Google Keyword Planner คืออะไร?

Google Keyword Planner คือ เครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ดฟรีจาก Google ที่ช่วยทำ Keyword Research โดยสามารถค้นหา Keyword ที่เราสนใจ เห็นข้อมูลยอดค้นต่อเดือน แน้วโน้ม ราคาโฆษณา ช่วยให้เราลำดับความสำคัญในการโฟกัสคีย์เวิร์ดในการทำ Content เพื่อเป้าหมายในการติดอันดับบน Search Engine ได้

Google Keyword Planner ฟรี จริงไหม?

เราสามารถใช้งาน Google Keyword Planner ได้ฟรี ไม่เสียเงิน และไม่ต้องลงโฆษณาใน Google Ads ด้วย เพียงแต่ต้องสมัครใช้งาน Register บัญชีง่ายๆ ไม่จำเป็นต้องผูกบัตรเครดิตก็สามารถใช้งานได้

วิธีสมัครใช้งาน Google Keyword Planner (Update 2024)

1. ไปที่ ads.google.com > ลงชื่อเข้าใช้

2. กรณีที่ยังไม่มี Google Ads Account ให้ไปที่ New Google Ads Account

3.  เลือก Create an account without a campaign (อยู่ตรงมุมซ้ายล่าง) เพื่อที่คุณจะได้สมัครบัญชีแบบไม่ต้องผูกบัตรเครดิต

4. ใส่ข้อมูลดังรูปและกด Submit

5. ยินดีด้วยครับ เท่านี้คุณก็มี Google Ads Account ที่พร้อมใช้งานได้แล้ว กดที่ปุ่ม Expole your account เพื่อเข้าสู่การใช้งาน

 

สอนใช้ Google Keyword Planner วิธีใช้งาน (2024)

เครื่องมือ Keyword Planner มีฟีเจอร์ 2 แบบ คือ

  • Keyword Idea

คือ การหาไอเดีย Keyword ใหม่ ๆ ที่สามารถช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มคนมากขึ้น

  • Forecast

คือ จะแสดงผล Search Volume หรือจำนวนการค้นหาในแต่ละเดือน และ Forecast หรือคาดการณ์ประสิทธิภาพแคมเปญโฆษณา Google Ads ในอนาคต ทำให้คุณสามารถประเมินได้ว่า Keyword ตัวไหนควรนำมาใช้

ขั้นตอนการใช้งาน Keyword Idea

ขั้นตอนการใช้งาน Keyword Idea มีอยู่ 3 ขั้นตอนดังนี้

1. ไปที่ Tools > Planning > Keyword Planner > Discover New Keywords

 

2. ตรง Tab Start with keywords คลิกตรงช่องค้นหา ใส่ Keyword ที่สนใจ และสามารถเจาะกลุ่มเป้าหมายจาก Location (โดยคลิกที่ค่าตั้งต้น คือ Link Thailand) เสร็จเรียบร้อย กดปุ่ม Get Results

3. เครื่องมือจะแสดงข้อมูลออกมา โดยสามารถอธิบายความหมายแต่ละช่องดังนี้

  • Keyword แสดงข้อมูลคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง
  • Avg. Monthly Searches จำนวนการค้นหาเฉลี่ยต่อเดือน
  • Competition การแข่งขันของ Keyword แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ High แปลว่า มีการแข่งขันสูง Medium แปลว่า การแข่งขันปานกลาง และสุดท้าย Low แปลว่า การแข่งขันต่ำ
  • Ad Impression Share อัตราส่วนแบ่งการแสดงโฆษณาของคุณและคู่แข่ง
  • Top of Page Bid (Low Range) ราคา Bid เฉลี่ย ในตำแหน่งบนๆ ของ Search Engine ซึ่งเป็นช่วงประมาณราคาต่ำสุด
  • Top of Page Bid (High Range) ราคา Bid เฉลี่ย ในตำแหน่งบนๆ ของ Search Engine ซึ่งเป็นช่วงประมาณราคาสูงสุด
  • Account status สถานะบัญชีของเราว่าลงโฆษณาคำนี้หรือยัง

4. อีกวิธี วิเคราะห์คีย์เวิร์ดด้วยเว็บไซต์ ตรง Tab Start with a Website ใส่ url ที่สนใจ และกดปุ่ม Get Results

5. ข้อมูลแสดง Keyword ที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์

ขั้นตอนการใช้งาน Forecast

ขั้นตอนการใช้งาน Forecast มีอยู่ 4 ขั้นตอนดังนี้

1. ไปที่ Forecast แล้วเพิ่ม Keyword ที่ต้องการลงไป

2. คุณสามารถเลือก Bid Strategy ได้ โดยมี 3 ประเภท คือ

  • Maximize Click คือ การกำหนดราคาคลิกอัตโนมัติ เพื่อให้ได้รับคลิกมากที่สุดภายใต้งบประมาณที่คุณตั้งเอาไว้
  • Maximize Conversions คือ การเสนอราคาโดยที่มีเป้าหมายในการเพิ่ม Conversion มากขึ้นโดยมีงบประมาณที่จำกัด ซึ่ง Google จะเข้ามาช่วยประเมินว่าคุณควรเสนอราคาตอนไหนถึงจะคุ้มค่ามากที่สุด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างยอดขาย และต้องการเก็บ Reach เป็นจำนวนมาก
  • Manual CPC คือ กำหนดราคาคลิกทุก Keyword แบบแมนวล กำหนดเอง โดยไม่มีระบบของ Google กำหนดให้อัตโนมัติ


3. ฟีเจอร์นี้จะคาดการณ์ประสิทธิภาพแคมเปญโฆษณาในช่วงเวลาที่คุณกำหนด โดยอิงจาก Keyword ที่เพิ่มเข้าไป และระบบจะแสดงข้อมูลสำคัญดังนี้

  • Conversion หน่วยวัดการกระทำของผู้เห็นโฆษณา (Conversion Rate) คือการลงโฆษณาที่มีการกำหนดว่าผู้ที่เห็นโฆษณาจะต้องมีการกระทำบางอย่าง เช่น การเข้าสู่เว็บไซต์, การคลิกหยิบสินค้าลงตะกร้า หรือการเลื่อนดูหน้าเว็บ ซึ่งการกระทำเหล่านี้เราจะเรียกรวมกันว่า Conversion
  • Clicks จำนวนคลิกที่มีคนกดโฆษณาทั้งหมด เช่น มีคนคลิกโฆษณา 10 ครั้ง ก็จะเท่ากับ 10 Clicks และถึงแม้ว่าจะเป็นคนเดียวกันกดคลิกโฆษณาถึง 10 ครั้ง ก็จะถูกนับเป็น 10 Clicks
  • Imressions จำนวนการแสดงผลของโฆษณา ถ้ามีการโหลดโฆษณาขึ้นมา 1 ครั้ง โดยไม่เกี่ยวข้องกับการเห็นโฆษณาจะนับเป็น 1 Impression ทันที
  • Cost ค่าใช้จ่ายในการทำแคมเปญโฆษณา
  • CTR (Click Through Rate) อัตราการคลิกเทียบกับการแสดงโฆษณา ถ้าค่า CTR สูง จะแสดงว่าโฆษณาของคุณมีคุณภาพ โดยค่านี้สามารถหาได้โดยสูตร (Clicks/Impressions)*100
  • Avg. CPC (Average Cost Per Click) ราคาเฉลี่ยต่อการเกิดคลิกโฆษณา 1 ครั้ง

ซึ่งคุณสามารถดูข้อมูลเหล่านี้เป็นภาพรวม Keyword ทั้งหมดที่คุณเพิ่มลงไป และข้อมูลของแต่ละ Keyword เรียกได้ว่าทำให้คุณสามารถประเมินในเรื่องงบประมาณ และเตรียมตัวในการทำแคมเปญโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. เมื่อได้ข้อมูลการวิเคราะห์ Keyword เราสามารถกดปุ่ม Create Campaign เพื่อนำไปทำแคมเปญโฆษณาต่อได้ทันที

ข้อจำกัดของ Google Keyword Planner

ข้อจำกัดของบัญชีเปิดใหม่ที่ไม่เคยมีการทำแคมเปญโฆษณาบน Google Ads มาก่อน มี 2 ข้อ คือ

  • บัญชีเปิดใหม่ไม่สามารถดูจำนวนการค้นหาเฉลี่ยต่อเดือนเป็นตัวเลขที่เฉพาะเจาะจงได้ ระบบจะแสดงให้เพียงแค่จำนวนเป็นช่วงเท่านั้น (1k,10k,100k) ในขณะที่บัญชีที่เคยทำแคมเปญโฆษณา Google Ads จะสามารถเห็นข้อมูลตัวเลขจริง
  • ไม่สามารถดูคีย์เวิร์ด 18+ ธุรกิจสีเทา หรือคำหยาบได้

เทคนิคใช้ Google Keyword Planner วิเคราะห์ธุรกิจ

1. วิเคราะห์คีย์เวิร์ดของคู่แข่งของคุณดูสิ (Competitor Keywords)

ใน Discover New Keywords จะมีช่องที่ทำให้คุณใส่ URL หรือลิงก์เว็บไซต์ได้ ซึ่งเราสามารถนำลิงก์ของคู่แข่งมาใส่ เท่านี้ก็ได้ไอเดีย Keyword จากเว็บไซต์คู่แข่งแล้ว

2. วิเคราะห์คีย์เวิร์ดในพื้นที่ (Local SEO)

ฟีเจอร์นี้เหมาะกับ Local Business โดยใช้ Location to Target กลุ่มคน จะได้รู้ว่า Keyword แบบไหนในพื้นที่ที่คุณเลือกมีจำนวนการค้นหาที่สูง ซึ่งส่งผลให้คุณเจอ Keyword ที่เหมาะสมกับ Target ในพื้นที่นั้นได้

บอกเลยว่าฟีเจอร์นี้ทำให้รู้ว่าคุณควรสร้างคอนเทนต์เพื่อ ‘ใคร’ และคอนเทนต์ของคุณจะจับใจ Target ในพื้นที่ได้ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

3. หา Keyword ที่ดี ดูได้จาก Top of page bid (high range)

ข้อมูลตรงส่วนนี้ทำให้รู้ว่า Keyword ตัวไหนที่ทำให้ผู้คนยอม Bid ค่าคลิกลงโฆษณาในราคาที่สูง เพราะคนไทยต่างใช้ Keyword เหล่านี้กันในการทำแคมเปญโฆษณา

สรุป

Google Keyword Planner เป็นเครื่องมือฟรีที่ จำเป็นต้องใช้ ในการทำธุรกิจ 2024 ช่วยทำให้เราวิเคราะห์คีย์เวิร์ด Keyword Research ได้ เห็นแนวโน้มและมีข้อมูลที่แม่นยำ เพื่อลงสินค้าและบริการ บทความ หรือใช้ลงโฆษณา Google Ads เพื่อ Lead ลูกค้า เป็นอีกหนึ่งกุญแจที่จะนำพาธุรกิจของคุณให้ประสบความสำเร็จครับ