เมื่อพูดถึงการทำธุรกิจในความหมายพื้นฐานที่ทุกคนรู้กันดีนั่นคือ การมีผู้ขายและผู้ซื้อโดยใช้ผลิตภัณฑ์เป็นตัวกลางไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือบริการต่าง ๆ แต่เมื่อเจาะลึกลงไปในด้านของผู้ซื้อซึ่งตามมุมมองของธุรกิจหมายถึง ลูกค้า ก็จะมีแยกย่อยออกไปอีกทั้งกลุ่มลูกค้าบุคคล หรือ B2C และ ลูกค้ากลุ่มบริษัท องค์กร หรือ B2B จึงอยากให้คนที่กำลังวางแผนเริ่มทำธุรกิจ หรือมีธุรกิจอยู่แล้วเข้าใจในรายละเอียดมากขึ้นว่า B2C คืออะไร ต่างจากลูกค้าประเภทอื่นมากน้อยแค่ไหน เพื่อการวางแผนการตลาดที่ง่ายขึ้นกว่าเดิม
B2C คืออะไร
Business to Customer หรือ B2C คือ รูปแบบการทำธุรกิจโดยผู้ขายไม่ว่าจะอยู่ในนามบริษัท องค์กร ทำการขายผลิตภัณฑ์ (สินค้า / บริการ) ให้กับผู้ซื้อที่อยู่ในนามบุคคลหรือผู้บริโภคโดยตรง ไม่ผ่านคนกลางใด ๆ ทั้งสิ้น หรืออธิบายให้เข้าใจง่ายมากขึ้นก็อยู่ในทำนอง ผู้ขายต้องพยายามในทุกวิถีทางเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ของตนเองได้รับความสนใจและถูกตัดสินใจซื้อโดยผู้บริโภคที่จะนำผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไปใช้งานต่อเพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดกับตนเอง
ความแตกต่างระหว่างธุรกิจแบบ B2C กับธุรกิจประเภทอื่น
นอกจากการทำธุรกิจแบบ B2C แล้ว ก็ยังมีธุรกิจประเภทอื่นที่อยู่แบ่งออกแตกต่างกันไป เพื่อให้เจ้าของหรือผู้บริหารมองเห็นภาพรวมและเลือกแนวทางการตลาด วิธีบริหารจัดการด้านต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น ประกอบไปด้วย
1. ธุรกิจแบบ B2B
B2B หรือ Business to Business คือ การทำธุรกิจ การซื้อ-ขายสินค้าระหว่างบริษัท องค์กร หน่วยงาน กับบริษัท องค์กร บุคคล หน่วยงานอื่น ๆ เพื่อให้พวกเขานำสิ่งที่ซื้อไปเข้าสู่ขั้นตอนการผลิตสินค้า / บริการในลำดับต่อไป เช่น โรงงาน A ผลิตวัตถุดิบให้กับโรงงาน B เป็นต้น
2. ธุรกิจแบบ C2C
C2C หรือ Customer to Customer จะมีลักษณะคล้ายกับ B2C แต่ผู้ขายจะเป็นบุคคลธรรมดา ไม่ได้ทำในรูปแบบบริษัท เช่น แม่ค้าเปิดร้านอาหารตามสั่งขายให้กับลูกค้า
3. ธุรกิจแบบ C2B
C2B หรือ Customer to Business จะคล้ายกับการทำธุรกิจแบบ B2B แต่ผู้ขายจะเป็นบุคคลธรรมดา ไม่ได้ทำในรูปแบบบริษัท เช่น เกษตรกรขายสินค้าให้กับโรงงานอุตสาหกรรม
4. ธุรกิจแบบ B2B2C
จะมีความซับซ้อนเพิ่มขึ้นมาอีกเล็กน้อย ย่อมาจาก Business to Business to Customer หลักการคือนำเอาธุรกิจแบบ B2B และ B2C เข้ามาไว้ด้วยกัน เพื่อให้เกิดความครอบคลุมในการทำธุรกิจมากขึ้น ส่วนมากในปัจจุบันจะเป็นลักษณะของการทำธุรกิจผ่านเว็บ E-Commerce หรือเว็บคนกลาง เช่น ธุรกิจ A นำของมาวางขายบนเว็บไซต์ Lazada เพื่อให้ผู้บริโภคเข้ามาเลือกซื้อ Lazada ซึ่งเป็นธุรกิจ (B ตัวที่ 2) จะได้เปอร์เซ็นต์ส่วนแบ่ง หรือค่าสมาชิก ค่าลงทะเบียนต่าง ๆ เป็นรายได้ของธุรกิจ ขณะที่ธุรกิจ A (B ตัวที่ 1) ก็จะมีรายได้จาก C ซึ่งเป็นผู้บริโภคคนสุดท้าย และยังทำให้พวกเขาสามารถเข้าถึงวัตถุประสงค์ของลูกค้าตัวจริงเพื่อทำการตลาดได้ด้วย
กลยุทธ์ที่น่าสนใจของธุรกิจ B2C บนโลกออนไลน์
ด้วยยุคนี้การทำธุรกิจขององค์กรจำนวนมากต้องให้ความสนใจกับโลกออนไลน์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การศึกษากลยุทธ์ที่เหมาะสมย่อมช่วยสร้างโอกาสแห่งความสำเร็จทั้งเรื่องการรับรู้แบรนด์ของผู้บริโภค ไปจนถึงยอดขายและผลกำไรด้วย
1. การทำ SEO สำคัญมาก
ผู้บริโภคยุคนี้ไม่ได้สนใจแค่เรื่องของชื่อเสียงแบรนด์แต่ต้องการคุณภาพ ความน่าเชื่อถือ ซึ่งพวกเขาสามารถค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ได้ผ่านอินเทอร์เน็ต การทำ SEO เพื่อให้ผู้บริโภครู้จักกับแบรนด์ ได้เห็นสินค้าของคุณมากขึ้นจะช่วยเพิ่มโอกาสเปลี่ยนจากกลุ่มเป้าหมายสู่ลูกค้าง่ายขึ้นกว่าเดิม การทำเว็บให้ติดอันดับหน้าแรกของ Search Engine จึงมักเป็นแผนการตลาดขององค์กรแทบทุกแห่ง
2. คอนเทนต์ไวรัล
ลำพังการทำคอนเทนต์ธรรมดาอาจได้แค่ลูกค้าบางส่วน แต่คุณพยายามสร้างคอนเทนต์ให้เกิดไวรัล มีคนรับชมเยอะ มี Engagement สูง นอกจากชื่อของแบรนด์จะขยายออกไปสู่วงกว้างแล้ว ยังมักกระตุ้นยอดขายให้เพิ่มขึ้นภายในระยะเวลาอันรวดเร็วอีกด้วย ซึ่งคอนเทนต์ที่ได้รับความนิยมมากสุดต้องยกให้กับการลงวิดีโอผ่านช่องทาง Social Media ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, TikTok, YouTube เป็นต้น
3. การยิง Ads หรือการซื้อโฆษณา
อีกทางลัดของแผนธุรกิจแบบ B2C ประสบผลสำเร็จต้องอาศัยการยิง Ads หรือการซื้อโฆษณาไม่ว่าจะเป็นการทำ Google Ads, การทำ Facebook Ads และช่องทางอื่น ๆ เหตุเพราะคนที่เห็นโฆษณาของคุณคือบุคคล และพวกเขามักเป็นคนพิจารณาตัดสินใจซื้อด้วยตนเอง ไม่ต้องรอความคิดเห็นหรือการพูดคุยปรึกษากับผู้อื่นมากนัก หากสินค้า / บริการ ตรงกับสิ่งที่เขากำลังมองหาก็มีสิทธิ์ซื้อทันทีเช่นกัน
4. การใช้ User-Generated Content
อีกกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพและได้รับความนิยมไม่แพ้กันนั่นคือ การใช้ User-Generated Content หรือให้คนที่เป็นลูกค้าจริงสร้างคอนเทนต์พูดถึงธุรกิจ เช่น การรีวิว คอมเมนต์ต่าง ๆ เพราะการตัดสินใจของผู้บริโภคส่วนมากมักพิจารณาเรื่องของประสบการณ์จริงของผู้ใช้งานมากเป็นอันดับต้น ๆ แต่นั่นก็หมายถึงผลิตภัณฑ์ของธุรกิจต้องมีคุณภาพ ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานจึงจะได้รับการพูดถึงเชิงบวก และลูกค้าหน้าใหม่ก็อยากเข้าหามากขึ้นเรื่อย ๆ
สรุป
การทำธุรกิจแบบ B2C หรือ Business to Customer เป็นการนำเสนอระหว่างธุรกิจองค์กรกับลูกค้านามบุคคลหรือผู้บริโภค การมองหากลยุทธ์ที่เข้าถึงได้ชัดเจน เช่น การทำโฆษณาออนไลน์ การทำ SEO สร้างคอนเทนต์ไวรัล หรือใช้เทคนิค User-Generated Content เป็นอีกเทคนิคที่ตอบโจทย์กับธุรกิจอย่างมาก สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางเพื่อโอกาสแห่งความสำเร็จกันได้เลย