Marketing tools – SEO Master บริษัทรับทำ SEO รับดูแลเว็บไซต์ ราคาถูก ครบวงจร https://seomasterth.com SEO MASTER Mon, 15 Jan 2024 15:47:08 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.3.5 https://seomasterth.com/wp-content/uploads/2023/11/cropped-seomaster-icon-32x32.jpg Marketing tools – SEO Master บริษัทรับทำ SEO รับดูแลเว็บไซต์ ราคาถูก ครบวงจร https://seomasterth.com 32 32 10 โปรแกรมทำ Keyword Research ฟรี TOOLS ทำ SEO ที่ดีที่สุด https://seomasterth.com/keyword-research-tools/ Wed, 03 Jan 2024 16:54:32 +0000 https://seomasterth.com/?p=27222 การวางแผนวิเคราะห์คีย์เวิร์ด เป็นองค์ประกอบสำคัญของ SEO ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หัดเขียนบล็อกหรือเป็นนักพัฒนากลยุทธ์ Content ให้กับ Agency ทำการตลาดออนไลน์ ทักษะในการหาคีย์เวิร์ดคุณภาพสูงมีความสำคัญในการนำพาคนเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ และขยายธุรกิจ

ในบทความนี้ เราได้รวบรวมเครื่องมือที่ใช้ทำ Keyword Research ที่ดีที่สุด 10 โปรแกรม ใช้งานได้ฟรี และเสียเงิน เพื่อช่วยให้คุณหาคอนเทนต์ตามลำดับความสำคัญ เห็นแนวโน้มธุรกิจ Keyword ที่ควรโฟกัสก่อนหลัง

10 โปรแกรมทำ Keyword Research ฟรี TOOLS ทำ SEO ที่ดีที่สุด

มาเริ่มกันที่โปรแกรมหา Keyword Research ที่ดีที่สุดจากเครื่องมือดังระดับโลกในวงการ SEO นอกจากการหาคีย์เวิร์ดแล้ว ยังมีประโยชน์ในการทำ SEO ได้อีกมากมาย ทำให้เป็นที่นิยมสำหรับคนทำ SEO หรือบริษัทดิจิทัล มาร์เก็ตติ้งเอเจนซี่

SEMrush

SEMrush เป็นเครื่องมือ ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก และมีผู้ใช้มากมายทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นเอเจนซี่ออนไลน์มาร์เก็ตติ้ง หรือธุรกิจสตาร์ทอัพต่างๆ เมื่อพูดถึงเครื่องมือในการค้นหาคีย์เวิร์ด Keyword Research ทุกคนจะนึกถึงเครื่องมือนี้เป็นอับดับแรกๆของโลก เพราะมีข้อมูลคีย์เวิร์ดมากถึง 25.4 พันล้านคีย์เวิร์ด เก็บข้อมูลจากใน 190 ประเทศ อัพเดทปี 2024 จะว่าคร่ำหวอดอยู่ในวงการนานเป็น 10 ปีก็ด้วย แต่เหตุผลสำคัญจริงๆ ก็เพราะ SEMrush เป็นเครื่องมือที่ทำอะไรได้หลายอย่างมากจริงๆ

จุดเด่น:

  • มีการประเมินเว็บไซต์แบบ Quick Analysis ให้เห็นถึงภาพรวม
  • Backlink Analysis มีความโดดเด่นในเรื่อง backlink database size, backlink reports and tools, and backlink auditing and building ที่เครื่องมือตัวอื่นไม่มีเทียบเท่า
  • ช่วยเว็บไซต์คุณเห็นว่าคู่แข่งติดอันดับด้วยคีย์เวิร์ดไหน เพื่อให้คุณวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่ควรใช้ในการดึงอันดับของตัวเอง
  • นอกจากจะเป็นเครื่องมือค้นหาคีย์เวิร์ดแล้ว ยังสามารถติดตามอันดับของเว็บไซต์ เพื่อดูพัฒนาการคีย์เวิร์ดที่เว็บไซต์กำลังติดอันดับด้วยได้
  • สามารถเปรียบเทียบข้อมูลอันดับคีย์เวิร์ดเชิงลึกของเว็บไซต์หลายเว็บไซต์ ทั้งใน Google Search, Google Ads และ Google Shopping ได้
  • สามารถดูประวัติของอันดับคีย์เวิร์ดย้อนหลังได้

ราคา SEMRush 2024 

SEMrush มีแพลนแบบจ่ายเงิน 4 แพลน ดังนี้ (Update 2024)

  • Pro – เริ่มต้นที่ $129.95 ต่อเดือน
  • Guru – เริ่มต้นที่ $249.95 ต่อเดือน
  • Business – เริ่มต้นที่ $499.95 ต่อเดือน
  • Enterprise – เป็นแบบ custom plan ได้โดยตรงกับ SEMrush

 

SEMrush มีแบบ Trial ให้ลองใช้ฟรีกันได้ ถ้าใช้แล้วโดนใจค่อยซื้อแพลนในแบบที่เหมาะสมกับตัวเอง

Ahrefs

ทุกคนที่อยู่ในวงการ SEO ดิจิทัล มาร์เก็ตติ้งจะต้องคุ้นหูคุ้นตากับเครื่องมือที่มีชื่อโดดเด่นอย่าง Ahrefs (อ่านว่า เอเอชเรฟส์) เพราะเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดติดอันดับต้นๆของโลก มีฐานข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาเครื่องมือแบบจ่ายเงินทั้งหมด เพราะมีข้อมูลคีย์เวิร์ดมากถึง 7.2 พันล้านคีย์เวิร์ด เก็บข้อมูลจากใน 243 ประเทศ ข้อมูลอัพเดท 2024 เครื่องมือ Keyword Research ได้รับความไว้วางใจจาก SEO Specialist เอเจนซี่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเหมาะมากเป็นพิเศษสำหรับคนทำคอนเทนต์

จุดเด่น:

  • คะแนนความยากของคีย์เวิร์ด หรือ Keyword Difficulty มีความเที่ยงตรงสูงมาก
  • นอกเหนือจากข้อมูลจำนวนเสริชต่อเดือน (Search Volume) เครื่องมือนี้ใช้การเก็บข้อมูลที่ไม่เหมือนใคร เพื่อเน้นนำเสนอข้อมูล Click Metrics ซึ่งเป็นตัวชี้วัดฉบับของ Ahrefs ให้เราดูประกอบการพิจารณาเลือกคีย์เวิร์ด
  • มีเครื่องมีที่ชื่อว่า Content Gap ช่วยวิเคราะห์ว่าเว็บของคุณ ยังสามารถทำคอนเทนต์ใดได้อีก เพื่อแข่งขันกับเว็บของคู่แข่ง
  • มีฟีเจอร์ใกล้เคียงกับ SEMrush แต่ราคาถูกกว่า

ราคา ahrefs 2024

  • เริ่มต้นที่ $99 ต่อเดือน สำหรับแพลนแบบ Lite (ค้นเกิน 500 ครั้ง เก็บเพิ่มอีก $35 ต่อ 500 ครั้ง)
  • Standard – $199 ต่อเดือน
  • Advanced – $399 ต่อเดือน
  • เริ่มต้น $999 ต่อเดือน

 

Ahrefs มีแบบ Trial ให้ลองใช้ฟรีกันได้ ถ้าใช้แล้วโดนใจค่อยซื้อแพลนในแบบที่เหมาะสมกับตัวเอง

Moz Keyword Explorer

บริษัทนี้เรียกได้ว่าคร่ำหวอดอยู่ในวงการ SEO มานานกว่าใครเพื่อน มีเครื่องไม้เครื่องมือเจ๋งๆ ที่ช่วยให้นักการตลาดที่ทำงานด้านนี้สะดวกสบายมากขึ้นมานักต่อนัก และเครื่องมือค้นหาคีย์เวิร์ดอย่างเจ้า Moz Keyword Explorer ก็เป็นหนึ่งในนั้น

หมายเหตุ: เครื่องมือนี้จะเน้นเฉพาะการค้นหาคีย์เวิร์ด Keyword Research แต่ไม่ได้มีฟีเจอร์ที่จะช่วยจัดการหรือติดตามคีย์เวิร์ดแบบเครื่องมือที่กล่าวไปข้างต้นอย่าง SEMrush และ Ahrefs

จุดเด่น:

  • นำเสนอข้อมูลเชิงลึกของคีย์เวิร์ดโดยเน้นที่คะแนน Organic CTR (Organic Click Through Rate) กับคะแนน Priority ที่เป็นการผสมผสานข้อมูลจำพวกอัตราการคลิก (CTR) คะแนนความยากของคีย์เวิร์ด (Keyword Difficulty) และจำนวนคนเสริชต่อเดือน (Search Volume) เพื่อให้ได้ชุดคีย์เวิร์ดที่น่าสนใจที่สุดออกมา
  • สามารถหาคีย์เวิร์ดผ่าน URL ของเว็บไซต์ได้ คล้ายๆ กับเครื่องมือสองอันก่อนหน้านี้
  • มีเครื่องมือ Keyword Suggestions พร้อมการ Filter ที่จะช่วยให้การค้นหาคีย์เวิร์ดทำได้สะดวกมากขึ้น
  • สามารถค้นหาฟรีได้ 10 ครั้งใน 1 เดือนสำหรับคนที่ใช้บัญชีแบบฟรี

ราคา Moz Keyword Explorer 2024

  • เริ่มต้นที่ $99 ต่อเดือน สำหรับแพลนแบบ Standard
  • Medium – $179 ต่อเดือน
  • Large – $299 ต่อเดือน
  • Premium – $599 ต่อเดือน

 

Moz Keyword Explorer มีแบบ Trial ให้ลองใช้ฟรีกันได้ 1 เดือนเต็ม

KWFinder

เครื่องมือนี้ก็เหมือนกับ Moz Keyword Explorer ตรงที่เน้นการค้นหาคีย์เวิร์ด Keyword Research โดยเฉพาะ ไม่ได้มีฟีเจอร์ในการดูแลหรือติดตามและพัฒนาการของอับดับใน Google แน่นอนว่าถ้าเทียบกับเครื่องมืออื่นๆ ข้างต้น KW Finder ดูจะเป็นน้องใหม่ที่ตลาด ไม่ได้เก๋าเกม หรืออยู่มานานแบบใคร แต่ก็นับเป็นบริษัทที่เติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะเครื่องมือที่ให้บริการนั้นดีจริง

จุดเด่น:

  • มีตัวเลือกให้หาแบบ Question-based Keyword Research เพื่อให้ง่ายต่อการหาคำถามที่ผู้ชมหรือกลุ่มเป้าหมายของคุณสนใจจริงๆ
  • ง่ายต่อการหา Long Tail Keywords
  • หน้าตาของเว็บสามารถใช้งานได้ง่าย ไม่ซับซ้อน
  • สามารถใช้งานได้ฟรีได้ แต่จำกัดจำนวนครั้ง
  • ใช้งานได้ในราคาที่เอื้อมถึง

ราคา KWFinder 2024

  • Entry– $29 ต่อเดือน
  • Basic – $49 ต่อเดือน
  • Premium – $69 ต่อเดือน
  • Agency – $129 ต่อเดือน

 

KWFinder มีแบบ Trial ให้ลองใช้ฟรีกันได้นาน 10 วัน

โปรแกรมหา Keyword แบบฟรีที่ดีที่สุด

ต่อไปมาดูกันที่โปรแกรมหา Keyword Research แบบที่ใช้งานได้ฟรีกันดูบ้าง ของฟรีและมีคุณภาพมีอยู่จริงๆ แถมเครื่องมือบางอันในนี้ยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่มาจาก Google เอง ทำให้ข้อมูลมีความน่าเชื่อถือสูงมาก

Google Keyword Planner

การทำ SEM ต้องรู้จัก เครื่องมือนี้เป็นของ Google โดยตรงที่ผูกอยู่กับบัญชีการใช้งาน Google Ads (หรือที่เมื่อก่อนเรียกว่า Google Adwords) ทำให้มั่นใจในความน่าเชื่อถือของข้อมูลได้ และก็เป็นเครื่องมือที่เหล่านักการตลาดออนไลน์ใช้กันมานานก่อนที่จะมี tools ใหม่ๆ ผุดขึ้นมาให้เลือกกันไม่หวาดไม่ไหวอย่างในปัจจุบันนี้

จุดเด่น:

  • เหมาะกับสำหรับคนที่เพิ่มเริ่มต้น ยังไม่มีงบที่จะลงทุนในเครื่องมือที่ Advanced เจ้าตัว Google Keyword Planner ถือเป็นเครื่องมือระดับ Advanced ที่เปิดให้ใช้ได้ฟรี
  • มีข้อมูลจำนวนการค้นหาต่อเดือนที่แม่นยำ (Search Volume)
  • สามารถใช้งานได้ฟรีได้ แต่การแสดง Search Volume ของบัญชีผู้ใช้ที่ไม่ได้มีการสร้างและใช้งานแคมเปญ Ads อยู่จะแสดงผลเป็น Range แทนที่ตัวเลขแบบเป๊ะๆ

ราคา:

  • ฟรี

Google Trends

เครื่องมือนี้เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือจาก Google โดยตรงที่ทุกคนสามารถเข้าไปใช้งานได้ฟรี แน่นอนว่าพอมาจาก Google คะแนนความน่าเชื่อถือก็ได้ไปเต็ม ตามชื่อเครื่องมือเลยก็คือจะจำเพาะเหมาะสำหรับการดูเทรนด์ของการเสริชคีย์เวิร์ดหามากกว่าเครื่องมือแบบอื่นๆ Keyword Research ที่จะเป็นการเสริชแบบทั่วไปมากกว่า

จุดเด่น: 

  • เหมาะกับการค้นหาข้อมูลแบบเป็นคำๆ มากกว่าเป็นกรุ๊ป สามารถนำคำค้นหาหรือคีย์เวิร์ดที่ต้องการมาเปรียบเทียบความนิยมกันได้ โดยคะแนนความนิยมจาก 1-100 (100 คือความนิยมสูงสุด)
  • สามารถค้นหาข้อมูลโดนเจาะลึกไปที่ภูมิภาค/เขตได้อย่างง่ายดาย รวมทั้งสามารถเจาะลึกว่าเป็นการค้นหาผ่านอุปกรณ์อะไร
  • มีลักษณะเป็นกราฟแบบ Responsive เห็นภาพชัดเจน
  • แม้ Google Trends จะไม่มีข้อมูลจำพวก Keyword Difficulty หรือ CTR แบบเครื่องมืออื่นๆ แต่จะมีสรุปให้ด้วยว่า ณ ขณะนั้น คำเสริชอะไรที่กำลังเป็นเทรนด์อยู่บน Google ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่เครื่องมืออื่นไม่มี

ราคา:

  •  ฟรี

Answer the Public 

เครื่องมือนี้เป็นเครื่องมือดีๆ Keyword Research อีกหนึ่งอันที่เหมาะสำหรับการค้นหาคีย์เวิร์ดยาวหรือคีย์เวิร์ดแบบเป็นคำถาม (Long Tail Keywords) ได้ง่ายๆ จากการพิมพ์คีย์เวิร์ดแบบสั้นๆ ที่ต้องการลงไป

จุดเด่น:

  • เหมาะสำหรับการค้นหาคีย์เวิร์ดแบบยาว คีย์เวิร์ดเชิงคำถาม ตามภูมิภาค ประเทศ และภาษา
  • เหมาะสำหรับการค้นหาไอเดียกว้างๆ มากกว่าการค้นหาข้อมูลเชิงลึกแบบจริงจัง
  • แบบฟรีนั้นจะค้นหาได้วันละไม่เกิน 3 ครั้ง

ราคา:

  • ฟรี (แต่มีการจำกัดจำนวนครั้งในการเสริช) อยากอัปเกรดเริ่มต้นที่ $99 บาท

KeywordTool.io

เครื่องมือหน้าตาใช้งานง่ายมาก เพียงแค่เข้าไปหน้าเว็บก็สามารถเริ่มใช้งานได้เลย Find Keywords หน้าตาของข้อมูลที่ได้ออกมานั้นเรียกได้ว่าแทบไม่ต่างจากข้อมูลของเครื่องมือ Keyword Research อย่าง Google Keyword Planner เลย

จุดเด่น:

  • เหมาะกับการค้นหาคีย์เวิร์ดแบบที่ต้องการข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับคีย์เวิร์ดนั้นๆ เยอะๆ
  • ใช้งานง่ายมาก เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น (ง่ายกว่า Google Keyword Planner)
  • เหมาะสำหรับใครที่อยากค้นหาข้อมูลคีย์เวิร์ด โดยแยกตามชนิดของเสริชเอนจิ้น เช่น Google, Bing, Yahoo, Youtube เป็นต้น
  • เหมาะสำหรับใครที่อยากค้นหาข้อมูลคีย์เวิร์ด โดยแยกตามชนิดของแพลตฟอร์ม เช่น Amazon, App Store, Instagram เป็นต้น

ราคา:

  • ฟรี (แต่ก็ไม่ทั้งหมด) อยากอัปเกรดเริ่มต้นที่ $69 บาท

Ubersuggest

เว็บที่ไว้ใช้สำหรับวิเคราะห์คำ Keyword ต่างๆ เพื่อให้เรานำมาใช้จัดลำดับความสำคัญในการผลิตคอนเทนต์ และนำข้อมูลต่างๆ ที่ได้รับมาวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด เพื่อให้เหมาะกับธุรกิจของคุณ เครื่องมือ Keyword Research นี้ สร้างโดย Neil Patel กูรู SEO ระดับโลก

 

Keyword Sheeter

Keyword Sheeter เป็นโปรแกรมหาคีย์เวิร์ดด้วยการดึงคำ autocomplete จาก Google วิธีการใช้งานก็แสนง่ายดาย ให้คุณป้อนคีย์เวิร์ดตั้งต้นหนึ่งรายการขึ้นไปแล้วคลิกปุ่ม “Sheet keywords.” ถือเป็นเครื่องมือ Keyword Research ที่มีประโยชน์

สรุป

ทั้งหมดเป็นโปรแกรมหา Keyword Research ที่คนใช้เยอะหรือนิยมใช้ในไทยและต่างประเทศ ใช้ประโยชน์ในการจัดลำดับความสำคัญในการสร้าง Content ดีๆ หรือ สินค้าและบริการ เผยแพร่สู่สาธารณะ โฟกัสคีย์เวิร์ดหลักของธุรกิจ คีย์เวิร์ดรอง นำคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมจัดทำหมวดหมู่ แยกประเภท Content ได้ดี หากอ่านถึงตรงนี้ ผู้อ่านยังไม่เข้าใจหรือไม่มีเวลาศึกษาและลองเล่นวิธีใช้เครื่องมือเหล่านี้ ท่านสามารถให้เราเป็นพาร์ทเนอร์หรือผู้ช่วย ดูแลวิเคราะห์คีย์เวิร์ดให้กับธุรกิจเว็บไซต์ บริษัท SEO MASTER เรารับทำ SEO ครบวงจรครับ

]]>
Ahrefs คืออะไร เครื่องมือทำ SEO มืออาชีพ https://seomasterth.com/ahrefs-seo-tool/ Thu, 21 Dec 2023 14:33:20 +0000 https://seomasterth.com/?p=26702 Ahrefs คืออะไร

Ahrefs คือ เครื่องมือสำหรับนักทำ SEO ใช้วิเคราะห์ข้อมูลเว็บไซต์ วิเคราะห์คีย์เวิร์ด Keyword Analysis วิเคราะห์แบ็คลิงค์ Backlink Analysis วิเคราะห์คู่แข่ง Competitor Analysis และตรวจสอบ Website Audit ซึ่งเมนูสำคัญๆที่ขอแนะนำ ของ Ahrefs มี 4 เรื่อง ดังนี้

  1. Site Explorer
  2. Keyword Explorer
  3. Site Audit
  4. Rank Tracker

Site Explorer เครื่องมือใช้วิเคราะห์เว็บไซต์เพียงใส่ URL ที่เราสนใจ จะเป็นเว็บตัวเองหรือเว็บไซต์ของคู่แข่งก็ดี โดยรายงานข้อมูล เช่น ค่า DR (Domain Rating), ค่า URL (URL Rating), จำนวน Backlink, จำนวน Referring Domain, จำนวน Keywords และจำนวน Traffic เป็นต้น

Keyword Explorer เป็นเครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์เกี่ยวกับ Keyword ที่เราสนใจ บอกถึงปริมาณการค้นหาของคำนั้น แสดงตัวเลข KD (Keyword Difficulty) ความยากของคีย์เวิร์ดในการทำ SEO แสดงราคาค่าลงโฆษณา (CPC) แนะนำ Keyword อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องและใกล้เคียงกับคำที่เราสนใจ เครื่องมือนี้เหมาะมากๆ สำหรับการวางแผน Keyword และ Topic Idea ในการวาง Content Strategy คล้ายๆกับเครื่องมือ Google Keyword Planner

Site Audit ฟีเจอร์นี้เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ฟีเจอร์สำคัญที่เป็นความสามารถเด่นของ Tool นี้ รีพอร์ทกลุ่มนี้ถูกสร้างขึ้นจากการที่ Ahrefs ส่ง Bot เข้ามา Crawl เว็บไซต์ของเรา แล้วสรุปปัญหาต่างๆ ออกมาให้เราสามารถนำไปแอคชั่นต่อได้ทันที เช่น หน้าไหนบ้างที่ไม่มีการเขียน Title Description เอาไว้ หน้าไหนบ้างที่ Title และ Descrition มีการซ้ำกัน โดยตั้งค่าเป็น Schedule ให้ทำ Site Audit ได้ เช่น ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน

Rank Tracker รีพอร์ทนี้ใช้สำหรับการติดตาม Track อันดับของ Keywords ทั้งหมดที่เราสนใจ ว่าอันดับมีการเพิ่มขึ้นหรือลดลงเท่าไรจากวันก่อนหน้า 1 วัน 7 วัน 30 เป็นต้น ทำให้เราเห็น Performance ของการทำ SEO แบบย้อนหลัง โดยรีพอร์ทจะแยกอันดับออกจากกันระหว่างการแสดงผลบน Desktop และ Mobile ไว้ด้วย โดยจะมีสรุปรายงานอันดับ ส่งอีเมล์มาบอกเราด้วย

Ahrefs ฟรีหรือไม่?

ราคาเครื่องมือ Ahrefs ไม่ฟรีนะครับ อัพเดทล่าสุด 2023-2024 (อาจจะมีเวอร์ชั่นฟรี ทดลองใช้งาน 7 วัน)

Ahrefs ฟีเจอร์สำคัญ ที่มักใช้บ่อย

Organic keywords

เครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ด รายงานอันดับของ Keywords ทั้งหมดของเว็บไซต์ เรียงตาม Traffic ที่ติดอันดับบน Google เห็นความเคลื่อนไหวอันดับว่าพบใหม่อันดับขึ้น หรือ อันดับตก (New, Improve, Declined) และเราสามารถ Sorting เรียงตาม Column ที่สนใจได้ ใช้วิเคราะห์คู่แข่ง ใช้หา Content มาทำตามลำดับความสำคัญได้

Referring domains

รายงานจำนวน Backlink จากเว็บไซต์ต่างๆที่อ้างอิงถึงเว็บไซต์เรา ความเคลื่อนไหวจำนวน Backlink ได้มาใหม่ (New) หรือ สูญหาย (Lost) ค่า DR, Traffic ของเว็บไซต์เหล่านั้น

Organic competitors

ใช้วิเคราะห์คู่แข่งว่ามีใครบ้างในเว็บประเภทเดียวกัน และเราค่อยลงลึกไปวิเคราะห์คู่แข่งทีละเว็บได้ อย่างเช่น Keyword Gap ที่จะช่วยหาคีย์เวิร์ดจากคู่แข่งมาแนะนำ โดยเป็นคีย์เวิร์ดที่เรายังไม่ทำและมีโอกาสติด SEO

Outgoing links

รายงานจำนวน Link ที่วิ่งออกจากเว็บเรา ในบางครั้งเราอาจไม่ตั้งใจทำอ้างอิงไปหาเว็บคนอื่น หรือเว็บเราอาจโดนแฮ็กทำลิ้งวิ่งออกเหล่านั้น

อื่นๆอีกมากมาย

สรุป

ทั้งหมดนี้เป็นความสามารถของเครื่องมือ Ahrefs ที่น่าสนใจเป็นอย่างมากหากจะเลือกเครื่องมือเพื่อใช้ในการทำแผน SEO อย่างถูกต้องและเกิดประสิทธิภาพสูง เป็นเครื่องมือที่มีรายละเอียดค่อนข้างมากต้องใช้ความเข้าใจในการใช้งานจึงจำเป็นต้องใช้เวลาศึกษาพอสมควร แต่หากคุณใช้เป็นตัวช่วยในการทำการกลยุทธ์การตลาดออนไลน์มันจะเพิ่มความง่ายให้แก่คุณได้เป็นอย่างดี

]]>
Google Tag Manager (GTM) คืออะไร คนทั่วไปอ่านรู้เรื่อง https://seomasterth.com/google-tag-manager-gtm/ Thu, 21 Dec 2023 08:14:19 +0000 https://seomasterth.com/?p=26682 Google Tag Manager (GTM) คืออะไร

Google Tag Manager คือ บริการฟรีอีกหนึ่งอย่างจาก Google ย่อมาจาก GTM เป็นเครื่องมือหรือระบบจัดการแท็ก ที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้ผู้ใช้งานอัปเดตชุดโค้ดติดตามการทำงานต่างๆที่ต้องการวัดผล (Conversion Rate) เช่น ปุ่มนี้มีคนคลิกเท่าไร มีคนเข้ามาหยิบของใส่ตะกร้าเท่าไหร่ เพื่อทำหน้าที่เก็บข้อมูลที่ต้องการได้โดยไม่ต้องอาศัยความรู้ในการเขียนโค้ด ถือเป็นเครื่องมือทางการตลาดใช้กับการลงโฆษณาที่สำคัญมากในยุคนี้

Google Tag Manager ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก

1. Tags (แท็ก)

แท็กคือโค้ดที่สั่งระบบให้ทำสิ่งต่าง ๆ ตามที่ต้องการ โดย GTM จะช่วยให้คุณสร้างและใช้แท็กต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้นโดยที่ไม่ต้องเขียนโค้ดเอง เช่น พวก Tracking Code ต่าง ๆ ที่พวกแพลตฟอร์มทั้งหลายอยากให้คุณติดที่เว็บไซต์ของคุณนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็น Google Analytics, Facebook Pixel ใช้ทำ Remarketing, TikTok Pixel และใช้ควบคู่กับ Google Adwords ในการติดตามวัดผลโฆษณา เป็นต้น โดยที่ในระบบ GTM จะมี Template ให้เราเลือกว่าคุณจะสร้าง Tag ของแพลตฟอร์มไหน สะดวกสบายจริงๆครับ

2.  Triggers (ทริกเกอร์)

Google Tag Manager Triggers คือเงื่อนไข (Condition) การทำงานร่วมกับ Tags เช่น ทริกเกอร์การดูหน้าเว็บ (All Pages Trigger) จะเป็นตัวกำหนดให้แท็กเก็บข้อมูลคนที่เข้ามาในทุกหน้าของเว็บหรือเฉพาะบางหน้าก็ได้ ส่วนทริกเกอร์การคลิก (Click Trigger) จะเก็บข้อมูลว่ามีคนคลิกปุ่มไหนบ้าง และทริกเกอร์การส่งแบบฟอร์ม (Form Submission trigger) จะกำหนดการเก็บข้อมูลในการกรอกแบบฟอร์ม

3.  Variables (ตัวแปร)

ตัวแปรเป็นตัวช่วยเสริมประสิทธิภาพในการทำงานอีกทีหนึ่ง ซึ่งถูกนำไปใช้ทั้งในแท็กและทริกเกอร์ โดยแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ Built-in คือตัวแปรบิวท์อินที่ระบบมีมาให้ เช่น Click, Page, Form, Utility และ User-Defined Variables ตัวแปรที่กำหนดโดยผู้ใช้

Google Tag Manager วิธีสมัครใช้งาน

Google Tag Manager เป็นเครื่องมือที่สามารถใช้งานได้ฟรี แต่สิ่งที่ต้องมีก่อนเริ่มใช้งาน GTM คือ Gmail จากนั้นหากยังไม่เคยมีบัญชี Google Tag Manager ก็สามารถเข้าไปที่ http://tagmanager.google.com เพื่อลงทะเบียนและตั้งค่าเริ่มต้นต่างๆ ตามขั้นตอน เพียงเท่านี้คุณก็สามารถใช้งานได้แล้ว

สรุป

Google Tag Manager หรือ GTM คือเครื่องมืออำนวยความสะดวกที่จะช่วยลดความยุ่งยากในการติดตั้ง Tag ต่างๆ ซึ่งจากเดิมเราจะต้องส่งโค้ดให้กับ Website Developer หรือ Programmer ให้ทำการติดตั้ง Tag นั้นๆ ในระบบหลังบ้านให้ อย่างไรก็ตาม Google Tag Manager ก็ยังคงเป็นเครื่องมือที่ต้องอาศัยความเข้าใจในเรื่องของ Tag การติดตามผล การนำข้อมูลมาใช้ การทำโฆษณาต่างๆ อยู่ดี

]]>
Google Analytics คืออะไร เครื่องมือดูสถิติผู้เข้าชมเว็บไซต์ https://seomasterth.com/google-analytics/ Tue, 19 Dec 2023 13:28:32 +0000 https://seomasterth.com/?p=26612 Google Analytics คืออะไร  

Google Analytics คือ เครื่องมือดูสถิติผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่ใช้ได้ฟรีจาก Google โดยกระบวนการทำงานของ GA4 (ชื่อที่มักเรียกกันสั้นๆ) ทำให้เรารู้ว่า เว็บไซต์เรามีคนเข้าเว็บ (UIP) วันละเท่าไร ดูเป็นกราฟย้อนหลังได้ เข้าถึงเว็บไซต์ของเราจากอุปกรณ์อะไรบ้าง เพศชายหญิง ช่วงอายุ ประเทศ หน้าเพจไหนของเรามีคนเข้าเยอะ ใช้เวลาอยู่นาน-ไม่นาน (Session/Duration) ใช้ทำ Customer Journey และวัดค่า Conversion Rate ดูพฤติกรรมลูกค้าตั้งแต่เข้าเว็บจนจบการสั่งซื้อสินค้าหรือบริการ หรือออกไปที่หน้าไหน จึงวิเคราะห์หาจุดผิดพลาดได้ และนำมาวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ ว่าเว็บเราควรปรับปรุงอะไรต่อ หรือจะปรับแผนการตลาดยังไงให้คนซื้อของของเรามากขึ้น หรือลงมือกระทำบางอย่างที่ตอบจุดประสงค์ของธุรกิจ

วิธีติดตั้ง Google Analytics กับเว็บไซต์ (2024)

Google Analytics เราแนะนำวิธีติดตั้ง ได้ 2 วิธี คือ

    1. นำ Tracking Code ของ GA ไปติดในส่วน <head> ของเว็บไซต์​ (ให้ Developer ช่วยติดให้ครับ)
    2. เราติดตั้งเองได้ สำหรับ WordPress ติดตั้งปลั๊กอินชื่อว่า WPCode Plugin ไปที่ Code Snippets > Header & Footer และนำ GA4 Tracking Code ไปใส่ไว้ในส่วนนี้ครับ

สอนใช้ Google Analytics ใช้งานยังไง

ในส่วนนี้ เรามาดูว่าเมนูของ Google Analytics 4 ใช้งานยังไง สอนใช้งานสำหรับคนทั่วไป สามารถรายงานได้มากถึง 2,000 เว็บไซต์ ต่อ 1 บัญชี

1. Home

Home หรือหน้าแรก จะเป็นหน้าแรกสุดที่คุณจะเจอหลังจากที่คุณ Login เข้ามายัง Google Analytics โดยที่หน้านี้จะเป็นหน้าที่คุณจะเห็นภาพรวมของข้อมูลทั้งหมดที่สำคัญสำหรับคุณเช่นข้อมูล Users, Engagement หรือ Revenue ของเว็บไซต์ของคุณ

เรียกได้ว่าใน Section นี้ ตัว Google Analytics จะรวมข้อมูลที่สำคัญมาไว้ในที่เดียว ซึ่งถ้าคุณอยากจะดูข้อมูลเชิงลึกในส่วนไหน คุณก็สามารถกดดูได้ เช่น ถ้าผมอยากดูข้อมูลแบบ Realtime ในเชิงลึก ผมก็แค่กดปุ่ม View Realtime ถ้าต้องการดูข้อมูลของ User Acquisition ก็กดปุ่ม View User Acquisition

2. Realtime

 

GA4 Realtime เราใช้ดู ขณะปัจจุบัน หรือตอนนี้ มีผู้เข้าชมเว็บไซต์จำนวนกี่คน อยู่หน้าไหนเท่าไรบ้าง ข้อมูลในส่วนของ Realtime จะมีประโยชน์มากๆ สมมติเราทำกิจกรรม หรือบูสโฆษณา เราใช้ส่วนนี้ monitor ได้ครับ

3. Report

Google Analytic Report รายงานคนที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณมีปฏิสัมพันธ์ยังไงบ้าง เช่นปฏิสัมพันธ์กับเว็บไซต์หน้าไหน ใช้เวลากับแต่ละหน้ามากน้อยเท่าไหร่ ซึ่งตัวเลขค่าเหล่านี้มีผลต่อ SEO Onpage

4. Users

Google Analytic Users เป็น Section ที่ลงรายละเอียดเกี่ยวกับ User ที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ โดยที่ Section นี้มีหัวข้อย่อยคือ Demographics และ Tech

4.1 Demographics

Google Analytic Demographics เป็นส่วนที่บอกข้อมูลภาพรวมเกี่ยวกับ User ว่าเขามาจากประเทศ/จังหวัดไหน เพศอะไร อายุเท่าไหร่ และพูดภาษาอะไร

4.2 Tech

Google Analytic Tech เป็นส่วนที่บอกข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ User ใช้ในการเข้าถึงเว็บไซต์ของคุณเช่นเข้าผ่านประเภทของ Device แบบไหน (Mobile, Desktop, Tablet) ใช้ Browser แบบไหน (Chrome, Safari, Android Webview, Edge, Firefox และอื่นๆ) หรือใช้ Operating System ไหน (iOS, Android, Window และอื่นๆ) ค่า Screen resolution ขนาดหน้าจอ

ข้อมูลในส่วนของ Demographic และ Tech นี้เอาไปใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง อย่างที่เห็นชัดที่สุดก็คงจะเป็นการเอาข้อมูลเหล่านี้ไปใช้กับการเลือก Audience ในระบบโฆษณาอย่าง Facebook Ads หรือ Google Ads เป็นต้น

5. Events

Google Analytic Events ในส่วนนี้ต้องมี Programmer มาช่วยจัดการครับ Event Tracking เบื้องต้นผ่าน Tools Google Tag Manager ใช้ดูรายงานเหตุการณ์ต่างๆ Conversion Rate ที่คุณอยากวัดผลบนเว็บไซต์ของคุณ (เช่น การคลิกปุ่ม การScrollหน้าจอ การคลิกดูวีดีโอ การซื้อของ การกรอกข้อมูล หรือไปเยี่ยมชมหน้าที่คุณอยากให้ไปเยี่ยมชม หรือการปิดBrowser) โดยที่ Section นี้มีหัวข้อย่อยคือ Conversion และ All Events รวมถึงสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการสร้างเป็น Goal ของเว็บไซต์ หรือสร้าง Segment และ Export เป็น Audience เพื่อนำไปทำ Remarketing นอกจากนั้นยังสามารถสร้าง Funnel analysis ที่สามารถใช้ในการวิเคราะห์ขั้นตอนที่สำคัญๆ ของ User Journey โดยการดูจำนวนของผู้ใช้ที่ Completed Goal หรือคนที่ Drop off ไปในแต่ละขั้นตอน

5.1 Conversion

Section ย่อยนี้เป็นส่วนที่เอาไว้ให้คุณกำหนดค่าว่ากิจกรรมไหนที่บนเว็บไซต์ของคุณที่นับเป็น Conversion

ข้อมูลในส่วนนี้จะทำให้คุณเห็นประสิทธิภาพของเว็บไซต์ของคุณมากยิ่งขึ้นว่ามันไปตอบโจทย์เป้าหมายทางธุรกิจจริงๆ รึเปล่า

5.2 All Events

Section ย่อยนี้เป็นส่วนที่แสดงให้เห็นภาพ Event ทั้งหมดที่เกิดขึ้นมาเว็บไซต์ของคุณเช่น First Visit, Pageview หรือ Click

สรุป

Google Analytics เป็นเครื่องมือที่สามารถช่วยให้ผู้ประกอบการ สามารถวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าที่มีเพื่อนำไปพัฒนาเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้แบรนด์เข้าใจว่ากลุ่มเป้าหมายของเราเป็นใครได้ในเชิงลึก ทำให้เราสามารถประหยัดเวลาในการเลือกช่องทางการโปรโมตสินค้า นอกจากนี้ยังสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปวิเคราะห์ในการทำ Remarketing ได้ในอนาคตอีกด้วย มีให้ใช้งานทั้งบนเวอร์ชั่น Website และบน Application มือถือ

 

]]>
Google Adwords คืออะไร ทำไมจึงสำคัญต่อธุรกิจออนไลน์ยุคนี้ https://seomasterth.com/google-adwords-%e0%b8%84%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b0%e0%b9%84%e0%b8%a3/ Tue, 19 Dec 2023 08:51:25 +0000 https://seomasterth.com/?p=26598 สำหรับคนทำธุรกิจในปัจจุบันช่องทางออนไลน์กลายเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยสร้างโอกาสแห่งความสำเร็จ ซึ่งกลยุทธ์ที่นิยมใช้ก็มีตั้งแต่การทำ SEO ช่องทาง Social Media แต่ถ้ามองถึงวิธีที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันเชื่อว่าต้องมีชื่อของ “Google Adwords” รวมอยู่ด้วยแบบไม่ต้องสงสัย มือใหม่ที่ยังสงสัยว่า Google Adwords คืออะไร ใช้งานยังไง แล้วมีความสำคัญต่อธุรกิจมากน้อยแค่ไหน บทความนี้มีคำตอบแบบละเอียดให้ครบถ้วนทุกประเด็น

ตอบข้อสงสัย Google Adwords คืออะไร

Google Adwords หรือ Google Ads คือ รูปแบบการโฆษณาผ่านช่องทางของ Google ในฐานะ Search Engine อันดับ 1 ของเมืองไทยและของโลก หลักการใช้งานเมื่อคุณมีบัญชีกับทาง Google เรียบร้อยก็สามารถเริ่มลงโฆษณาในรูปแบบที่เหมาะกับธุรกิจของตนเองได้ทันที อย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายในการโฆษณาดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับจำนวนของผู้คลิกเข้าชม หรือที่เรียกว่า Pay Per Click (PPC)

ประเภทของ Google Adwords ที่ได้รับความนิยม

1. Google Search

ต้องใช้ Keyword เพื่อสร้างโฆษณาบนหน้าเว็บ Google เมื่อมีคนค้นหาคำดังกล่าวเว็บของคุณจะติดอันดับอยู่ด้านบนหรือด้านล่างในหน้าแรก เหมือนการทำ SEO แต่ผลลัพธ์รวดเร็วมากกว่า

2. Google Display Network

หรือ GDN คือลักษณะของแบนเนอร์ซึ่งมีได้ทั้งภาพและตัวอักษรเพื่อโฆษณาดึงดูดความสนใจ โดยจะถูกนำไปแปะเอาไว้ตามเว็บพันธมิตรของ Google ที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกับธุรกิจของคุณ

3. Video Ads

โฆษณาประเภทนี้จะทำเป็นคลิปวิดีโอแล้วลงผ่านช่องทาง YouTube ซึ่งมีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับความเหมาะสมหรือความพึงพอใจของผู้ลงโฆษณา เช่น Display Ad, Overlay in-video ads, Non-Skipable in-stream ad, Bumper advertising (คลิกเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม)

4. Shopping Ads

ตัวโฆษณาจะถูกทำออกมาในลักษณะของการขายสินค้านั้น ๆ ชัดเจน ต้องมีข้อมูลและราคาพร้อมช่องทางการซื้อระบุเอาไว้ให้ละเอียดครบถ้วน ลูกค้าสามารถคลิกเข้าซื้อได้ทันที

5. Application Ads

เป็นการโฆษณาผ่านช่องทางมือถือโดยมีจุดประสงค์ให้คนดาวน์โหลดแอปพลิเคชันที่คุณสร้างขึ้นมา

ขั้นตอนเบื้องต้นเมื่อตัดสินใจทำ Google Adwords

แม้ Google Adwords จะมีหลายรูปแบบให้เลือก แต่ถ้าพิจารณาจากความง่ายมากสุดก็ต้องยกให้กับ Google Search เพราะคุณไม่จำเป็นต้อมีทักษะด้านการตัดต่อ การสร้างภาพแบนเนอร์ ไม่ต้องเสียเวลาลงรายละเอียดข้อมูลสินค้าใด ๆ ทั้งสิ้น เพียงแค่มีเว็บไซต์หลักที่ต้องการให้ลูกค้าคลิกเข้าไปก็สามารถเริ่มเข้าสู่การยิง Google Ads ได้ทันที ซึ่งขั้นตอนเบื้องต้นให้ทำตามนี้เลย

  1. คลิกเข้าไปบนหน้าเว็บไซต์ Google Ads จากนั้นสมัครสมาชิก สร้าง Account ของตนเองและตั้งค่าพื้นฐานสำหรับการใช้งาน Google Adwords
  2. คัดเลือก Keyword ที่ต้องการใช้ แนะนำให้เลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะกับธุรกิจของตนเอง คู่แข่งไม่จำเป็นต้องสูง เพื่อราคา Bid ไม่รุนแรงมากเกินเหตุ
  3. กำหนดค่าใช้จ่ายงบประมาณรายวันและค่า PPC เมื่อมีคนคลิกเข้ามารับชมเว็บไซต์ของคุณผ่านช่องทางการทำ Google Ads
  4. สร้างข้อความโฆษณาพร้อมใส่ Keyword ที่เลือกลงไป (เน้นเขียนให้สั้น กระชับ แต่ครบถ้วน อ่านแล้วดึงดูดใจให้อยากคลิกเข้ามาซื้อ)
  5. ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยก็รอผลลัพธ์และชำระเงินตามจำนวนคนที่คลิกเข้ามารับชมกันได้เลย

ข้อควรรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการทำ Google Adwords

หากคุณสนใจอยากเริ่มทำ Google Adwords นอกจากการค้นหา Keyword ให้เหมาะสมด้วยการเลือกคำที่คนค้นหาระดับปานกลางไปค่อนทางสูง ไม่เน้นคำทั่วไปที่คนเสิร์ชเยอะเพราะแข่งขันสูงและผลลัพธ์ไม่ค่อยน่าพึงพอใจ ยังมีข้อควรรู้เบื้องต้นอื่น ๆ เพิ่มเติมที่อยากบอกต่อ

  • เมื่อกำหนดค่าโฆษณาที่ต้องเสียผ่าน PPC และมียอดคนคลิกเข้ามาจนคุณต้องจ่ายครบตามจำนวนวันนั้นแล้ว โฆษณา Google Adwords ดังกล่าวจะหยุดแสดงและหายไปจนกว่าจะเริ่มวันใหม่
  • คำโฆษณาที่ใช้ปรับใหม่ได้ตลอด อยากเพิ่มเติมโปรโมชั่นแบบไหน ใช้คำดึงดูดใจ อัปเดตข้อมูลใหม่ล่าสุดสามารถทำได้ตลอดเวลา
  • Google Adwords จะแสดงผลเมื่อคะแนนบนแถบด้านบนเต็ม 10 นั่นหมายถึงเป็นโฆษณาที่มีประสิทธิภาพตามคำนิยมของ Google
  • กำหนดพื้นที่สำหรับยิงโฆษณาได้ เช่น ระบุจังหวัด ประเทศ เพื่อให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของตนเองมากที่สุด
  • ตอนนี้มีระบบที่เรียกว่า Performance Max Campaign ไม่ต้องเสียเวลาตั้งค่าให้ยุ่งยากเพราะสามารถยิง Ads ได้กับทุกช่องทางของ Google เช่น Search, YouTube, Maps, Gmail. Discovery, Display เพียงแค่ทำโฆษณาออกมาแค่ตัวเดียว

ทำไมการทำ Performance Max Campaign จึงสำคัญต่อธุรกิจออนไลน์

1. Google คือ เว็บค้นหาอันดับ 1

อย่างที่บอกไปว่า Google ถือเป็นเว็บ Search Engine อันดับ 1 ของไทยและของโลก คนไทยกว่า 99% ใช้เว็บนี้เพื่อค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ดังนั้นคุณจึงมีโอกาสเป็นที่รู้จัก สามารถสร้างยอดขายได้มากขึ้นเมื่อทำ Google Adwords

2. มีสถิติตัวเลขให้นำไปใช้งาน

ปัจจัยต่อมาการยิงแอดผ่าน Google จะมีสถิติตัวเลขต่าง ๆ เกี่ยวกับโฆษณาที่ลงไป สามารถนำเอาไปใช้เพื่อวางแผนการทำ Ads ครั้งถัดไปได้ง่ายขึ้น รวมถึงยังต่อยอดสู่แผนการตลาดของธุรกิจ

3. ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ชัดเจน

คุณสามารถกำหนดได้ว่าแต่ละวันต้องการตั้งค่าจำนวนเงินที่พร้อมจ่ายกี่บาท ซึ่งเป็นไปตามงบขององค์กรหรือความเหมาะสม งบไม่มีบานปลายให้ต้องกังวลใจ

4. กำหนดพื้นที่กลุ่มเป้าหมายได้จริง

การลง Google Adwords สามารถกำหนดได้ว่าต้องการยิงแอดไปพื้นที่ใด บริเวณไหนของโลก เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายของตนเองเห็นและมีโอกาสเปลี่ยนเป็นลูกค้ามากที่สุด

นี่คือข้อมูลน่าสนใจทั้งหมดของ Google Adwords ซึ่งถือเป็นช่องทางการทำโฆษณาอันทรงพลังผ่านโลกออนไลน์ สร้างโอกาสต่อยอดสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายที่คาดหวังเอาไว้ ได้ผลลัพธ์ดีและยังต่อยอดเพิ่มเติมสู่อนาคตไม่ยากเลย เรามีบริการรับลงโฆษณา Google Ads ติดหน้าแรก Google สำหรับเจ้าของธุรกิจที่ไม่มีเวลาในส่วนนี้ครับ

]]>
Google Search Console คืออะไร วิธีใช้ ทำ SEO ต้องรู้ https://seomasterth.com/what-is-google-search-console/ Mon, 18 Dec 2023 18:30:40 +0000 https://seomasterth.com/?p=26557 Google Search Console คืออะไร

Google Search Console คือ เครื่องมือที่ใช้เพื่อตรวจสอบเว็บไซต์ของเรา รายงานคีย์เวิร์ด ยอดคนค้นหาบน Google และเห็นเว็บเรา ยอดคลิก จำนวนหน้าเว็บที่จัดเก็บบนกูเกิล ใช้ซับมิท URL หรือ sitemap รวมไปถึงหน่วยวัดประสบการณ์ใช้งานของผู้ใช้ (Experience) เช่น Core Web Vital และการหาช่องโหว่ในเว็บไซต์ ยิ่งเราควบคุมคุณภาพของเว็บไซต์ดีเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสติดหน้าแรกของ Google เท่านั้น

Search Console เป็นเครื่องมือที่เหมาะกับทุกคนที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง (Google Webmaster Tool) โดยเฉพาะคนทำ SEO และฝั่งผู้พัฒนาเว็บไซต์ที่ต้องการตรวจสอบแนวโน้มของธุรกิจ  เราสามารถเข้าใช้งานเครื่องมือฟรี เพียงมีบัญชีของ Google เท่านั้น

ประโยชน์ของ Google Search Console

Google Search Console ช่วยอะไร? เครื่องมือนี้เกิดมาเพื่อ คนที่อยากทำให้ธุรกิจเติบโต ด้วยการทำ SEO แนะนำประโยชน์ตามลำดับดังนี้

  • ใช้ดู Keyword ที่ติดบน Google ยอดคลิก เห็นแนวโน้มเป็นกราฟ ดูย้อนหลังได้ถึง 16 เดือน
  • ใช้ Submit หน้าเพจใหม่ของเราขึ้นจัดทำดัชนีบนกูเกิล ภาษาโปรแกรมเมอร์ เรียกว่า การเก็บ index บน Google  ในกรณีที่เรามีสินค้าใหม่ บทความใหม่ หรือหน้าเพจใหม่
  • ใช้ส่งแผนผังเว็บไซต์ sitemap.xml เพื่อบอก Google ว่าเว็บไซต์ของเรามีโครงสร้างอย่างไร Google Bot ก็จะคอยเข้ามาเก็บข้อมูล
  • ใช้ตรวจสอบเว็บไซต์อื่นที่มี Backlink มาหาเรา (Referring Domain)
  • ใช้ตรวจสอบประสบการณ์ใช้งานของผู้ใช้ (Experience) ในเรื่อง Core Web Vital
  • รับการแจ้งเตือนจาก Google เมื่อพบว่าเว็บไซต์ของเรามีปัญหา เช่น ปัญหาดัชนีเว็บไซต์มีความซ้ำซ้อน ปัญหาช่องโหว่ในเว็บไซต์ที่ควรได้รับการอัปเดต หรือปัญหาสแปม ปัญหา Content ถูกแจ้งลิขสิทธิ์ DMCA เป็นต้น
  • ใช้แจ้งลบ (Removals) URL ออกจาก Google
  • ใช้แจ้ง Disavow links หากเราพบ Backlink ที่ไม่ปกติ เชื่อมมายังเว็บไซต์ของเรา

วิธีติดตั้ง Google Search Console (2024)

1. เข้า Google Search Console

เมื่อเข้าไปในเว็บไซต์ https://search.google.com/search-console/about แล้วกด Start จะปรากฏหน้าต่างนี้ขึ้นมาครับ โดยตัว Google จะให้เราเลือกว่า property หรือเว็บไซต์ที่เราต้องการใช้นั้น มีการลงทะเบียนอย่างไร

ถ้าเลือก  1. Domain ตัว Search Console ก็จะครอบคลุมทั้งโดเมน รวม Sub domain ด้วยซึ่งต้องมีการ ยืนยันความเป็นเจ้าของเว็บไซต์ด้วยวิธี DNS Verify แต่หากเราไม่มี Sub domain แนะนำเลือก URL prefix โดยการยืนยันจะแค่ดาวโหลดไฟล์ .txt มาใส่ในเว็บเรา

2. Verify URL  

เมื่อเราใส่ URL ที่ต้องการไปแล้ว ก็จะปรากฏหน้าจอให้ Verify หรือคือการพิสูจน์ว่าเราเป็นเจ้าของเว็บไซต์นั้นๆ จริงหรือไม่ ให้เราดาวโหลดไฟล์ .html นำไปวางที่ Top domain ให้สามารถเข้าถึงได้ เช่น https://your-website/google9ed…42a.html

วิธีการใช้ Google Search Console (2024)

เมื่อเราเปิดใช้งาน Google Search Console ได้แล้ว มาดูกันเลยครับ วิธีการใช้งาน Google Search Console นั้น ฟังก์ชั่นหลักๆ ในนี้มีอะไรน่าสนใจบ้าง และมันช่วยให้เว็บไซต์ของคุณขึ้นหน้าแรกของ Google ได้ยังไง

Performance

Performance คือ รายงานประสิทธิภาพการทำงานและปริมาณคนที่เข้าถึงเว็บไซต์ของคุณย้อนหลัง 16 เดือน ยอดการคลิกลิงก์โดยรวม ประเทศที่คนเข้ามาชมเว็บไซต์ รวมไปถึงข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวกับเว็บไซต์ ที่จำเป็นต่อการทำ SEO

URL Inspection

ใช้ Submit หน้าใหม่ขึ้นจัดทำดัชนีบน Google หรือใช้ตรวจสอบได้ว่า URL เว็บไซต์ของเราหน้านี้ถูกจัดเก็บบนกูเกิลหรือยัง รายงานว่าระบบ Crawling หรือการสำรวจของ Google มาสำรวจล่าสุดวันไหน

แน่นอนครับ มันมีรายงาน Error หรือข้อผิดพลาดต่างๆ ในเว็บไซต์ของเราที่ทำให้ Google มองว่าเว็บเราด้อยประสิทธิภาพและจุดที่ต้องทำการแก้ไขด้วยครับ นับว่าเป็นเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับผู้ทำเว็บไซต์สุดๆ เลยทีเดียว

Sitemap

ใช้สำหรับ Submit ส่งแผนผังเว็บไซต์ sitemap.xml ให้ Google เพื่อให้กูเกิลคอยส่งหุ่นยนต์มาตรวจสอบโครงสร้างเว็บไซต์ของเราอยู่ตลอดเวลา

Page Experience

ในส่วนนี้สำคัญมากในการจัดอันดับ Google ตั้งแต่ June 2021 Google Algorithm ประกาศใช้ค่า Core Web Vitals มาเป็น factor สำหรับวัดค่ามีผลต่อการจัดอันดับ Ranking นั่นเอง

Security Issue

รายงานปัญหาด้านความปลอดภัย คือ อีกหนึ่งฟีเจอร์ของ Search Console โดยหน้ารายงานความปลอดภัยนี้จะคอยแจ้งข้อมูลว่า เว็บไซต์เราถูกโจมตีไหม มีมัลแวร์แฝงตัวอยู่หรือเปล่า มีช่องโหว่จุดไหนบ้าง รวมถึงปัญหาทางเทคนิคอื่นๆ ที่ควรทราบด้วยครับ เทียบง่ายๆ คือมันทำหน้าที่คล้ายกับเป็นแอนตี้ไวรัสของเว็บไซต์เราเลย

Messages

รายงานแจ้งเตือนปัญหาต่างๆที่เกิดกับเว็บไซต์ของเรา กดคลิกรูป กระดิ่ง มุมขวาบน จะแสดงหน้าตาดังนี้

สรุป

Google Search Console คือ เครื่องมือฟรีใช้ทำ SEO คุณภาพจาก Google ตัวหนึ่งที่คอยเป็นมือขวาให้กับเว็บมาสเตอร์ เรียกว่าต้องใช้ ห้ามพลาด ยุค4.0 เราจะทำธุรกิจแบบตาบอดไม่ได้ครับ

]]>
Google Trend คืออะไร สำคัญต่อการทำ SEO อย่างไร https://seomasterth.com/what-is-google-trend/ Sun, 17 Dec 2023 18:41:31 +0000 https://seomasterth.com/?p=26528 Google Trend คืออะไร

          Google Trend คือ เครื่องมือของ Google ที่เรียกว่า “Search Engine” Google เทรนด์ ที่จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถสำรวจค้นหา Keyword  (คีย์เวิร์ด) ข้อยอดนิยมที่อยู่บน Google ได้ ผู้ใช้สามารถเห็นภาพรวมของความนิยมของคำค้นหา ในแต่ละช่วงเวลา และเปรียบเทียบความนิยมของหลาย ๆ คำค้นหาได้ นอกจากนี้ อีกทั้งยังสามารถดูลักษณะการค้นหาของผู้ใช้ที่แบ่งเป็นประเทศและเจาะลึกไปยังจังหวัดหรือภูมิภาคต่าง ๆ ได้เช่นกัน และนอกจากนี้ยังสามารถเช็กเทรนด์ฮิตประจำวันหรือตรวจสอบความนิยมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ดูข้อมูลหรือคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง (Related Quiries) แล้วนำข้อมูลมาวิเคราะห์ต่อยอดได้

          และนอกจากนั้นยังสามารถดูเทรนด์คำค้นหายอดฮิตรายวันได้อีกด้วย แถมยังมี Filter ที่ช่วยให้คุณกดย้อนดูความนิยมในหลาย ๆ ปีที่ผ่านมาเพื่อวิเคราะห์โอกาสเติบโตของ Keyword  (คีย์เวิร์ด) นั้นเพื่อนำไปต่อยอดในการสร้าง Content (คอนเทนต์) ได้อีกด้วย

5 ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ ของ Google Trend

    1. ค้นหา Niche Marketing

การค้นหา Niche Marketing หรือคำค้นหาที่มีความเฉพาะกลุ่ม เพื่อทำให้คุณได้เจาะตลาดกลุ่มสินค้าที่มีความเฉพาะเจาะจง

    1. Research Keyword

Google Trend สามารถเป็นเครื่องมือในการค้นหา Keyword (คีย์เวิร์ด) คำที่เกี่ยวข้อง ด้วยการใช้งานฟีเจอร์ Related Queries หรือคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง เพียงแค่เรากรอกคำค้นหาหลักลงไป 1 คำ ก็จะขึ้นคำค้นหาที่เกี่ยวข้องมากมายพร้อมปริมาณการเติบโตของการค้นหาปรากฏให้เราเห็น

    1. สร้างคอนเทนต์ ที่สอดคล้องกับเทรนด์ในปัจจุบัน

Google Trend สามารถดู Keyword ที่ได้รับความนิยมในตอนนี้ได้ ผ่านฟีเจอร์ Recently Trending โดยให้คุณเข้าหน้าแรกของ Google Trend แล้วเลื่อนมาลงมาเล็กน้อย ก็จะเจอกับคำค้นหาที่ได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้

    1. เปรียบเทียบคู่แข่งในธุรกิจเดียวกัน 

Google Trend สามารถใช้เปรียบเทียบคู่แข่งในธุรกิจเดียวกันได้ผ่านการใช้ฟีเจอร์ Comparison ที่จะช่วยให้คุณเห็นอัตราการค้นหาเปรียบเทียบมากกว่า 1 คำ

    1. กำหนดช่วงเวลาที่ดีที่สุด สำหรับยิงแอด

Google Trend จะแสดงให้เห็นว่าในช่วงเวลาไหนบ้างที่การยิงแอดได้รับความนิยม ซึ่งช่วยให้คุณสามารถกำหนดช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการยิงแอดไปหากลุ่มเป้าหมายที่คุณต้องการได้อย่างแม่นยำมากขึ้นนั่นเอง

ใช้ Google Trends ฉบับมืออาชีพ

  1. Google Trends ใช้มองหาเทรนด์ฮิตที่ติดกระแสและการค้นหาที่มาแรงแบบเรียลไทม์
  2. Google Trends เอาไว้หาหัวข้อที่เกี่ยวข้องและคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง (Related Topic & Query)
  3. Google Trends ใช้ย้อนมองหาข้อมูลแนวโน้มที่มีความสนใจ
  4. Google Trends สามารถเปรียบเทียบสิ่งที่ผู้คนสนใจ อันไหนมีโอกาสเกิดกว่า?
  5. Google Trends สามารถหาคีย์เวิร์ดตามเทศกาลและฤดูกาล
  6. Google Trends เป็นแพลตฟอร์มค้นหาไม่จำกัดแค่ Google
  7. Google Trends เอาไว้ส่องและวิเคราะห์เทรนด์ใดกำลังมาแรงและมาแรงมากที่สุด
  8. Google Trends สามารถค้นหาคีย์เวิร์ดแบบเจาะลึกด้วย ‘Category’

 

          Google Trend คือเครื่องมือค้นหา Keyword  (คีย์เวิร์ด) ข้อยอดนิยมที่อยู่บน Google ได้ที่จะช่วยให้นักการตลาดสามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับหัวข้อและ Keyword ที่ต้องการได้ ดูเทรนด์ความสนใจในสังคมขณะนั้นหรือพัฒนากลยุทธ์การตลาดหรือทำ SEM การยิงแอดและการทำ SEO

]]>
Google Keyword Planner เครื่องมือวางแผนคีย์เวิร์ด ในการลงโฆษณา Google https://seomasterth.com/google-keyword-planner/ Sat, 16 Dec 2023 16:41:52 +0000 https://seomasterth.com/?p=26440 Google Keyword Planner คืออะไร?

Google Keyword Planner คือ เครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ดฟรีจาก Google ที่ช่วยทำ Keyword Research โดยสามารถค้นหา Keyword ที่เราสนใจ เห็นข้อมูลยอดค้นต่อเดือน แน้วโน้ม ราคาโฆษณา ช่วยให้เราลำดับความสำคัญในการโฟกัสคีย์เวิร์ดในการทำ Content เพื่อเป้าหมายในการติดอันดับบน Search Engine ได้

Google Keyword Planner ฟรี จริงไหม?

เราสามารถใช้งาน Google Keyword Planner ได้ฟรี ไม่เสียเงิน และไม่ต้องลงโฆษณาใน Google Ads ด้วย เพียงแต่ต้องสมัครใช้งาน Register บัญชีง่ายๆ ไม่จำเป็นต้องผูกบัตรเครดิตก็สามารถใช้งานได้

วิธีสมัครใช้งาน Google Keyword Planner (Update 2024)

1. ไปที่ ads.google.com > ลงชื่อเข้าใช้

2. กรณีที่ยังไม่มี Google Ads Account ให้ไปที่ New Google Ads Account

3.  เลือก Create an account without a campaign (อยู่ตรงมุมซ้ายล่าง) เพื่อที่คุณจะได้สมัครบัญชีแบบไม่ต้องผูกบัตรเครดิต

4. ใส่ข้อมูลดังรูปและกด Submit

5. ยินดีด้วยครับ เท่านี้คุณก็มี Google Ads Account ที่พร้อมใช้งานได้แล้ว กดที่ปุ่ม Expole your account เพื่อเข้าสู่การใช้งาน

 

สอนใช้ Google Keyword Planner วิธีใช้งาน (2024)

เครื่องมือ Keyword Planner มีฟีเจอร์ 2 แบบ คือ

  • Keyword Idea

คือ การหาไอเดีย Keyword ใหม่ ๆ ที่สามารถช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มคนมากขึ้น

  • Forecast

คือ จะแสดงผล Search Volume หรือจำนวนการค้นหาในแต่ละเดือน และ Forecast หรือคาดการณ์ประสิทธิภาพแคมเปญโฆษณา Google Ads ในอนาคต ทำให้คุณสามารถประเมินได้ว่า Keyword ตัวไหนควรนำมาใช้

ขั้นตอนการใช้งาน Keyword Idea

ขั้นตอนการใช้งาน Keyword Idea มีอยู่ 3 ขั้นตอนดังนี้

1. ไปที่ Tools > Planning > Keyword Planner > Discover New Keywords

 

2. ตรง Tab Start with keywords คลิกตรงช่องค้นหา ใส่ Keyword ที่สนใจ และสามารถเจาะกลุ่มเป้าหมายจาก Location (โดยคลิกที่ค่าตั้งต้น คือ Link Thailand) เสร็จเรียบร้อย กดปุ่ม Get Results

3. เครื่องมือจะแสดงข้อมูลออกมา โดยสามารถอธิบายความหมายแต่ละช่องดังนี้

  • Keyword แสดงข้อมูลคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง
  • Avg. Monthly Searches จำนวนการค้นหาเฉลี่ยต่อเดือน
  • Competition การแข่งขันของ Keyword แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ High แปลว่า มีการแข่งขันสูง Medium แปลว่า การแข่งขันปานกลาง และสุดท้าย Low แปลว่า การแข่งขันต่ำ
  • Ad Impression Share อัตราส่วนแบ่งการแสดงโฆษณาของคุณและคู่แข่ง
  • Top of Page Bid (Low Range) ราคา Bid เฉลี่ย ในตำแหน่งบนๆ ของ Search Engine ซึ่งเป็นช่วงประมาณราคาต่ำสุด
  • Top of Page Bid (High Range) ราคา Bid เฉลี่ย ในตำแหน่งบนๆ ของ Search Engine ซึ่งเป็นช่วงประมาณราคาสูงสุด
  • Account status สถานะบัญชีของเราว่าลงโฆษณาคำนี้หรือยัง

4. อีกวิธี วิเคราะห์คีย์เวิร์ดด้วยเว็บไซต์ ตรง Tab Start with a Website ใส่ url ที่สนใจ และกดปุ่ม Get Results

5. ข้อมูลแสดง Keyword ที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์

ขั้นตอนการใช้งาน Forecast

ขั้นตอนการใช้งาน Forecast มีอยู่ 4 ขั้นตอนดังนี้

1. ไปที่ Forecast แล้วเพิ่ม Keyword ที่ต้องการลงไป

2. คุณสามารถเลือก Bid Strategy ได้ โดยมี 3 ประเภท คือ

  • Maximize Click คือ การกำหนดราคาคลิกอัตโนมัติ เพื่อให้ได้รับคลิกมากที่สุดภายใต้งบประมาณที่คุณตั้งเอาไว้
  • Maximize Conversions คือ การเสนอราคาโดยที่มีเป้าหมายในการเพิ่ม Conversion มากขึ้นโดยมีงบประมาณที่จำกัด ซึ่ง Google จะเข้ามาช่วยประเมินว่าคุณควรเสนอราคาตอนไหนถึงจะคุ้มค่ามากที่สุด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างยอดขาย และต้องการเก็บ Reach เป็นจำนวนมาก
  • Manual CPC คือ กำหนดราคาคลิกทุก Keyword แบบแมนวล กำหนดเอง โดยไม่มีระบบของ Google กำหนดให้อัตโนมัติ


3. ฟีเจอร์นี้จะคาดการณ์ประสิทธิภาพแคมเปญโฆษณาในช่วงเวลาที่คุณกำหนด โดยอิงจาก Keyword ที่เพิ่มเข้าไป และระบบจะแสดงข้อมูลสำคัญดังนี้

  • Conversion หน่วยวัดการกระทำของผู้เห็นโฆษณา (Conversion Rate) คือการลงโฆษณาที่มีการกำหนดว่าผู้ที่เห็นโฆษณาจะต้องมีการกระทำบางอย่าง เช่น การเข้าสู่เว็บไซต์, การคลิกหยิบสินค้าลงตะกร้า หรือการเลื่อนดูหน้าเว็บ ซึ่งการกระทำเหล่านี้เราจะเรียกรวมกันว่า Conversion
  • Clicks จำนวนคลิกที่มีคนกดโฆษณาทั้งหมด เช่น มีคนคลิกโฆษณา 10 ครั้ง ก็จะเท่ากับ 10 Clicks และถึงแม้ว่าจะเป็นคนเดียวกันกดคลิกโฆษณาถึง 10 ครั้ง ก็จะถูกนับเป็น 10 Clicks
  • Imressions จำนวนการแสดงผลของโฆษณา ถ้ามีการโหลดโฆษณาขึ้นมา 1 ครั้ง โดยไม่เกี่ยวข้องกับการเห็นโฆษณาจะนับเป็น 1 Impression ทันที
  • Cost ค่าใช้จ่ายในการทำแคมเปญโฆษณา
  • CTR (Click Through Rate) อัตราการคลิกเทียบกับการแสดงโฆษณา ถ้าค่า CTR สูง จะแสดงว่าโฆษณาของคุณมีคุณภาพ โดยค่านี้สามารถหาได้โดยสูตร (Clicks/Impressions)*100
  • Avg. CPC (Average Cost Per Click) ราคาเฉลี่ยต่อการเกิดคลิกโฆษณา 1 ครั้ง

ซึ่งคุณสามารถดูข้อมูลเหล่านี้เป็นภาพรวม Keyword ทั้งหมดที่คุณเพิ่มลงไป และข้อมูลของแต่ละ Keyword เรียกได้ว่าทำให้คุณสามารถประเมินในเรื่องงบประมาณ และเตรียมตัวในการทำแคมเปญโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. เมื่อได้ข้อมูลการวิเคราะห์ Keyword เราสามารถกดปุ่ม Create Campaign เพื่อนำไปทำแคมเปญโฆษณาต่อได้ทันที

ข้อจำกัดของ Google Keyword Planner

ข้อจำกัดของบัญชีเปิดใหม่ที่ไม่เคยมีการทำแคมเปญโฆษณาบน Google Ads มาก่อน มี 2 ข้อ คือ

  • บัญชีเปิดใหม่ไม่สามารถดูจำนวนการค้นหาเฉลี่ยต่อเดือนเป็นตัวเลขที่เฉพาะเจาะจงได้ ระบบจะแสดงให้เพียงแค่จำนวนเป็นช่วงเท่านั้น (1k,10k,100k) ในขณะที่บัญชีที่เคยทำแคมเปญโฆษณา Google Ads จะสามารถเห็นข้อมูลตัวเลขจริง
  • ไม่สามารถดูคีย์เวิร์ด 18+ ธุรกิจสีเทา หรือคำหยาบได้

เทคนิคใช้ Google Keyword Planner วิเคราะห์ธุรกิจ

1. วิเคราะห์คีย์เวิร์ดของคู่แข่งของคุณดูสิ (Competitor Keywords)

ใน Discover New Keywords จะมีช่องที่ทำให้คุณใส่ URL หรือลิงก์เว็บไซต์ได้ ซึ่งเราสามารถนำลิงก์ของคู่แข่งมาใส่ เท่านี้ก็ได้ไอเดีย Keyword จากเว็บไซต์คู่แข่งแล้ว

2. วิเคราะห์คีย์เวิร์ดในพื้นที่ (Local SEO)

ฟีเจอร์นี้เหมาะกับ Local Business โดยใช้ Location to Target กลุ่มคน จะได้รู้ว่า Keyword แบบไหนในพื้นที่ที่คุณเลือกมีจำนวนการค้นหาที่สูง ซึ่งส่งผลให้คุณเจอ Keyword ที่เหมาะสมกับ Target ในพื้นที่นั้นได้

บอกเลยว่าฟีเจอร์นี้ทำให้รู้ว่าคุณควรสร้างคอนเทนต์เพื่อ ‘ใคร’ และคอนเทนต์ของคุณจะจับใจ Target ในพื้นที่ได้ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

3. หา Keyword ที่ดี ดูได้จาก Top of page bid (high range)

ข้อมูลตรงส่วนนี้ทำให้รู้ว่า Keyword ตัวไหนที่ทำให้ผู้คนยอม Bid ค่าคลิกลงโฆษณาในราคาที่สูง เพราะคนไทยต่างใช้ Keyword เหล่านี้กันในการทำแคมเปญโฆษณา

สรุป

Google Keyword Planner เป็นเครื่องมือฟรีที่ จำเป็นต้องใช้ ในการทำธุรกิจ 2024 ช่วยทำให้เราวิเคราะห์คีย์เวิร์ด Keyword Research ได้ เห็นแนวโน้มและมีข้อมูลที่แม่นยำ เพื่อลงสินค้าและบริการ บทความ หรือใช้ลงโฆษณา Google Ads เพื่อ Lead ลูกค้า เป็นอีกหนึ่งกุญแจที่จะนำพาธุรกิจของคุณให้ประสบความสำเร็จครับ

]]>
Ubersuggest คืออะไร ทำรู้จักโปรแกรมหา Keyword ฟรี ที่นักการตลาดต้องรู้ https://seomasterth.com/ubersuggest-seo-keywords-tool/ Mon, 27 Nov 2023 15:42:06 +0000 https://seomasterth.com/?p=25464 Ubersuggest คืออะไร ทำรู้จักโปรแกรมหา Keyword ฟรี ที่นักการตลาดต้องรู้

โปรแกรมหา Keyword ฟรี เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญของการตลาดออนไลน์ เพราะการป้อนเนื้อหาและข้อมูลลงในช่องทางออนไลน์ Keyword ถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะพาคนเข้ามาหาเนื้อหาของเรา และพบเจอกับสินค้าหรือบริการที่เราต้องการนำเสนอบนโลกออนไลน์ ทำให้โปรแกรมหา Keyword ฟรี ถูกใช้งานอย่างกว้างขวาง และหนึ่งในโปรแกรมนี้ก็คือ Ubersuggest ที่หลายคนอาจเคยผ่านหูกันมาบ้าง แต่บางคนก็อาจยังไม่คุ้นเคยนัก ครั้งนี้ทางบทความเลยรวบรวมเอาข้อมูลรายละเอียดมาฝาก เพื่อทำความรู้จักโดยเฉพาะว่า Ubersuggest คืออะไร 

 

Ubersuggest คืออะไร?

Ubersuggest คือ โปรแกรมหา Keyword ฟรี ที่มีจุดประสงค์หลักคือการหาว่าจะใช้ Keyword ไหนดีที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเรา และเป็น Keyword ที่คนนิยมใช้ในการค้นหาเกี่ยวกับเนื้อหานั้นๆ อธิบายคร่าวๆ คือหลายคนเวลาวางแผนทำเนื้อหาหรือเขียนบทความขึ้นมา เรารู้อยู่แล้วว่าเนื้อหานั้นเกี่ยวกับอะไร และมี Keyword ในใจอยู่แล้ว แต่ยังไม่แน่ใจว่ากลุ่มเป้าหมายของเราจะค้นหาคำไหนมากกว่ากัน เช่น การจะขายบ้าน 1 หลัง Keyword ในใจของคนขาย ได้แก่ ขายบ้าน ซื้อบ้าน เป็นต้น 

 

แต่อาจยังไม่รู้ว่าคนนิยมค้นหาคำไหนมากกว่ากัน ระหว่าง “ขายบ้าน” และ “ซื้อบ้าน” ตรงนี้เองที่โปรแกรมหา Keyword ช่วยได้ เพราะเราสามารถนำ 2 คำนี้ไปเปรียบเทียบในโปรแกรมนั้นได้ ว่าคำไหนคนค้นหาเยอะกว่า ก็เลือกใช้คำนั้นกำหนดเป็น Keyword หลักของเนื้อหานั้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงเนื้อหาของเรานั่นเอง ซึ่ง Ubersuggest ก็เป็นหนึ่งในโปรแกรมหา Keyword ฟรี ที่ปัจจุบันเริ่มใช้งานกันอย่างกว้างขวางในหมู่นักการตลาดออนไลน์

Ubersuggest ดียังไง?

หลังจากทำความรู้จักกับโปรแกรม Ubersuggest ไปแล้ว มาดูข้อดีของโปรแกรมกันบ้าง ท่ามกลางโปรแกรมหา Keyword ฟรีก็มีอยู่หลายแบรนด์ให้เลือกใช้งาน แล้วทำไมจะต้องใช้ Ubersuggest มีข้อดีอะไรบ้าง 

 

1.Ubersuggest ใช้งานฟรี

 

Ubersuggest คือโปรแกรมที่รองรับการใช้งานฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย จึงเป็นอีกหนึ่งโปรแกรมหา Keyword ฟรีที่คนนิยมใช้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น Ubersuggest ก็มีแบบเสียค่าใช้จ่าย ที่จะใช้งานได้เต็มรูปแบบมากกว่า 

 

2.Ubersuggest พัฒนาโดย Neil Patel นักการตลาดออนไลน์ระดับโลก

 

ข้อดีถัดมาของ Ubersuggest คือการเป็นเครื่องมือที่ถูกพัฒนาโดย Neil Patel นักการตลาดออนไลน์ชาวอเมริกันที่โด่งดังและมีผู้ติดตามทั่วโลก เป็นที่รู้จักดีในวงการ SEO และ Digital Marketing อีกทั้งยังเป็นผู้ก่อตั้ง Neil Patel Digital เว็บไซต์ด้านการตลาดออนไลน์ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ด้วยความเชี่ยวชาญด้านการตลาดออนไลน์ ทำให้การพัฒนาโปรแกรมหา Keyword อย่าง Ubersuggest ให้กลายเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูง มีการออกแบบฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบโจทย์การวางแผนการตลาดออนไลน์อย่างตรงจุด 

 

3.Ubersuggest วิเคราะห์ Keyword ได้ละเอียด

 

ข้อดีลำดับถัดมาของ Ubersuggest คือการวิเคราะห์ Keyword ได้ละเอียด สามารถเช็คจำนวนการค้นหา (Search volume) ได้ วิเคราะห์ความยากง่ายในการทำ SEO สำหรับคำนั้นได้ และวิเคราะห์ความยากง่ายในการลงโฆษณาผ่าน Google Ads สำหรับคำนั้นให้ด้วย นอกจากนี้ยังรายงานผลราคาต่อคลิกโดยเฉลี่ยของ Keyword นั้นได้อีกต่างหาก 

ทั้งนี้ตัวโปรแกรม Ubersuggest ยังมีฟังก์ชั่นแนะนำ Keyword ใกล้เคียงที่น่าสนใจ แสดงรายชื่อเว็บที่ติดอันดับบนหน้าค้นหาของ Google สำหรับ Keyword นั้นว่ามีเว็บไหนบ้าง แต่ละเว็บได้ Traffic คนคลิกเข้าเว็บผ่าน keyword นั้นเท่าไร ฯลฯ การรายงานผลวิเคราะห์ Keyword ของ Ubersuggest ถือว่ามีความละเอียดสูงทีเดียว

 

วิธีใช้งาน Ubersuggest เพื่อวิเคราะห์ Keyword 

 

  1. เข้าเว็บไซต์ Ubersuggest โดยการคลิก https://neilpatel.com/ubersuggest/ 
  2. ใส่คำค้นหา (Keyword) ที่อยากรู้ลงไปในช่อง Enter a domain or a Keyword จากนั้นเลือกประเทศและคลิก search 
  3. ดูผลลัพธ์ที่ปรากฏขึ้นมาได้เลย ซึ่งจะมีความละเอียดค่อนข้างมากตามที่ได้กล่าวไปในข้างต้น

 

4.วิเคราะห์โดเมนได้ละเอียด

 

นอกจาก Ubersuggest จะวิเคราะห์ Keyword ได้ค่อนข้างละเอียดแล้ว ยังสามารถวิเคราะห์โดเมนได้ด้วย และมีความละเอียดเช่นกัน โดยตัวโปรแกรมจะแสดงผลลัพธ์การเข้าถึงเว็บไซต์ผ่านคำค้น ว่ามีคำไหนบ้างที่นำพาคนเข้ามาในเว็บไซต์ และแต่ละคำมีจำนวนการค้นหาเท่าไร ฟังก์ชั่นนี้มีข้อดีคือถ้าหากเราต้องการทำการตลาดบนออนไลน์ เราสามารถเลือก Keyword จากเว็บไซต์คู่แข่งได้ โดยการนำลิงค์เว็บคู่แข่งมากรอกลงไป แล้วให้โปรแกรมวิเคราะห์ว่าการเข้าถึงเว็บไซต์นั้น มีคำค้นไหนบ้าง 

 

นอกจากดูเว็บคู่แข่งได้แล้ว ก็สามารถดูเว็บของตัวเองได้ด้วย โดยการกรอกลิงค์เว็บตัวเองลงไป เพื่อดูว่ามีการเข้าถึงผ่าน Keyword ไหน และที่น่าสนใจก็คือ สามารถดูได้ด้วยว่ามีการเข้าถึงเว็บของเราจาก Backlinks ไหนบ้าง 

 

วิธีใช้งาน Ubersuggest เพื่อวิเคราะห์โดเมน 

 

  1. เข้าเว็บไซต์ Ubersuggest โดยการคลิก https://neilpatel.com/ubersuggest/ 
  2. ใส่โดเมนหรือลิงค์เว็บไซต์ (Domain) ที่อยากรู้ลงไปในช่อง Enter a domain or a Keyword จากนั้นเลือกประเทศและคลิก search 
  3. ดูผลลัพธ์ที่ปรากฏขึ้นมาได้เลย 

5.ตรวจสอบ Backlinks ได้

 

จากที่ได้กล่าวไปแล้วว่า Ubersuggest วิเคราะห์โดเมนได้ว่ามี Backlinks ไหนที่นำไปสู่การเข้าถึงเว็บไซต์นั้นๆ นั้น นั่นคือข้อดีอีกหนึ่งประการของโปรแกรม Ubersuggest โดย Backlinks การนำลิงค์เว็บไซต์นั้นไปแปะในเว็บไซต์อื่น เพื่อให้มีการคลิกกลับมาที่เว็บไซต์นั้น เช่น การนำลิงค์เว็บ A ไปแปะไว้ในเว็บ B เพื่อให้คนที่เข้าเว็บ B มองเห็นและคลิกกลับไปยังเว็บ A นั่นเองที่เรียกว่า Backlinks 

 

ข้อดีของฟังก์ชั่นนี้ก็คือ หากเรากำลังจะเริ่มทำเว็บไซต์ เราสามารถนำเว็บไซต์คู่แข่งมาดูได้ว่ามีเว็บไหนที่ติด Backlinks คู่แข่งไว้บ้าง เราก็อาจจะนำลิงค์เว็บเราไปติดไว้ที่เว็บนั้นบ้าง หรือถ้าเราทำเว็บเอง เราก็สามารถดูได้ว่ามีเว็บไหนเอาลิงค์เว็บเราไปติด Backlinks เราจะได้นำข้อมูลนั้นมาวิเคราะห์และวางแผนการตลาดออนไลน์ต่อไปในอนาคต

 

โดยสรุปแล้ว Ubersuggest คือโปรแกรมหา Keyword ฟรีที่มีประสิทธิภาพอีกโปรแกรมหนึ่ง และกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในหมู่นักการตลาดออนไลน์ 

]]>