าได้ดังใจปรารถนา คำว่า “Conversion” จึงเกิดขึ้น ซึ่งใครที่ยังสงสัยว่า Conversion คืออะไร แล้วมีความสำคัญต่อธุรกิจออนไลน์มากแค่ไหน มาหาคำตอบทั้งหมดก่อนวางแผนกันได้เลย

Conversion คืออะไร

Conversion คือ การตอบสนองของลูกค้าด้วยกิจกรรมต่างๆ มีหน่วยวัดผลการกระทำนั้น (Conversion rate) เมื่อพวกเขาเข้ามาบนหน้าเว็บไซต์ของเรา หลังจากธุรกิจได้พยายามใช้กลยุทธ์ทางการตลาดหลายวิธี ซึ่งกิจกรรมที่ว่านี้สามารถเป็นได้ทั้งการสมัครสมาชิก การซื้อสินค้า / บริการ การสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมผ่านช่องทางที่ระบุ การขอใบเสนอราคา หรือแม้แต่แค่ลงทะเบียนใด ๆ ตามเงื่อนไขก็นับเป็นเรื่องดีและตรงกับจุดประสงค์ของธุรกิจอย่างยิ่ง

ปกติแล้วการทำ Conversion ต้องควบคู่กับการมี Conversion Tracking ซึ่งเป็นเครื่องมือในการวัดประสิทธิภาพของกิจกรรมต่าง ๆ ว่ามีผลลัพธ์เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าของเว็บไซต์จึงต้องติดตั้ง Tracking Code เอาไว้ด้วยในทุกช่องทางไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, Google, Line, TikTok โดยใช้ Google Tag Manager เครื่องมือดังกล่าวจะทำการส่งรายงาน Conversion อย่างละเอียดผ่านรูปแบบที่แพลตฟอร์มนั้นได้กำหนดไว้ไปยังเจ้าของ คุณก็สามารถนำไปวางแผนทางธุรกิจต่อนั่นเอง

ความสำคัญของ Conversion ต่อธุรกิจออนไลน์

1. สามารถวัดประสิทธิภาพการตลาดออนไลน์ได้

เป็นเรื่องปกติเมื่อธุรกิจตั้งใจใช้กลยุทธ์การตลาดแบบใดก็ตามเพื่อส่งต่อไปยังกลุ่มเป้าหมายและคาดหวังให้เขากดเข้ามาบนหน้าเว็บของคุณ เช่น การยิง Google Ads, การยิง Facebook Ads เมื่อรู้ Conversion ที่ชัดเจนย่อมบ่งบอกได้อย่างดีถึงประสิทธิภาพจากกลยุทธ์ที่เลือกใช้ หากช่องทางใด Conversion น้อย แสดงถึงผลลัพธ์ที่ไม่เป็นไปตามเป้า ต้องเปลี่ยนแผนกันใหม่ แต่ถ้าช่องทางไหนมีผลตอบรับดีก็บ่งบอกถึงการเป็นที่อยู่ของกลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจน

2. ต่อยอดวางแผนทางการตลาดในอนาคต

เมื่อรู้ถึงสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายต้องการจากผลตอบรับของการตลาดออนไลน์แคมเปญก่อนหน้า ธุรกิจก็สามารถต่อยอดวางแผนในอนาคตอย่างถูกต้อง แม่นยำ จะเลือกใช้กลยุทธ์แบบไหน อย่างไร สถิติทุกอย่างจากตัวเลขของ Conversion ที่แสดงไว้บ่งบอกได้หมดครบถ้วน ลดความเสี่ยงและข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ดีกว่าการเริ่มต้นแคมเปญแรกเสมอ

3. เข้าใจพฤติกรรมและเทรนด์ผู้บริโภค

ปฏิเสธไม่ได้ว่ายุคออนไลน์แบบนี้พฤติกรรมผู้บริโภคหรือเทรนด์การตลาดเปลี่ยนไปเร็วมาก บางเรื่องผ่านแค่สัปดาห์เดียวก็กลายเป็นเรื่องเก่า ไม่เหมาะกับการนำมาใช้ทำการตลาดอีกต่อไป การที่คุณมีสถิติจากกิจกรรมที่คนคลิกเข้ามาบนหน้าเว็บจึงทำให้รู้ว่าตอนนี้กระแสที่เกิดขึ้นกำลังเดินไปยังทิศทางไหน มีแนวโน้มต้องรีบปรับตามเลยหรือไม่ ซึ่งจุดนี้สามารถทำให้คุณเดินหน้าเร็วกว่าคู่แข่งได้อย่างน้อย 1 ก้าวเสมอ

4. นำข้อมูลไปใช้ทำ Remarketing

Remarketing คือ อีกหัวใจสำคัญในการเน้นย้ำเพื่อให้ลูกค้าเกิดการจดจำและเริ่มรู้สึกเอนเอียงอยากซื้อสินค้า / บริการมากขึ้น หากคุณเห็น Conversion จากเทคนิคการตลาดแบบไหนน่าสนใจ มีผลตอบรับเยอะ คนคลิกเข้ามาหน้าเว็บบ่อยพร้อมทั้งทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ชัดเจน เช่น การสั่งซื้อสินค้า การสมัครสมาชิก นั่นแสดงว่าวิธีดังกล่าวยังคงทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างต่อเนื่อง และการ Remarketing ก็เป็นวิธีที่ตอบโจทย์ในช่วงดังกล่าวได้อย่างดีเยี่ยม

เทคนิคสร้าง Conversion เพื่อให้คนสนใจเว็บไซต์คุณมากขึ้น

แม้โลกของการตลาดออนไลน์จะมีข้อดีเรื่องประสิทธิภาพในการวัดผล แต่ต้องอย่าลืมว่าไม่ใช่แค่ธุรกิจของคุณคนเดียวที่ทำ เพราะคู่แข่งต่างก็พยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามความคาดหวังของตนเอง ดังนั้นการรู้เทคนิคเพื่อสร้าง Conversion ให้มากขึ้นจึงไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด

1. ค้นหาช่องทางที่จะพบกับกลุ่มเป้าหมายให้เจอ

เมื่อจุดประสงค์หลักของการตลาดออนไลน์คือพุ่งเป้าไปยังกลุ่มเป้าหมายให้พวกเขาเกิดความสนใจ สิ่งแรกที่ควรทำจึงต้องค้นหาให้เจอว่าช่องทางไหนเป็นที่อยู่กลุ่มเป้าหมายของคุณมากที่สุด เช่น คนวัยทำงาน อายุ 40 ปีขึ้นไป จะนิยมหาข้อมูลผ่าน Google เพื่อเช็กรายละเอียดสินค้าให้ชัดเจนมากกว่าการเห็นข้อมูลแบบฉาบฉวยจาก Social Media เมื่อเจอแล้วก็หาเทคนิคขั้นตอนต่อไปได้เลย

2. พยายามทำหน้าเว็บให้ลื่นไหลและสะดุดตา

หน้าเว็บไซต์ก็เปรียบเสมือนหน้าร้าน หากคนคลิกเข้ามาแล้วช้า ดาวน์โหลดนาน ภาพไม่สวย ข้อมูลไม่น่าสนใจ ใครก็รีบกดออกแทบไม่ทัน การทำหน้าเว็บให้ลื่นไหลด้วยระบบหลังบ้านที่มีคุณภาพ รวมถึงออกแบบงานกราฟิกให้สวยงาม สะดุดตา ย่อมช่วยเพิ่มโอกาสที่ลูกค้าจะอยู่บนเว็บของคุณได้นานขึ้น คลิกเข้าไปดูหน้าต่าง ๆ หรือถึงแม้พวกเขาจะไม่ซื้อแต่ก็ยังเก็บคะแนน SEO ไว้เป็นกำลังใจอยู่บ้าง

3. Call to Action สำคัญสุด ๆ

อีกเทคนิคสำคัญของเมื่อทำการตลาดออนไลน์เพื่อต้องการให้ได้ Conversion ดี ๆ ต้องมี Call to Action หรือคำปิดท้าย คำกระตุ้นให้ลูกค้ารู้สึกอยากซื้อมากกว่าเดิม เช่น โปรนี้มีแค่สิ้นปีเท่านั้น คลิกเลย! หรือ เฉพาะสมาชิกรับส่วนลด 10% สมัครเลย! เป็นต้น สังเกตว่าเครื่องหมาย “!” เป็นสิ่งที่กระชากอารมณ์ได้เสมอ อย่าลืมนำมาใช้กันบ่อย ๆ ด้วย

เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณใช้กลยุทธการตลาดแล้วมี Conversion ที่ดี ผลลัพธ์มักออกมาในเชิงบวกทั้งเรื่องการรับรู้จากผู้บริโภค ยอดขาย ผลกำไร แต่ทุกสิ่งไม่มีอะไรยืนยาวจึงจำเป็นต้องพยายามหาแนวทางใหม่ ๆ ให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าอยู่เสมอ แล้วธุรกิจจะเดินหน้าต่อเนื่องไร้ปัญหาติดขัด

Conversion Rate ที่เรามักวัดผลตั้งเป็นเป้าหมาย (Goal)

1. Conversion Rate การสมัครสมาชิก User Registration (Create Account)

2. Conversion Rate การสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ Place an Order (E-commerce)

3. Conversion Rate หน้าการชำระเงิน Payment / Transaction

ตัวอย่าง Conversion Rate และ Goal ในเครื่องมือการตลาด Google Analytic

Conversion Rate กี่เปอร์เซ็นถึงเรียกว่าดี

ค่าเฉลี่ยเว็บไซต์ในธุรกิจทุกอุตสาหกรรม Conversion rate อยู่ระหว่าง 2-5% อยู่ในเกฑณ์ดี

สรุป

Conversion Rate เป็นการวัดผล event ต่างๆที่มีประโยชน์มากๆ สำหรับการจะตั้ง KPI หรือ Goal ให้กับธุรกิจ เพื่อที่จะใช้พัฒนาสินค้าและบริการที่สามารถวัดผลได้

 

]]>
Digital PR คืออะไร https://seomasterth.com/digital-pr-%e0%b8%84%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b0%e0%b9%84%e0%b8%a3/ Wed, 20 Dec 2023 16:18:09 +0000 https://seomasterth.com/?p=26651

Digital PR หรือ การประชาสัมพันธ์บนช่องทางออนไลน์นั้น มีการแข่งขันที่สูงมากในยุคนี้ เพราะกลุ่มลูกค้าออนไลน์มีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น หลายๆแบรนด์จึงต้องแข่งขันกันเข้าถึงลูกค้าในกลุ่มนี้ให้ได้มากที่สุด การทำ Digital PR ที่ดี จะทำให้แบรนด์สินค้า เข้าถึงลูกค้าได้อย่างแม่นยำ และมีค่าใช้จ่ายที่คุ้มค่า แต่ในทางกลับกัน หากแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งทำ Digital PR ที่ไม่มีประสิทธิภาพ การสื่อสารก็จะไปไม่ถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย หรือมีค่าใช้จ่ายที่สูงจนเกินไป

เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการทำ Digital PR ให้มากยิ่งขึ้นกันครับ

Digital PR คืออะไร

            การทำ Digital PR ก็คือการประชาสัมพันธ์แบรนด์ของเราบนช่องทางออนไลน์  เพื่อให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายรับรู้  สร้างการมองเห็นให้คนที่มีความสนใจในสินค้า หรือมี activity ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเรา ได้รับรู้ เข้าถึง ปิดการขาย จนไปถึงส่งต่อแบรนด์สินค้าของเราไปยังเครือข่ายของเขา เช่นการทำ SEO (Search engine optimization) , Content Marketing ,Social media ซึ่งจะมีเครื่องมือที่สร้างและเผยแพร่แบรนด์ของเราถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ

เหตุใด Digital PR จึงมีความสำคัญ

            นั่นก็เพราะ หัวใจสำคัญของการทำ Digital PR ก็คือ การทำให้แบรนด์ของเราเป็นที่รู้จักมากขึ้นในช่องทางออนไลน์  สร้างภาพลักษณ์ที่ดี มีความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ และนี่คือสาเหตุที่ต้องให้ความสำคัญกัลป์ Digital PR

  • เพื่อให้แบรนด์ของเราติดอยู่ใน SEO ที่มีมูลค่าสูง SEO ที่มีมูลค่าสูง ก็คือคีย์เวิร์ดของแบรนด์เราอยู่ในอันดับต้นๆของการค้นหา ทั้งใน google และ search engine อื่นๆ โดยในช่วงแรกอาจต้องใช้เครื่องมือ และเงินทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสร้างการรับรู้ในช่องทางออนไลน์ ซึ่งเมื่อมีผู้เข้าชมแบบออแกนิคเพิ่มขึ้น นั่นหมายความว่าเรามีการทำ Digital PR จนมี SEO ที่ดี
  • สร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อแบรนด์ของเรา ถึงแม้เราจะมี SEO ที่ดี อยู่ในหน้าแรกๆ ของการค้นหา แต่หากแบรนด์ของเรามีภาพลักษณ์ที่ไม่ดี มีการส่งต่อในเครือข่ายของลูกค้า นั่นก็ทำให้ SEO ของเราไม่ส่งผลต่อยอดขาย ซึ่ง Digital PR ที่ดี จะช่วยเพิ่มการรับรู้ภาพลักษณ์ที่ดีให้กลับลูกค้า จนนำไปถึงการเผยแพร่ในเครือข่ายของลูกค้าต่อไป

รู้จัก Digital PR ทั้ง 3 ประเภท

  • Owned media หรือ สื่อประชาสัมพันธ์ที่แบรนด์เป็นเจ้าของเอง เพื่อทำการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เช่น การเผยแพร่แบรนด์ผ่านเว็บไซต์ตนเอง ผ่านบัญชีโซเชียลมีเดียของแบรนด์เอง ผ่านอีเมลมาร์เก็ตติ้ง ซึ่งประสิทธิภาพการเข้าถึงเป้าหมายอาจด้วยกว่า สื่อประเภทอื่น แต่มีข้อดีในเรื่องต้นทุน การบริหาร และเนื้อหาของสื่อประชาสัมพันธ์
  • Paid media หรือสื่อประชาสัมพันธ์ที่ต้องชำระเงินเพื่อเผยแพร่ เช่น การโฆษณาบน google ,Banner เว็บไซต์ที่สัมพันธ์กับสินค้าเรา ,การซื้อโฆษณาบนโซเชียลมีเดีย หรือกระทั่งการสร้างการรีวิว ซึ่งสื่อประเภทนี้ จะแม่นยำกับกลุ่มเป้าหมาย มีความหลากหลายของแพลตฟอร์ม จนไปถึงการปิดการขายบนสื่อก็สามารถทำได้
  • Earned media หรือสื่อที่มีผู้อื่นสร้างให้ เช่นการแชร์ การส่งต่อในกลุ่มเครือข่าย หรือการแนะนำในโซเชียลมีเดียว ซึ่งสื่อประเภทนี้จะไม่มีค่าใช้จ่าย และเป็นสื่อที่มีคุณค่ากับแบรนด์มาก เพราะหากมีการส่งต่อในแง่ที่ดีของแบรนด์เรา ก็จะเพิ่มลูกค้าได้เป็นทวีคูณ แต่ในทางกลับกัน หากแบรนด์เรามีภาพลักษณ์ที่ไม่ดี ก็จะมีการส่งต่อสิ่งนี้ไปยังเครือข่ายของลูกค้าเรา โดยที่เราไม่สามารถควบคุมได้

ประโยชน์ของการทำ Digital PR

  1. เพิ่มการรับรู้ที่มีต่อแบรนด์

Digital PR จะช่วยสร้างการรับรู้ต่อแบรนด์ให้กับกลุ่มเป้าหมายในช่องทางออนไลน์ เพื่อให้รู้จักในวงกว้าง ทั้งช่องทางเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย หรือแอพพลิเคชัน

  1. ปรับปรุงอันดับการค้นหาแบบ Organic

Digital PR ช่วยปรับปรุงอันดับเว็บไซต์ให้อยู่ในอันดับแรกๆในคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์แบบ organic ซึ่งยิ่งเว็บไซต์มีการคลิ๊กด้วยการค้นหามากเท่าไหร่ อันดับการค้นหาก็จะดีขึ้นตามไปด้วย

  1. เพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์

การทำ Digital PR จะช่วยเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ให้มากขึ้น และเพิ่มเวลาในการเข้าชม หรือเพิ่ม Activity ในเว็บไซต์ จะส่งผลให้มีอันดับในการค้นหาแบบ Organic ที่ดียิ่งขึ้น

  1. สร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์

การทำ Digital PR ที่ดีนั้น นอกจากจะสร้างการรับรู้แล้ว ยังสร้างความน่าเชื่อถือ ให้กับแบรนด์ เพราะเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะสร้างโอกาสในการปิดการขายได้

  1. เพิ่มยอดขาย

เป้าหมายหลักของการทำ Digital PR คือการเพิ่มยอดขายให้ได้มากขึ้น เพิ่มยอดขายในกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ หรือลูกค้าเก่า ซึ่งล้วนแล้วต้องพึ่งพาการทำ Digital PR ที่มีคุณภาพ

กลยุทธการทำ Digital PR

ถึงแม้การทำ Digital PR จะช่วยเพิ่มช่องทางการรับรู้ถึงแบรนด์ในช่องทางออนไลน์ได้ดี แต่จะดีไหม หากเรามีกลยุทธในการทำ Digital PR ให้มีประสิทธิภาพขึ้นไปอีก เราลองมาดูกลยุทธในการทำ Digital PR หลักๆที่นิยมกันครับ

  • ให้บล็อกเกอร์ นักรีวิว หรือผู้ที่มีชื่อเสียงในโลกออนไลน์ กล่าวถึงแบรด์ของเรา เพื่อให้ได้การรับรู้ที่มีปริมาณสูง แต่อาจมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นตามความนิยมของพวกเขาเหล่านั้น
  • มีการสร้างเนื้อหาที่เกี่ยวกับสินค้า หรือแบรนด์ของเรา
  • สร้างอินโฟกราฟฟิกที่โดดเด่น ไม่ซ้ำกับแบรนด์อื่น และต้องสื่อสารให้ลูกค้าเข้าใจง่าย
  • การสร้างกราฟฟิกเคลื่อนไหว และโต้ตอบได้ จะช่วยเพิ่มการประชาสัมพันธ์ได้ดียิ่งขึ้น

เครื่องมือในการทำ Digital PR

  • Google Analytics เป็นเครื่องมือที่ใช้ Monitor Traffic ที่นิยมตัวหนึ่ง เพราะคนส่วนมากนิยมค้นหาจาก Google ทำให้ได้ผลที่ละเอียด เหมาะที่จะนำไปวิเคราะห์ลูกค้า
  • Google Search Console เป็นเครื่องมือในการจัดการ SEO เพื่อตรวจสอบคุณภาพของการประชาสัมพันธ์ และค้นหาจุดผิดพลาดในการทำ SEO
  • Ahrefs Backlink Checker เป็นเครื่องมือตรวจสอบ Backlink ว่ามีประเภทใดบ้าง มาจากที่ไหนบ้าง
  • Semrush เป็นเครื่องมือแนว all in one ที่สามารถทำ SEO ตรวจสอบ Backlink ได้ในตัวเดียว
  • Buzzsumo เป็นเครื่องมือใช้ดูความสนใจใน Social Media เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้า Social Media
  • Google Trends เป็นเครื่องมือที่เช็คเทรนการค้นหาใน Google ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สำคัญอีกตัวที่ผู้ทำ Digital PR จะต้องศึกษาก่อนทำ

 

จะเห็นได้ว่าการทำ Digital PR เป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อที่จะให้ได้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายในช่องทางออนไลน์ และหากมีการทำที่ดี และสม่ำเสมอ ก็จะช่วยให้ ปรับปรุงอันดับการค้นหาขึ้นไปอยู่ในอันดับต้นๆได้อย่างแน่นอนครับ

]]>
Google Adwords คืออะไร ทำไมจึงสำคัญต่อธุรกิจออนไลน์ยุคนี้ https://seomasterth.com/google-adwords-%e0%b8%84%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b0%e0%b9%84%e0%b8%a3/ Tue, 19 Dec 2023 08:51:25 +0000 https://seomasterth.com/?p=26598 สำหรับคนทำธุรกิจในปัจจุบันช่องทางออนไลน์กลายเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยสร้างโอกาสแห่งความสำเร็จ ซึ่งกลยุทธ์ที่นิยมใช้ก็มีตั้งแต่การทำ SEO ช่องทาง Social Media แต่ถ้ามองถึงวิธีที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันเชื่อว่าต้องมีชื่อของ “Google Adwords” รวมอยู่ด้วยแบบไม่ต้องสงสัย มือใหม่ที่ยังสงสัยว่า Google Adwords คืออะไร ใช้งานยังไง แล้วมีความสำคัญต่อธุรกิจมากน้อยแค่ไหน บทความนี้มีคำตอบแบบละเอียดให้ครบถ้วนทุกประเด็น

ตอบข้อสงสัย Google Adwords คืออะไร

Google Adwords หรือ Google Ads คือ รูปแบบการโฆษณาผ่านช่องทางของ Google ในฐานะ Search Engine อันดับ 1 ของเมืองไทยและของโลก หลักการใช้งานเมื่อคุณมีบัญชีกับทาง Google เรียบร้อยก็สามารถเริ่มลงโฆษณาในรูปแบบที่เหมาะกับธุรกิจของตนเองได้ทันที อย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายในการโฆษณาดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับจำนวนของผู้คลิกเข้าชม หรือที่เรียกว่า Pay Per Click (PPC)

ประเภทของ Google Adwords ที่ได้รับความนิยม

1. Google Search

ต้องใช้ Keyword เพื่อสร้างโฆษณาบนหน้าเว็บ Google เมื่อมีคนค้นหาคำดังกล่าวเว็บของคุณจะติดอันดับอยู่ด้านบนหรือด้านล่างในหน้าแรก เหมือนการทำ SEO แต่ผลลัพธ์รวดเร็วมากกว่า

2. Google Display Network

หรือ GDN คือลักษณะของแบนเนอร์ซึ่งมีได้ทั้งภาพและตัวอักษรเพื่อโฆษณาดึงดูดความสนใจ โดยจะถูกนำไปแปะเอาไว้ตามเว็บพันธมิตรของ Google ที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกับธุรกิจของคุณ

3. Video Ads

โฆษณาประเภทนี้จะทำเป็นคลิปวิดีโอแล้วลงผ่านช่องทาง YouTube ซึ่งมีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับความเหมาะสมหรือความพึงพอใจของผู้ลงโฆษณา เช่น Display Ad, Overlay in-video ads, Non-Skipable in-stream ad, Bumper advertising (คลิกเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม)

4. Shopping Ads

ตัวโฆษณาจะถูกทำออกมาในลักษณะของการขายสินค้านั้น ๆ ชัดเจน ต้องมีข้อมูลและราคาพร้อมช่องทางการซื้อระบุเอาไว้ให้ละเอียดครบถ้วน ลูกค้าสามารถคลิกเข้าซื้อได้ทันที

5. Application Ads

เป็นการโฆษณาผ่านช่องทางมือถือโดยมีจุดประสงค์ให้คนดาวน์โหลดแอปพลิเคชันที่คุณสร้างขึ้นมา

ขั้นตอนเบื้องต้นเมื่อตัดสินใจทำ Google Adwords

แม้ Google Adwords จะมีหลายรูปแบบให้เลือก แต่ถ้าพิจารณาจากความง่ายมากสุดก็ต้องยกให้กับ Google Search เพราะคุณไม่จำเป็นต้อมีทักษะด้านการตัดต่อ การสร้างภาพแบนเนอร์ ไม่ต้องเสียเวลาลงรายละเอียดข้อมูลสินค้าใด ๆ ทั้งสิ้น เพียงแค่มีเว็บไซต์หลักที่ต้องการให้ลูกค้าคลิกเข้าไปก็สามารถเริ่มเข้าสู่การยิง Google Ads ได้ทันที ซึ่งขั้นตอนเบื้องต้นให้ทำตามนี้เลย

  1. คลิกเข้าไปบนหน้าเว็บไซต์ Google Ads จากนั้นสมัครสมาชิก สร้าง Account ของตนเองและตั้งค่าพื้นฐานสำหรับการใช้งาน Google Adwords
  2. คัดเลือก Keyword ที่ต้องการใช้ แนะนำให้เลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะกับธุรกิจของตนเอง คู่แข่งไม่จำเป็นต้องสูง เพื่อราคา Bid ไม่รุนแรงมากเกินเหตุ
  3. กำหนดค่าใช้จ่ายงบประมาณรายวันและค่า PPC เมื่อมีคนคลิกเข้ามารับชมเว็บไซต์ของคุณผ่านช่องทางการทำ Google Ads
  4. สร้างข้อความโฆษณาพร้อมใส่ Keyword ที่เลือกลงไป (เน้นเขียนให้สั้น กระชับ แต่ครบถ้วน อ่านแล้วดึงดูดใจให้อยากคลิกเข้ามาซื้อ)
  5. ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยก็รอผลลัพธ์และชำระเงินตามจำนวนคนที่คลิกเข้ามารับชมกันได้เลย

ข้อควรรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการทำ Google Adwords

หากคุณสนใจอยากเริ่มทำ Google Adwords นอกจากการค้นหา Keyword ให้เหมาะสมด้วยการเลือกคำที่คนค้นหาระดับปานกลางไปค่อนทางสูง ไม่เน้นคำทั่วไปที่คนเสิร์ชเยอะเพราะแข่งขันสูงและผลลัพธ์ไม่ค่อยน่าพึงพอใจ ยังมีข้อควรรู้เบื้องต้นอื่น ๆ เพิ่มเติมที่อยากบอกต่อ

  • เมื่อกำหนดค่าโฆษณาที่ต้องเสียผ่าน PPC และมียอดคนคลิกเข้ามาจนคุณต้องจ่ายครบตามจำนวนวันนั้นแล้ว โฆษณา Google Adwords ดังกล่าวจะหยุดแสดงและหายไปจนกว่าจะเริ่มวันใหม่
  • คำโฆษณาที่ใช้ปรับใหม่ได้ตลอด อยากเพิ่มเติมโปรโมชั่นแบบไหน ใช้คำดึงดูดใจ อัปเดตข้อมูลใหม่ล่าสุดสามารถทำได้ตลอดเวลา
  • Google Adwords จะแสดงผลเมื่อคะแนนบนแถบด้านบนเต็ม 10 นั่นหมายถึงเป็นโฆษณาที่มีประสิทธิภาพตามคำนิยมของ Google
  • กำหนดพื้นที่สำหรับยิงโฆษณาได้ เช่น ระบุจังหวัด ประเทศ เพื่อให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของตนเองมากที่สุด
  • ตอนนี้มีระบบที่เรียกว่า Performance Max Campaign ไม่ต้องเสียเวลาตั้งค่าให้ยุ่งยากเพราะสามารถยิง Ads ได้กับทุกช่องทางของ Google เช่น Search, YouTube, Maps, Gmail. Discovery, Display เพียงแค่ทำโฆษณาออกมาแค่ตัวเดียว

ทำไมการทำ Performance Max Campaign จึงสำคัญต่อธุรกิจออนไลน์

1. Google คือ เว็บค้นหาอันดับ 1

อย่างที่บอกไปว่า Google ถือเป็นเว็บ Search Engine อันดับ 1 ของไทยและของโลก คนไทยกว่า 99% ใช้เว็บนี้เพื่อค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ดังนั้นคุณจึงมีโอกาสเป็นที่รู้จัก สามารถสร้างยอดขายได้มากขึ้นเมื่อทำ Google Adwords

2. มีสถิติตัวเลขให้นำไปใช้งาน

ปัจจัยต่อมาการยิงแอดผ่าน Google จะมีสถิติตัวเลขต่าง ๆ เกี่ยวกับโฆษณาที่ลงไป สามารถนำเอาไปใช้เพื่อวางแผนการทำ Ads ครั้งถัดไปได้ง่ายขึ้น รวมถึงยังต่อยอดสู่แผนการตลาดของธุรกิจ

3. ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ชัดเจน

คุณสามารถกำหนดได้ว่าแต่ละวันต้องการตั้งค่าจำนวนเงินที่พร้อมจ่ายกี่บาท ซึ่งเป็นไปตามงบขององค์กรหรือความเหมาะสม งบไม่มีบานปลายให้ต้องกังวลใจ

4. กำหนดพื้นที่กลุ่มเป้าหมายได้จริง

การลง Google Adwords สามารถกำหนดได้ว่าต้องการยิงแอดไปพื้นที่ใด บริเวณไหนของโลก เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายของตนเองเห็นและมีโอกาสเปลี่ยนเป็นลูกค้ามากที่สุด

นี่คือข้อมูลน่าสนใจทั้งหมดของ Google Adwords ซึ่งถือเป็นช่องทางการทำโฆษณาอันทรงพลังผ่านโลกออนไลน์ สร้างโอกาสต่อยอดสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายที่คาดหวังเอาไว้ ได้ผลลัพธ์ดีและยังต่อยอดเพิ่มเติมสู่อนาคตไม่ยากเลย เรามีบริการรับลงโฆษณา Google Ads ติดหน้าแรก Google สำหรับเจ้าของธุรกิจที่ไม่มีเวลาในส่วนนี้ครับ

]]>
Call To Action คืออะไร สำคัญต่อธุรกิจอย่างไร https://seomasterth.com/what-is-call-to-action/ Mon, 18 Dec 2023 05:41:43 +0000 https://seomasterth.com/?p=26540 Call To Action คืออะไร สำคัญต่อธุรกิจอย่างไร

 

นักการตลาดออนไลน์บางคนน่าจะคุ้นหูกับคำว่า Call To Action แต่อาจยังไม่รู้ความหมายที่แน่ชัด ครั้งนี้ทางบทความจึงรวบรวมเอาข้อมูลเกี่ยวกับความหมายว่า Call To Action คืออะไรมาฝาก เพื่อให้นักการตลาดได้ทำความเข้าใจและนำไปใช้ให้ถูกต้องเหมาะกับธุรกิจของตัวเอง 

Call To Action คืออะไร?

 

Call To Action หรือ CTA คือการโน้มน้าวให้ผู้รับสาร กระทำบางอย่างด้วยข้อความกำกับ เพื่อตอบจุดประสงค์ตามแผนการตลาดที่วางไว้ โดยคำว่า Call หมายถึง เรียก, เรียกหา To หมายถึง ถึง, ไปยัง, ไปหา ส่วน Action หมายถึง การกระทำ เมื่อรวมกันแล้วแปลตรงตัวจะกลายเป็น เรียกหาไปยังการกระทำ ซึ่งก็เหมือนกับการขอให้ทำให้หน่อยในเชิงโน้มน้าว โดยไม่ใช่คำสั่ง และไม่ถึงกับขอร้องนั่นเอง

 

ในการกระทำที่เรียกว่า Call To Action เพื่อให้เกิดผลลัพธ์อาจเป็นไปได้ยากสักหน่อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย เปรียบเสมือนการบอกให้ผู้รับสารกระทำบางอย่างหลังจากเห็นเนื้อหานั้น เช่น การใส่ข้อความกำกับว่า “อย่าลืมกดไลค์ กดแชร์” หลังเห็นเนื้อหานั้นบน Facebook หรือแม้แต่การติดปุ่ม “สั่งซื้อเลย” บนโพสต์เพื่อให้ผู้รับสารกดสั่งซื้อสินค้า รวมถึงการติดปุ่ม “ทักแชท” บนโพสต์เพื่อให้ผู้รับสารส่งข้อความเข้ามา และการติดปุ่มที่กำกับว่า “คลิกเลย” ก็เป็นการ Call To Action รูปแบบหนึ่ง 

 

ไม่ใช่เพียงสื่อออนไลน์เท่านั้นที่สามารถทำได้ แต่สื่อออฟไลน์ อย่างเช่นใบปลิวก็สามารถทำได้ ยกตัวอย่างเช่นการระบุเบอร์โทรศัพท์เอาไว้ แล้วกำกับด้วยข้อความ “โทรเลย” ก็เป็นการ Call To Action เช่นกัน 

ความสำคัญของ Call To Action คืออะไร?

 

Call To Action คือสิ่งสำคัญกับการตลาด เพราะนอกจากสื่อสารว่าสินค้าคืออะไร ดีอย่างไร ราคาเท่าไร แต่ถ้าขาด Call To Action ก็อาจทำให้โอกาสการขายลดลงได้ เนื่องจาก Call To Action ช่วยกระตุ้นการซื้อได้ จะเห็นว่าบางครั้งโฆษณาที่ลงรายละเอียดไว้เกือบครบทุกอย่าง แต่ไม่มี Call To Action ก็อาจทำให้คนเลื่อนผ่านไปได้หลังจากอ่านรายละเอียดครบแล้ว 

 

ขณะที่อีกแบรนด์หนึ่งอาจขายสินค้าเดียวกัน ให้รายละเอียดครบถ้วนเหมือนกันทุกอย่าง แต่เพิ่มเติมคือ Call To Action ด้วยปุ่มสั่งซื้อ อาจทำให้กลุ่มเป้าหมายที่สนใจสินค้าแตะปุ่มสั่งซื้อแทนที่จะเลื่อนผ่านเหมือนกับแบรนด์แรก และเมื่อลองแตะปุ่มแล้วก็มีโอกาสที่จะสั่งซื้อให้สำเร็จ ขณะที่แบรนด์แรกที่ไม่ยอมติดปุ่มสั่งซื้อไว้ ก็ไม่ทำให้เกิดโอกาสตรงนี้ บางแบรนด์อาจเพิ่ม Call To Action หลังแตะปุ่มสั่งซื้อด้วยการแจกโค้ดส่วนลด เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสั่งซื้อให้สำเร็จได้อีกด้วย ช่วยเพิ่มโอกาสการสั่งซื้อให้วสำเร็จสูงขึ้นอีก 

 

ในบางกรณีสามารถเรียก Action ได้โดยไม่ได้ทำการ Call To Action แต่ก็อาจเป็น Action ที่ไม่ตรงกับวัตถุประสงค์นัก ยกตัวอย่างเช่น การโฆษณาสินค้าที่บอกรายละเอียดครบ แต่ไม่ได้ระบุว่าสามารถซื้อได้ด้วยวิธีไหน หรือไม่มีปุ่มสั่งซื้อติดไว้ ทำให้เกิด Comment คำถามใต้โพสต์ว่า สั่งซื้อยังไง, ซื้อได้ที่ไหน ฯลฯ ก็ทำให้ขายไม่ได้ ทั้งที่คนสนใจซื้อแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น แม้จะขายไม่ได้ แต่การ Comment ถาม ก็คือการ Action ในรูปแบบหนึ่งเช่นกัน แม้เนื้อหาจะขาด Call To Action แต่ก็ทำให้เกิด Action ได้ ซึ่งอาจไม่ถูกจุดประสงค์เท่าไร หากจุดประสงค์หลักคือการขาย 

วิธีทำ Call To Action คืออะไร?


วิธีทำให้เกิด Call To Action สามารถทำได้หลากหลายวิธี เน้นไปที่การโน้มน้าวเพื่อให้เกิดการกระทำบางอย่าง ไม่จำเป็นว่าการกระทำนั้นต้องเป็นการสั่งซื้อเสมอไป ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์หลักของแผนการตลาดว่าต้องการอะไร โดยในครั้งนี้ทางบทความก็จะยกตัวอย่างวิธีทำ Call To Action มาให้ ดังนี้

 

การทำ Call To Action บนเว็บ Marketplace 

 

จุดประสงค์หลักที่พบได้มากที่สุดบนเว็บ Marketplace คือการสั่งซื้อสินค้า ทำให้การทำ Call To Action คือการ “ติดปุ่มใส่ตะกร้า/ใส่รถเข็น” เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายทำการสั่งซื้อสินค้า และอาจมีการทำ Call To Action ถัดไปด้วยการ แจกคูปองส่วนลดหรือโค้ดส่วนลด เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายกดรับส่วนลดนั้น และทำการสั่งซื้อให้สำเร็จ เป็นต้น

การทำ Call To Action บน Social Media 

 

ในส่วนของการทำ Call To Action บน Social Media อาจมีความซับซ้อนมากกว่าบนเว็บ Maketplace เพราะกลุ่มเป้าหมายที่ใช้งาน  Social Media ไม่ได้มีความตั้งใจซื้อสินค้าตั้งแต่แรก บางครั้งอาจมีการนำ Customer Journey มาปรับใช้ในการทำ Call To Action ด้วย เพื่อให้คนสนใจสินค้าหรือรู้จักสินค้าก่อน หากเกิดความสนใจแล้วค่อยนำไปสู่การขายภายหลัง และอาจมีการทำ Call To Action เชื่อมต่อไปยังเว็บ Marketplace ด้วย ขึ้นอยู่กับแผนการตลาดของแต่ละธุรกิจ

 

  1. ติดปุ่ม “ส่งข้อความ” เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง เช่น เพื่อปิดการขาย, เพื่อยิงแอดซ้ำ ฯลฯ 
  2. เชิญชวนให้กดปุ่ม Reaction (Like, Love, Laugh, Wow ฯลฯ) เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง เช่น เพื่อกรองกลุ่มเป้าหมายและทำการตลาดต่อ ฯลฯ
  3. เชิญชวนให้กดปุ่ม Share เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง เช่น เพื่อการโฆษณาโดยการบอกต่อแบบ Organic ฯลฯ
  4. ติดปุ่ม “เรียนรู้เพิ่มเติม” เพื่อเชื่อมต่อไปยังหน้าเว็บไซต์อื่น เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง เช่น เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติม, เพื่อปิดการขายบนเว็บ Marketplace, เพื่อกรองกลุ่มเป้าหมายและทำการตลาดต่อ ฯลฯ

 

เทคนิคการทำ Call To Action คืออะไร?

 

เทคนิคที่สำคัญที่สุด คือการทำ Call To Action ที่ตรงตามจุดประสงค์ ก่อนอื่นจะต้องวางวัตถุประสงค์ก่อนว่า จะสื่อสารอะไรเพื่อให้เกิดอะไร หากวัตถุประสงค์หลักคือเพื่อสร้างการรับรู้ ก็ยังไม่จำเป็นต้องทำ Call To Action เพื่อให้เกิดการซื้อตั้งแต่แรก แต่อาจจะทำ Call To Action เพื่อให้เกิดการเรียนรู้เพิ่มเติม ทำความรู้จักกับแบรนด์หรือทำความรู้จึกกับสินค้าไปก่อน แล้วเก็บกลุ่มเป้าหมายเหล่านั้นไว้เพื่อทำ Call To Action เพื่อการขายภายหลังได้ นอกจากนี้ข้อความที่เกี่ยวกับการทำ Call To Action ควรเป็นข้อความที่สั้นกระชับ เข้าใจง่ายและดึงดูด ซึ่งส่งผลต่อให้เกิด Action ได้ง่ายกว่าข้อความยาวๆ เช่น โทรเลย, สั่งเลย, ทักเลย, ดูเพิ่มเติม, อ่านเพิ่มเติม เป็นต้น

 

หลังจากที่หลายคนได้รู้ความหมายไปแล้วว่า Call To Action คืออะไร คงจะพอนึกภาพออกแล้วว่าสำคัญต่อธุรกิจมากแค่ไหน ก็อย่าลืมนำไปปรับใช้ให้ถูกต้องกับธุรกิจของตัวเอง 

]]>
การทำ SEO คืออะไร วิธีทำมีอะไรบ้าง https://seomasterth.com/what-is-seo/ Sat, 16 Dec 2023 17:04:35 +0000 https://seomasterth.com/?p=26447 การทำ SEO คืออะไร วิธีทำมีอะไรบ้าง 

 

การทำ SEO (Search Engine Optimization) คือสิ่งที่สำคัญอีกหนึ่งอย่างสำหรับการตลาดออนไลน์ เป็นเครื่องมือที่ส่งผลลัพธ์ระยะยาว หากทำแล้วมีประสิทธิภาพ เนื้อหาที่ทำจะติดหน้าแรกของเว็บ Search Engine ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสการรับรู้ของกลุ่มเป้าหมาย และเพิ่มโอกาสการขายให้กับธุรกิจด้วย

การทำ SEO คืออะไร?

 

การทำ SEO คือการทำเนื้อหาให้ติดหน้าแรกของเว็บ Search Engine ตามหลักการของการทำ SEO ที่อาศัย Keyword เป็นตัวช่วยหลักในการที่จะทำให้เนื้อหานั้นติดหน้าแรก หากติดหน้าแรกสำเร็จก็จะดีต่อธุรกิจ เพราะจะทำให้คนเข้าเว็บเยอะ ยิ่งคนเข้าเยอะเท่าไรก็ยิ่งเพิ่มโอกาสการรับรู้และการขายให้สำเร็จขึ้น การทำ SEO จึงสำคัญต่อธุรกิจในแง่ของการส่งเสริมการขาย 

 

การทำ SEO มีกี่ประเภท?

1. SEO สายขาว (white hat seo)

คือการทำ SEO แบบธรรมชาติ ถ้าเรามี Content ที่ดี ก็จะมีเว็บไซต์อื่นอ้างอิงมีลิ้งค์เชื่อมมาหาเว็บเราเอง หลักการที่ว่า “Content is the king” ยังคงใช้ได้เสมอ

2. SEO สายดำ (black hat seo)

คือการทำ SEO ที่ไม่ถูกวิธี ผิดหลักธรรมชาติ เช่น การเข้าไปใส่ Link ในช่อง Comment ในหน้า Profile ต่างๆ ส่วนใหญ่พวกเว็บสีเทา ไม่ค่อยดีจะทำกันบ่อย เพราะไม่มีเว็บปกติจะพูดถึงเว็บเหล่านี้อยู่แล้ว

หลักการทำ SEO คืออะไร?

จากที่ได้กล่าวไปในข้างต้น ว่าการทำ SEO คือการทำเนื้อหาให้ติดหน้าแรกของเว็บ Search Engine ตามหลักการของการทำ SEO หลายคนคงเกิดคำถามตรงนี้ว่า แล้วหลักการในการทำ SEO คืออะไรบ้าง ซึ่งจะขออธิบายเบื้องต้นในหัวข้อนี้

อ่านวิธีทำ SEO ในปี 2024 แบบละเอียด >> วิธีทำ SEO

 

1.ตัวช่วยสำคัญของการทำ SEO คือ Keyword 

 

หลักการแรกของการทำ SEO คือต้องใช้ Keyword เป็นตัวช่วย โดย Keyword ก็คือคำค้นหาบนอินเทอร์เน็ต เวลาคนเราจะค้นหาอะไร เราก็มักจะพิมพ์คำนั้นลงไปในเว็บ Search Engine (ยกตัวอย่างเช่น Google, Yahoo, Ask เป็นต้น) คำที่ถูกพิมพ์นั่นเองที่ถูกนำไปใช้เป็น Keyword ในการทำเนื้อหา (Content) บนออนไลน์ หากเราเขียนบทความที่อยากให้คนค้นหาแล้วเจอเรา เราก็ต้องเอาคำที่คนชอบ Search มากำหนดเป็น Keyword ของบทความที่เราจะเขียน ใส่ Keyword ลงไปในบทความนั้น คนจะได้ค้นหาแล้วมาเจอเนื้อหาของเรา

 

2.การทำ SEO ต้องใส่ Keyword ให้เหมาะสม

 

เมื่อรู้แล้วว่าต้องใช้ Keyword ต่อมาก็คือต้องใช้ให้เหมาะสมด้วย เพื่อให้เว็บ Search Engine ทำการตรวจจับหา Keyword ในบทความนั้น หากตอนเขียนบทความมีการใช้ Keyword ที่เหมาะสม เว็บ Search Engine ก็จะหา Keyword ของบทความนั้นเจอ เมื่อเจอแล้วพอมีคนมาค้นหาด้วยคำนั้น ก็มีโอกาสที่บทความนั้นจะถูกแสดงขึ้นอันดับต้นๆ หรือแสดงในหน้าแรกของเว็บ Search Engine  

 

แต่สิ่งที่ต้องระวังคืออย่าใส่ Keyword เยอะเกินไป โดยเฉพาะการพยายามยัด Keyword โดยไม่ได้ใจความ หากใส่เยอะเกิน เว็บ Search Engine อาจแบนบทความนั้นได้ เพราะมองว่าเป็นสแปม ซึ่งเป็นเนื้อหาที่ไม่มีประโยชน์ต่อผู้อ่าน และไม่ใช่จุดประสงค์ที่เว็บ Search Engine ต้องการให้เกิดขึ้น เพราะเว็บ Search Engine จะพยายามนำเสนอเนื้อหาที่มีประโยชน์เท่านั้น ให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากการ Search 

แต่การใส่ Keyword น้อยเกินไป เว็บ Search Engine ก็จะหา Keyword ในบทความนั้นไม่เจอ และไม่ดันให้ติดหน้าแรกเช่นกัน ดังนั้นต้องใส่ Keyword ให้เหมาะสม ไม่พยายามยัดเยียดจนเกิดความซ้ำซ้อนและวกวน ต้องเป็นบทความที่มีเนื้อหา จับใจความได้จริง โดยอัตราที่เหมาะสมคือควรมี Keyword 1-2% ในบทความ เช่น บทความยาว 1,000 คำ ก็ควรใส่ Keyword ลงไปประมาณ 10-20 คำ ไม่ควรน้อยกว่านี้ และไม่ควรเยอะกว่านี้ 

 

3.ใส่ Keyword ลงไปใน Headline 

 

การทำ SEO ที่ดีอีกหนึ่งอย่างนอกจากจะใช้ Keyword ในปริมาณที่เหมาะสมแล้ว การเน้นย้ำก็สำคัญ เพื่อให้เว็บ Search Engine ตรวจจับได้ว่าคำนั้นคือ Keyword ของเนื้อหา โดยในการเน้นย้ำที่ได้ผลในการทำ SEO ก็คือการใส่ลงใน Headline โดยเฉพาะ Headline 1 ซึ่งก็คือหัวข้อของบทความ ถัดมาในส่วนของหัวข้อย่อยต่างๆ แยกเป็น Headline 2 Headline 3 Headline 4 หรืออาจมากกว่านั้น หากมี Keyword อยู่ในทุกๆ Headline เว็บ Search Engine ก็จะตรวจจับ Keyword ได้ง่ายขึ้น 

 

4.ใส่ใจกับ Page Speed 

 

Page Speed คือความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์ สำหรับการทำ SEO ก็ต้องใส่ใจเรื่องนี้ เพราะถ้าหากเว็บโหลดช้า คนเข้ามาไม่ยอมรอโหลดแล้วกดออกจากเว็บบ่อยๆ จะถูกเว็บ Search Engine หักคะแนนไปเรื่อยๆ ยิ่งคนกดออกจากเว็บ (ภายในเวลาอันสั้น) เยอะเท่าไร หน้าเว็บก็ถูกลดโอกาสในการติดอันดับต้นๆ หรือติดหน้าแรกให้เหลือน้อยลงไปเท่านั้น 

การที่จะทำให้เว็บโหลดเร็ว อย่างแรกเลยที่ปรับได้ง่ายที่สุด คือการลดขนาดไฟล์ต่างๆ ในบทความให้เล็กที่สุด เช่น ภาพประกอบบทความ หากไฟล์ภาพมีขนาดใหญ่ หน้าเว็บก็จะโหลดช้า ควรทำการลดขนาดไฟล์ก่อนแล้วค่อยนำมาแทรกในบทความ ไฟล์ภาพควรมีขนาดน้อยกว่า 1 MB จะดีที่สุด แต่ส่วนอื่นๆ ก็คือการปรับโครงสร้างเว็บไซต์ ซึ่งเป็นเรื่องของเทคนิคที่ต้องอาศัยนักพัฒนาเว็บไซต์ช่วยปรับแก้

 

5.Slug ต้องมี Keyword 

 

อีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญกับการทำ SEO  คือ Slug จึงควรใส่ Keyword ลงไปใน Slug ท้าย URL หลัก หลังเครื่องหมาย / ตามนี้ www.(ชื่อเว็บไซต์).com/(keyword

 

การทำ SEO คือความสำคัญต่อการสื่อสารทางออนไลน์ หากติดหน้าแรกของเว็บ Search โอกาสที่คนจะเข้ามาในเว็บไซต์ก็เยอะขึ้น เปรียบเสมือนการพาคนเข้ามาในร้าน เมื่อมีคนเข้ามาในร้านเยอะ โอกาสที่จะขายได้ก็สูงขึ้นด้วย ที่สำคัญการทำ SEO ไม่ต้องใช้งบซื้อโฆษณาและยังส่งผลลัพธ์ในระยะยาว หากติดหน้าแรกแล้ว ก็จะติดอันดับไปเป็นเวลานาน จนกว่าจะมีใครเข้ามาทำ SEO แข่งใน Keyword เดียวกัน และมีประสิทธิภาพมากกว่าก็อาจดันให้เนื้อหาของเราตกอันดับได้

 

]]>
Google Keyword Planner เครื่องมือวางแผนคีย์เวิร์ด ในการลงโฆษณา Google https://seomasterth.com/google-keyword-planner/ Sat, 16 Dec 2023 16:41:52 +0000 https://seomasterth.com/?p=26440 Google Keyword Planner คืออะไร?

Google Keyword Planner คือ เครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ดฟรีจาก Google ที่ช่วยทำ Keyword Research โดยสามารถค้นหา Keyword ที่เราสนใจ เห็นข้อมูลยอดค้นต่อเดือน แน้วโน้ม ราคาโฆษณา ช่วยให้เราลำดับความสำคัญในการโฟกัสคีย์เวิร์ดในการทำ Content เพื่อเป้าหมายในการติดอันดับบน Search Engine ได้

Google Keyword Planner ฟรี จริงไหม?

เราสามารถใช้งาน Google Keyword Planner ได้ฟรี ไม่เสียเงิน และไม่ต้องลงโฆษณาใน Google Ads ด้วย เพียงแต่ต้องสมัครใช้งาน Register บัญชีง่ายๆ ไม่จำเป็นต้องผูกบัตรเครดิตก็สามารถใช้งานได้

วิธีสมัครใช้งาน Google Keyword Planner (Update 2024)

1. ไปที่ ads.google.com > ลงชื่อเข้าใช้

2. กรณีที่ยังไม่มี Google Ads Account ให้ไปที่ New Google Ads Account

3.  เลือก Create an account without a campaign (อยู่ตรงมุมซ้ายล่าง) เพื่อที่คุณจะได้สมัครบัญชีแบบไม่ต้องผูกบัตรเครดิต

4. ใส่ข้อมูลดังรูปและกด Submit

5. ยินดีด้วยครับ เท่านี้คุณก็มี Google Ads Account ที่พร้อมใช้งานได้แล้ว กดที่ปุ่ม Expole your account เพื่อเข้าสู่การใช้งาน

 

สอนใช้ Google Keyword Planner วิธีใช้งาน (2024)

เครื่องมือ Keyword Planner มีฟีเจอร์ 2 แบบ คือ

  • Keyword Idea

คือ การหาไอเดีย Keyword ใหม่ ๆ ที่สามารถช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มคนมากขึ้น

  • Forecast

คือ จะแสดงผล Search Volume หรือจำนวนการค้นหาในแต่ละเดือน และ Forecast หรือคาดการณ์ประสิทธิภาพแคมเปญโฆษณา Google Ads ในอนาคต ทำให้คุณสามารถประเมินได้ว่า Keyword ตัวไหนควรนำมาใช้

ขั้นตอนการใช้งาน Keyword Idea

ขั้นตอนการใช้งาน Keyword Idea มีอยู่ 3 ขั้นตอนดังนี้

1. ไปที่ Tools > Planning > Keyword Planner > Discover New Keywords

 

2. ตรง Tab Start with keywords คลิกตรงช่องค้นหา ใส่ Keyword ที่สนใจ และสามารถเจาะกลุ่มเป้าหมายจาก Location (โดยคลิกที่ค่าตั้งต้น คือ Link Thailand) เสร็จเรียบร้อย กดปุ่ม Get Results

3. เครื่องมือจะแสดงข้อมูลออกมา โดยสามารถอธิบายความหมายแต่ละช่องดังนี้

  • Keyword แสดงข้อมูลคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง
  • Avg. Monthly Searches จำนวนการค้นหาเฉลี่ยต่อเดือน
  • Competition การแข่งขันของ Keyword แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ High แปลว่า มีการแข่งขันสูง Medium แปลว่า การแข่งขันปานกลาง และสุดท้าย Low แปลว่า การแข่งขันต่ำ
  • Ad Impression Share อัตราส่วนแบ่งการแสดงโฆษณาของคุณและคู่แข่ง
  • Top of Page Bid (Low Range) ราคา Bid เฉลี่ย ในตำแหน่งบนๆ ของ Search Engine ซึ่งเป็นช่วงประมาณราคาต่ำสุด
  • Top of Page Bid (High Range) ราคา Bid เฉลี่ย ในตำแหน่งบนๆ ของ Search Engine ซึ่งเป็นช่วงประมาณราคาสูงสุด
  • Account status สถานะบัญชีของเราว่าลงโฆษณาคำนี้หรือยัง

4. อีกวิธี วิเคราะห์คีย์เวิร์ดด้วยเว็บไซต์ ตรง Tab Start with a Website ใส่ url ที่สนใจ และกดปุ่ม Get Results

5. ข้อมูลแสดง Keyword ที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์

ขั้นตอนการใช้งาน Forecast

ขั้นตอนการใช้งาน Forecast มีอยู่ 4 ขั้นตอนดังนี้

1. ไปที่ Forecast แล้วเพิ่ม Keyword ที่ต้องการลงไป

2. คุณสามารถเลือก Bid Strategy ได้ โดยมี 3 ประเภท คือ

  • Maximize Click คือ การกำหนดราคาคลิกอัตโนมัติ เพื่อให้ได้รับคลิกมากที่สุดภายใต้งบประมาณที่คุณตั้งเอาไว้
  • Maximize Conversions คือ การเสนอราคาโดยที่มีเป้าหมายในการเพิ่ม Conversion มากขึ้นโดยมีงบประมาณที่จำกัด ซึ่ง Google จะเข้ามาช่วยประเมินว่าคุณควรเสนอราคาตอนไหนถึงจะคุ้มค่ามากที่สุด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างยอดขาย และต้องการเก็บ Reach เป็นจำนวนมาก
  • Manual CPC คือ กำหนดราคาคลิกทุก Keyword แบบแมนวล กำหนดเอง โดยไม่มีระบบของ Google กำหนดให้อัตโนมัติ


3. ฟีเจอร์นี้จะคาดการณ์ประสิทธิภาพแคมเปญโฆษณาในช่วงเวลาที่คุณกำหนด โดยอิงจาก Keyword ที่เพิ่มเข้าไป และระบบจะแสดงข้อมูลสำคัญดังนี้

  • Conversion หน่วยวัดการกระทำของผู้เห็นโฆษณา (Conversion Rate) คือการลงโฆษณาที่มีการกำหนดว่าผู้ที่เห็นโฆษณาจะต้องมีการกระทำบางอย่าง เช่น การเข้าสู่เว็บไซต์, การคลิกหยิบสินค้าลงตะกร้า หรือการเลื่อนดูหน้าเว็บ ซึ่งการกระทำเหล่านี้เราจะเรียกรวมกันว่า Conversion
  • Clicks จำนวนคลิกที่มีคนกดโฆษณาทั้งหมด เช่น มีคนคลิกโฆษณา 10 ครั้ง ก็จะเท่ากับ 10 Clicks และถึงแม้ว่าจะเป็นคนเดียวกันกดคลิกโฆษณาถึง 10 ครั้ง ก็จะถูกนับเป็น 10 Clicks
  • Imressions จำนวนการแสดงผลของโฆษณา ถ้ามีการโหลดโฆษณาขึ้นมา 1 ครั้ง โดยไม่เกี่ยวข้องกับการเห็นโฆษณาจะนับเป็น 1 Impression ทันที
  • Cost ค่าใช้จ่ายในการทำแคมเปญโฆษณา
  • CTR (Click Through Rate) อัตราการคลิกเทียบกับการแสดงโฆษณา ถ้าค่า CTR สูง จะแสดงว่าโฆษณาของคุณมีคุณภาพ โดยค่านี้สามารถหาได้โดยสูตร (Clicks/Impressions)*100
  • Avg. CPC (Average Cost Per Click) ราคาเฉลี่ยต่อการเกิดคลิกโฆษณา 1 ครั้ง

ซึ่งคุณสามารถดูข้อมูลเหล่านี้เป็นภาพรวม Keyword ทั้งหมดที่คุณเพิ่มลงไป และข้อมูลของแต่ละ Keyword เรียกได้ว่าทำให้คุณสามารถประเมินในเรื่องงบประมาณ และเตรียมตัวในการทำแคมเปญโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. เมื่อได้ข้อมูลการวิเคราะห์ Keyword เราสามารถกดปุ่ม Create Campaign เพื่อนำไปทำแคมเปญโฆษณาต่อได้ทันที

ข้อจำกัดของ Google Keyword Planner

ข้อจำกัดของบัญชีเปิดใหม่ที่ไม่เคยมีการทำแคมเปญโฆษณาบน Google Ads มาก่อน มี 2 ข้อ คือ

  • บัญชีเปิดใหม่ไม่สามารถดูจำนวนการค้นหาเฉลี่ยต่อเดือนเป็นตัวเลขที่เฉพาะเจาะจงได้ ระบบจะแสดงให้เพียงแค่จำนวนเป็นช่วงเท่านั้น (1k,10k,100k) ในขณะที่บัญชีที่เคยทำแคมเปญโฆษณา Google Ads จะสามารถเห็นข้อมูลตัวเลขจริง
  • ไม่สามารถดูคีย์เวิร์ด 18+ ธุรกิจสีเทา หรือคำหยาบได้

เทคนิคใช้ Google Keyword Planner วิเคราะห์ธุรกิจ

1. วิเคราะห์คีย์เวิร์ดของคู่แข่งของคุณดูสิ (Competitor Keywords)

ใน Discover New Keywords จะมีช่องที่ทำให้คุณใส่ URL หรือลิงก์เว็บไซต์ได้ ซึ่งเราสามารถนำลิงก์ของคู่แข่งมาใส่ เท่านี้ก็ได้ไอเดีย Keyword จากเว็บไซต์คู่แข่งแล้ว

2. วิเคราะห์คีย์เวิร์ดในพื้นที่ (Local SEO)

ฟีเจอร์นี้เหมาะกับ Local Business โดยใช้ Location to Target กลุ่มคน จะได้รู้ว่า Keyword แบบไหนในพื้นที่ที่คุณเลือกมีจำนวนการค้นหาที่สูง ซึ่งส่งผลให้คุณเจอ Keyword ที่เหมาะสมกับ Target ในพื้นที่นั้นได้

บอกเลยว่าฟีเจอร์นี้ทำให้รู้ว่าคุณควรสร้างคอนเทนต์เพื่อ ‘ใคร’ และคอนเทนต์ของคุณจะจับใจ Target ในพื้นที่ได้ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

3. หา Keyword ที่ดี ดูได้จาก Top of page bid (high range)

ข้อมูลตรงส่วนนี้ทำให้รู้ว่า Keyword ตัวไหนที่ทำให้ผู้คนยอม Bid ค่าคลิกลงโฆษณาในราคาที่สูง เพราะคนไทยต่างใช้ Keyword เหล่านี้กันในการทำแคมเปญโฆษณา

สรุป

Google Keyword Planner เป็นเครื่องมือฟรีที่ จำเป็นต้องใช้ ในการทำธุรกิจ 2024 ช่วยทำให้เราวิเคราะห์คีย์เวิร์ด Keyword Research ได้ เห็นแนวโน้มและมีข้อมูลที่แม่นยำ เพื่อลงสินค้าและบริการ บทความ หรือใช้ลงโฆษณา Google Ads เพื่อ Lead ลูกค้า เป็นอีกหนึ่งกุญแจที่จะนำพาธุรกิจของคุณให้ประสบความสำเร็จครับ

]]>
ทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดอันดับ ต้องใช้เวลานานแค่ไหน? https://seomasterth.com/how-long-does-seo-take/ https://seomasterth.com/how-long-does-seo-take/#respond Mon, 29 May 2023 03:21:59 +0000 https://demo.7iquid.com/salepush/?p=11120

การทำ SEO ติดหน้าแรกนั้น จะได้ผลลัพธ์อันเป็นที่น่าพึงพอใจ จำเป็นต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6-12 เดือน โดยในบางเคสอาจเริ่มเห็นผลได้ตั้งแต่ 3 เดือนแรก เนื่องจากต้องรอ BOT ของ Google เข้ามาเก็บผลอัพเดทหน้าเว็บไซต์ธุรกิจของเรา และยังขึ้นกับจำนวนหน้าทั้งหมดของเว็บไซต์ด้วยครับ

ทำไมการทำ SEO ถึงใช้เวลานาน

การทำคอนเทนต์ในเชิง SEO มักใช้เวลานานกว่าคอนเทนต์ประเภทอื่นๆ เพราะต้องคำนึงถึง Keyword ที่ใช้ จำนวน Search Volume หรือจำนวนการค้นหาคำนั้นๆ เพื่อให้คอนเทนต์มีประสิทธิภาพ และถูก Search Engine จัดลำดับเว็บไซต์ของคุณให้สูงขึ้น หรืออยู่ในหน้าแรกของผลการค้นหา

เมื่ออัปเดตคอนเทนต์ไปแล้ว คุณต้องสร้างความน่าเชื่อถือให้คอนเทนต์ โดยปล่อยให้ Search Engine ทำความรู้จักสักระยะหนึ่ง

ผลลัพธ์แบบไหน แปลว่าทำ SEO มาถูกทาง

การจะสรุปได้ว่า SEO ที่ทำอยู่ประสบความสำเร็จหรือไม่ต้องอาศัยทั้งการตั้ง Goal และ KPIs ที่ชัดเจน หลายธุรกิจย่อมมีโจทย์อยู่แล้วในใจ ไม่ว่าจะต้องการอันดับเว็บไซต์ที่สูงขึ้นหรือเพื่อให้มียอดคนคลิกเข้ามาเว็บไซต์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นมาตรวัดบน Google Search Console และเครื่องมือ ahrefs ถือเป็นหัวใจสำคัญ เราต้องทำธุรกิจแบบไม่ตาบอด เมื่อในยุคนี้ การทำธุรกิจต้องมาพร้อม ‘Data’ เห็นแนวโน้มธุรกิจ ข้อมูลหลัก ประกอบไปด้วย

  • Search Impression คือ มาตรวัดการมองเห็นที่บอกว่าหน้าเว็บของเราผ่านสู่สายตาผู้คนรวมเป็นกี่จำนวนครั้ง
  • Clicks คือ มาตรวัดความตอบโจทย์ของเนื้อหาว่าสามารถดึงดูดให้ผู้คนคลิกเข้ามาได้มากน้อยเพียงใด
  • Clicks-through rate (CTR) คือ อัตราการคลิกเข้ามายังหน้าเว็บ หลังจากเห็นเว็บไซต์แล้วทำให้เกิดคลิกเป็นจำนวนเท่าไหร่
  • Position คือ อันดับเว็บไซต์โดยประมาณว่าปรากฏอยู่หน้าไหนบน Search Result มีการขยับขึ้นหรือไม่
  • Keywords จำนวนคีย์เวิร์ดทั้งหมด ที่แสดงผลบน SERP จำนวนมากขึ้นหรือไม่
  • Organic Traffic ยอดการเข้าดูเว็บไซต์ จากการคลิกโดยการค้นหาจากคีย์เวิร์ด เพิ่มขึ้นหรือไม่
  • Backlink มีจำนวนเว็บไซต์ ที่เขียนบทความอ้างอิงถึงเว็บไซต์ของเราเพิ่มขึ้น นั่นหมายถึงเว็บเรามีข้อมูลที่มีคุณภาพน่าเชื่อถือ

มีปัจจัยอะไรบ้างในการจัดอันดับ SEO เมื่อไหร่จะติดอันดับหน้าแรก

การจะมีเว็บไซต์ปรากฏอยู่บนหน้าแรก Google ได้นั้นมีอยู่ 2 หนทางคือ การซื้อโฆษณาและการทำ SEO ซึ่งคำถามที่มักเกิดขึ้นเสมอเมื่อทำ SEO คือต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะเห็นผลความเปลี่ยนแปลง เมื่อไหร่ยอดเข้าชมเว็บไซต์จะเพิ่มขึ้น ทำ SEO กี่เดือนเว็บไซต์ถึงจะติดหน้าแรก ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยอะไรบ้าง มาหาคำตอบไปพร้อมกันเลย

  1. Website Quality คุณภาพเว็บไซต์ดีพอหรือยัง

Google ย่อมให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่มีคุณภาพมากกว่าเพื่อให้ผู้ใช้พึงพอใจกับการใช้งาน Google ต่อไป เว็บไซต์ที่ปรับปรุงเรื่องของ User Experience ให้น่าพึงพอใจ มีการวางโครงสร้างคอนเทนต์ที่ดี เว็บไซต์โหลดไว ตอบรับกับการใช้งานบนมือถือได้อย่างดี ย่อมได้คะแนนจาก Google มากกว่า

  1. Competition การแข่งขันสูงแค่ไหน

แน่นอนว่าหากคู่แข่งในตลาดมีน้อย การที่เว็บไซต์จะเข้าไปแย่งชิงพื้นที่ออนไลน์ย่อมมีโอกาสชนะในระยะเวลาที่สั้นกว่า ในทางตรงกันข้ามหากในตลาดนั้นมีผู้แข่งขันอยู่มาก Keyword ที่อยากให้ติดอันดับเป็นคำที่ทุกธุรกิจต่างก็ต้องการ (Keyword Difficulty) การทำ SEO เพื่อแข่งขันในสนามลักษณะนี้ก็ย่อมอาศัยระยะเวลาที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน หนึ่งวิธีที่จะมีชัยเหนือคู่แข่งได้ก็ด้วยการทำ SEO Competitor Analysis เพื่อเข้าใจสถานการณ์การแข่งขัน รู้ว่าคีย์เวิร์ดไหนที่ควรโฟกัส จะช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินการเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพให้เหนือกว่าและมีโอกาสในการติดอันดับที่สูงกว่า

  1. SEO Strategy กลยุทธ์การทำ SEO เป็นอย่างไร

การวางแผนที่ดีย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง กลยุทธ์การทำ SEO ที่เริ่มต้นอย่างแข็งแรง มีการวิเคราะห์อย่างเป็นขั้นตอนย่อมทำให้สามารถปั้นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพและสามารถแก้ไขข้อบกพร่องที่ส่งผลต่อศักยภาพของเว็บไซต์ได้อย่างตรงจุด สู่การวัดผลเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ดีกว่าได้อย่างแท้จริง การมีกลยุทธ์ทำ SEO ที่เฉพาะเจาะจงกับแบรนด์ตัวเองจึงเป็นคำตอบที่ดีกว่าและสร้างโอกาสให้ธุรกิจพุ่งทะยานสู่ความสำเร็จได้ดังหวัง และหลีกเลี่ยงกับดักเมื่อธุรกิจเลียนแบบกลยุทธ์จากเจ้าอื่นมาใช

“อ้างอิงจากGoogle หากจะให้บอกเป็นตัวเลขแน่ชัด การทำ SEO ควรจะเห็นผลความเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลา 4 เดือนเป็นต้นไป”by Google

โดยต้องไม่ลืมว่าการปรับปรุงประสิทธิภาพเว็บไซต์นั้นไม่ต่างกับการดูแลสุขภาพร่างกาย แม้ว่าวันนี้จะแข็งแรงไร้โรคภัยแต่ใช่ว่าจะไม่เสื่อมถอยตามกาลเวลา ความสม่ำเสมอจึงเป็นหัวใจสำคัญของการทำ SEO ให้เป็นผลสำเร็จ แน่นอนว่าที่ SEO Master เรามี บริการทำ SEO โดยทีมงานคุณภาพพร้อมซัพพอร์ตทุกก้าวย่างของการผลักดันเว็บไซต์ให้เป็นที่รู้จักและดึงดูดกลุ่มเป้าหมายมาสู่ธุรกิจของคุณ การทำงานของทีม SEO ที่พรีดิกทีฟจะครอบคลุมตั้งแต่

  • Strategy & Keyword Planning โดยการวางกลยุทธ์การทำ SEO ตั้งแต่แรกเริ่มเพื่อให้ธุรกิจของคุณไปถึงฝั่งฝันด้วยแผนการทำ SEO ที่ customized มาเพื่อธุรกิจของคุณโดยเฉพาะพร้อมด้วยการวิเคราะห์ Keyword ด้วย Keyword Research รวมทั้งการทำ SEO Audit และ Competitive Analysis เพื่อให้ธุรกิจของคุณสามารถลำดับความสำคัญและดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • On-Page Optimization การตรวจสอบการวัดผล Speed ตามหลักของ Google PageSpeed เข้าไปแก้ไขโค้ดตามข้อแนะนำที่ถูกต้อง
  • Content Scope การผลิตคอนเทนต์คุณภาพเล่าถึง Brand Narrative เพื่อเพิ่ม Search Visibility ให้กับเว็บไซต์ของคุณ ใส่คำที่เกี่ยวข้อง ใส่คีย์เวิร์ดหลักและรอง Keyword Density ความหนาแน่นของคำที่เหมาะสม
  • Off-Page Planning & Analysis ตรวจสอบคุณภาพและประสิทธิภาพการทำ Backlinks คุณภาพ วิเคราะห์คู่แข่งเพื่อให้ธุรกิจของคุณอยู่เหนือกว่า รวมถึงวางแผนการทำ Backlinks ในอนาคต
  • Monitoring, Analysis, & Reporting การติดตามผลการทำ SEO อย่างต่อเนื่อง วิเคราะห์สถานการณ์และผลลัพธ์การทำ SEO พร้อมรายงานผลสรุปเพื่อให้ธุรกิจของคุณเห็นภาพรวมทั้งหมดและสามารถ

ใครที่กำลังหนักใจกับ Organic Traffic ที่ไม่เพิ่มขึ้นสักที หรือ ต้องการที่จะทำอันดับเว็บไซต์ให้สูงขึ้นกว่าเดิม หากต้องการทีม SEO คุณภาพมาช่วย Optimize เว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพกว่าเดิม สามารถติดต่อ SEO MASTER เพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้เลย และเรายินดีให้คำปรึกษาเบื้องต้นฟรี

]]>
https://seomasterth.com/how-long-does-seo-take/feed/ 0