เชื่อว่าหลายธุรกิจเมื่อหันมาให้ความสำคัญกับช่องทางการตลาดออนไลน์ต้องเคยศึกษารวมถึงเคยใช้บริการ Google Ads หรือการยิงแอดโฆษณาแน่ ๆ แม้แต่ช่องทาง Social Media อย่าง Facebook Ads ก็ไม่ได้ต่างกัน ซึ่งหนึ่งในคำที่คนยิง Ads จำเป็นต้องรู้จักนั่นคือ “Click Through Rate” หรือมักเรียกกันสั้น ๆ ว่า CTR แล้วคำว่า CTR คืออะไร ทำไมจึงเป็นสิ่งสำคัญต่อการตลาดออนไลน์วิธีดังกล่าว มาศึกษาข้อมูลทั้งหมดกันเลย

Click Through Rate หรือ CTR คืออะไร

Click Through Rate หรือ CTR คือ ค่าสัดส่วนหรืออัตราในการคลิกเข้าชมเว็บไซต์ต่อจำนวนคนที่พบเห็นเว็บนั้น ๆ เพื่อบ่งบอกประสิทธิภาพของการยิงแอดดังกล่าวว่าได้ผลตอบรับดีมากน้อยแค่ไหน เมื่อไหร่ก็ตามที่ค่า CTR สูงนั่นเท่ากับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นน่าพึงพอใจ เพราะมีคนเห็นโฆษณาแล้วกดเข้ามาดู เพิ่มโอกาสต่อยอดในเรื่องอื่น เช่น การซื้อสินค้า / บริการ การสมัครสมาชิก หรือแม้แต่การรู้จักแบรนด์ก็ตาม โดยการเช็กยอด CTR สามารถดูได้จากหน้า Dashboard ที่คุณใช้เป็นบัญชีในการยิงแอดนั่นเอง

สูตรสำหรับใช้คำนวณค่า CTR

ปกติแล้วการประเมินว่าค่า CTR ได้ประสิทธิภาพตามเป้าหมายที่วางเอาไว้หรือไม่จะมีสูตรตามหลักสากลที่นักการตลาดออนไลน์ทั่วโลกใช้งานนั่นคือ

CTR สูตร

*** Total Measured Clicks หรือ Clicks หมายถึง จำนวนการคลิก

*** Total Measured Impressions หรือ Impressions หมายถึง จำนวนการแสดงผล

CTR สำคัญต่อการยิง Ads อย่างไรบ้าง

มาถึงเหตุผลสำคัญที่จำเป็นต้องอธิบายให้กับนักการตลาด หรือเจ้าของธุรกิจที่วางแผนเตรียมยิง Ads โฆษณา ว่าค่า CTR มีความสำคัญในหลายมิติมาก

1. เข้าใจแนวโน้มการทำโฆษณาในครั้งถัดไป

เป็นเรื่องปกติเมื่อค่า CTR สูง นั่นหมายถึงโฆษณาที่คุณยิงออกไปในครั้งนี้ประสบผลสำเร็จ ในอีกมุมหนึ่งหากผลลัพธ์ออกมาตรงข้ามย่อมแสดงให้เห็นถึงความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่ชอบแบบอื่นมากกว่า หรือแม้แต่จากแคมเปญแรกทำออกมาดี พอแคมเปญถัดไปผลลัพธ์เริ่มน้อยลงจนสังเกตได้ นั่นบ่งบอกถึงเทรนด์ที่กำลังเปลี่ยน การรู้ค่า CTR จะช่วยให้คุณเข้าใจแนวโน้มที่เหมาะสมต่อการทำโฆษณาในครั้งถัดไป

2. การใช้ CTA มีประสิทธิภาพมากแค่ไหน

CTA หรือ Call to Action มักเป็นอีกหัวใจที่บ่งบอกในระดับหนึ่งว่าคนทั่วไปอยากคลิกเข้ามายังหน้าเว็บของคุณหรือไม่ วิธีง่าย ๆ สมมุติคุณทำ 2 แคมเปญ ใช้คำแบบเดียวกันหมดทุกอย่างยกเว้นตอนจบท้าย CTA คนละแบบ เมื่อเห็นว่าแบบไหนมีคนคลิกเยอะกว่านั่นบ่งบอกถึงแนวทางและความชอบซึ่งสามารถใช้งานได้แบบระยะยาวไม่ว่าคำโฆษณาอื่นจะเป็นแบบไหนแต่ CTA แบบเดิมยังคงใช้ได้เสมอ

3. เข้าใจจุดประสงค์ของผู้ที่คลิกเข้ามาหน้าเว็บ

ค่า CTR ยังสามารถบ่งบอกจุดประสงค์ของผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้เป็นอย่างดี ยิ่งเมื่อคุณทำ Google Ads ในรูปแบบของ PPC หรือ Pay Per Click ลองนึกภาพว่าคุณต้องจ่ายเงินเยอะจากการที่มีลูกค้าคลิกเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่ Conversion Rate แทบไม่เกิดขึ้นเลย ในมุมของ CTR นี่คือตัวเลขที่ยอดเยี่ยม แต่ในมุมของการทำธุรกิจคุณกำลังขาดทุนอย่างหนัก นั่นแสดงให้เห็นว่าแท้จริงแล้วคนที่คลิกเข้ามาส่วนใหญ่อาจไม่ใช่ลูกค้าจริง แต่ต้องการเข้ามาเปรียบเทียบ หรือค้นหาข้อมูล การยิง Google Ads เพื่อให้อยู่หน้าบนสุดอาจไม่จำเป็น ลองเลือกจ่ายราคาถูกลงแต่ทำอันดับให้อยู่ถัดลงไป หรือใช้คีย์เวิร์ดตัวอื่น แล้วเจอเฉพาะคนที่อยากซื้อแล้วคลิกเข้ามาน่าจะดีกว่า

การเช็กค่า CTR ระหว่าง Google กับ Facebook ต่างกันหรือไม่?

หากมองในมุมของหลักการค่า CTR ของทั้ง 2 แพลตฟอร์มก็มีความหมายไปในทิศทางเดียวกัน ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจและความถนัดของแต่ละคน อย่างไรก็ตามสิ่งที่ควรรู้เพิ่มเติมเอาไว้หากใครเป็นมือใหม่และพึ่งเข้าสู่วงการยิง Ads ปกติแล้วค่าเฉลี่ย CTR ของทาง Google จะสูงกว่า อาจอยู่ระดับประมาณ 2-4% แต่ถ้าช่วงไหนมีคีย์เวิร์ดที่พีค ๆ หรือสิ่งที่กำลังเป็นกระแสค่า CTR ก็อาจพุ่งแตะระดับ 25-30% ได้เลย

ขณะที่ทางฝั่งของ Facebook ส่วนมากมักอยู่ราว 0.5% แถมค่าดังกล่าวก็เป็นการเปิดเผยจากคนที่ทำวิจัยและเก็บข้อมูลตามแคมเปญโฆษณาในเว็บดังกล่าว จากนั้นจึงใช้เครื่องมือเพื่อวิเคราะห์ออกมาให้เป็นตัวเลขเฉลี่ย

ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทั้ง 2 แพลตฟอร์มีตัวเลขต่างกันก็ชัดเจนเรื่องลักษณะการค้นหาและความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย โดย Google จะเน้นคนที่ต้องการข้อมูลเชิงลึก ความน่าเชื่อถือ หรือเปรียบเทียบสินค้าให้เห็นความแตกต่างและความคุ้มค่าชัดเจน ส่วน Facebook จะเน้นการขายสินค้าที่คนรู้จักกันดี หรือทำภาพออกมาแล้วดูสวยงาม ไม่จำเป็นต้องค้นหาข้อมูลอะไรมากนัก

CTR เท่าไรถึงดีสำหรับการลงโฆษณา Google Ads

จากค่า 2023 Google Ads Benchmarks สำหรับธุรกิจทั้งหมด ค่าเฉลี่ย click-through rate อยู่ประมาณ 4-6% ดังนั้นถ้าได้มากกว่านี้ ถือเป็นค่า CTR เป็นการลงโฆษณาที่ดีครับ

เพิ่ม CTR (CLICK THROUGH RATE) ใน SEARCH ของ GOOGLE ADS

1. เพิ่ม CTR ด้วยการลดคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องน้อยออกไป

2. เพิ่ม CTR โดยใช้ Negative Keywords ให้เป็นประโยชน์

3. เพิ่มคอนเทนต์ เปลี่ยนหน้า Landing Page เพื่อเพิ่ม Quality Score

4. ใช้คำสื่อถึงอารมณ์ของลูกค้า (emotional ads)

5. ใช้ Keyword หลักใน url display path ของโฆษณา

6. ใส่ข้อเสนอพิเศษ โปรโมชั่นใน Heading

7. ใส่ข้อความเชื้อเชิญ CTA (Call To Action) เช่น ซื้อเลย, ดาวโหลดวันนี้

8. ใช้ Google Ads extensions โดยใส่ sitelink ให้ครบ

สรุป

การทำความเข้าใจเกี่ยวกับค่า CTR หรือ Click Through Rate จะช่วยให้นักการตลาดออนไลน์ทุกคนสามารถทำผลลัพธ์ของแคมเปญโฆษณาออกมาได้น่าพึงพอใจ ซึ่งในความเป็นจริงค่าดังกล่าวยังสามารถใช้ได้กับทั้ง Social Media ทุกแพลตฟอร์ม ไปจนถึง Email Marketing หรือแม้แต่การทำ SEO ก็ตาม แต่ส่วนใหญ่จะนิยมทำกับ Google Ads เนื่องจากเห็นผลรวดเร็ว น่าเชื่อถือ มีประสิทธิภาพเหมาะกับการนำไปต่อยอดได้จริง ใครที่สนใจเรื่องนี้ก็อย่าลืมศึกษาเทคนิคต่าง ๆ เพื่อโอกาสที่คนจะกดคลิกแล้วเปลี่ยนเป็นลูกค้าซื้อสินค้า / บริการกันด้วย จะช่วยให้ธุรกิจเดินหน้าต่อได้อย่างดีเยี่ยม